‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ชี้แจงนโยบายลดราคาน้ำมันลิตรละ 2 บาท ระบุไม่ใช่การนำเงินภาษีของประชาชนไปอุดหนุน แต่เป็นการปันผลจากกำไรที่เพิ่มขึ้นของปตท. ยืนยันไม่กระทบ ปตท.แน่นอน พร้อมประกาศชัด ‘ประชาชนต้องมาก่อน’
หมายเหตุ : นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์รายการข่าวยามเช้า ในช่วง ‘ตรงไปตรงมา กับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ทางคลื่นวิทยุ 101.0 เมกกะเฮิร์ท ถึงการประกาศวาระประชาชนเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่มา โดยเฉพาะเรื่องการลดราคาน้ำมัน และความเห็นเรื่องดัชนีความเชื่อมั่นทางการเมือง
พรรคประชาธิปัตย์เดินสายชูวาระประชาชน เสียงสะท้อนที่เข้ามาก็เยอะพอสมควรโดยเฉพาะเรื่องลดราคาน้ำมันลิตรละ 2 บาท คุณอภิสิทธิ์คิดว่าได้ให้ความชัดเจนในเรื่องนี้ไปครบถ้วนหรือยังครับ หรือว่ายังมีจุดไหนที่ต้องอธิบายเพิ่ม
‘หลายคนก็ตกใจนึกว่าเราจะไปทำอย่างที่รัฐบาลเคยทำ ก็คือเอาเงินภาษีไปอุดหนุน ผมก็บอกว่าไม่ใช่ ปัญหาก็คือว่าเวลานี้ราคาน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก อย่างน้อยเราต้องการแสดงว่ารัฐบาลต้องการที่จะลดภาระของประชาชน แล้วมันมีส่วนหนึ่งที่มันเป็นภาระที่เกิดจากรัฐบาลเอง คือการเก็บเงินที่มาจากหนี้กองทุนซึ่งเป็นความผิดพลาดของรัฐบาล เราก็ถอดตรงนี้ออก ถามว่าถอดตรงนี้ออกเราจะใช้หนี้ตรงนี้อย่างไร บริหารหนี้ตรงนี้อย่างไร เราก็เห็นว่า ปตท.สามารถที่จะปันผลกำไรที่เพิ่มขึ้น แล้วกำไรที่เพิ่มขึ้นของ ปตท.เราคำนวณแล้วว่าสมมติปันผลจาก 30 %เป็น 50% ซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติมากที่บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้ส่งผลต่อการดำเนินการของ ปตท.เลยไม่ว่าจะดูจากการคำนวณจากส่วนหนี้ต่อทุน ความสามารถที่จะไปลงทุนเพิ่มเติม แล้วก็จะไม่กระทบผู้ถือหุ้นรายย่อย ตรงกันข้ามผู้ถือหุ้นรายย่อยก็จะได้ประโยชน์ ในการที่จะได้ปันผลเพิ่มขึ้น ผมให้นักวิเคราะห์ลองคำนวณด้วยซ้ำว่าถ้าทำอย่างนี้แล้วทิศทางหุ้น ปตท.จะเป็นอย่างไรส่งผลตอบแทนต่อหุ้นดีขึ้น อาจทำให้หุ้นขึ้นดีอีกด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแนวทางนี้ผมคิดว่ามันเป็นคำตอบสำหรับทุกฝ่ายแล้ว’
สุดท้ายนโยบายนี้จะมีข้อจำกัดในแง่ว่ามันจะขึ้นกับท่าทีของ ปตท.อยู่ดีหรือไม่
‘ผมคิดว่ารัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และสิ่งที่นำเสนอเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย จริงๆแล้วการที่เราให้ ปตท.มีสัดส่วนหนี้ต่อทุนที่เหมาะสมมากขึ้น หรือ ปตท.ต้องการไปลงทุนเพิ่มเติมมากๆแล้วก็ไม่ได้เก็บเงินไว้มากขนาดนี้ ปตท.จะต้องระมัดวังมากขึ้นว่าควรจะไปลงทุนในโครงไหนอย่างไรบ้าง เพราะว่าตอนนี้ก็มีเสียงท้วงติงเยอะว่า ปตท.ไปลงทุนในบางเรื่องซึ่งไม่ควรเป็นเรื่องที ปตท.เข้าไป กับสองถ้าหากว่ามีสัดส่วนของเงินกู้ส่วนหนึ่งด้วยก็จะทำให้ผู้บริหาร ปตท.ต้องระมัดระวังและมีวินัยมากขึ้นด้วย’
สวนดุสิตโพลล์มีการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น และก็พบว่าคะแนนนิยมในตัวนายกฯทักษิณลดลง และก็บอกว่าคนเลือกไทยรักไทยเพราะนายกฯทักษิณ แต่ขณะเดียวกันในส่วนของฝ่ายค้านหลังจากที่ชูคุณอภิสิทธิ์ขึ้นมาคะแนนนิยมก็เพิ่มขึ้น แต่ก็ต่ำกว่าร้อยจุดอะไรสักอย่างนะค่ะคุณอภิสิทธิ์ ภาพรวมตรงนี้ใช้ปรับเป็นกลยุทธ์ในการเลือกตั้งหรือไม่
‘เราก็ดูผลการสำรวจทุกด้าน ประกอบในเรื่องของการวางแนวทางวางกลยุทธ์ แต่ว่าที่จริงแล้วขณะนี้พระราชกฤษฎีกาก็ยังไม่ใช้บังคับ การสมัครก็ยังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้นบรรยากาศถ้าถึงช่วงนั้นมันจะเปลี่ยนแปลงไปอีก เพียงแต่ว่าขณะนี้ที่เราให้ประชาชนมองเห็นก็คือว่าเขามีทางเลือก เพราะว่าในขณะนี้ทุกคนอยู่ในภาวะวิกฤต แล้วเราก็ต้องการให้เห็นว่าทางเลือกอย่างไรบ้าง แล้วเราก็ถือว่าวิกฤติมันรุนแรงต้องการคำตอบที่มีความชัดเจน รวดเร็ว ตรวจสอบได้ ประชาธิปัตย์ก็บอกว่าได้เสนอทางโดยยึดหลักประชาชนต้องมาก่อน’
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 11 ส.ค. 2549--จบ--
หมายเหตุ : นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์รายการข่าวยามเช้า ในช่วง ‘ตรงไปตรงมา กับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ทางคลื่นวิทยุ 101.0 เมกกะเฮิร์ท ถึงการประกาศวาระประชาชนเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่มา โดยเฉพาะเรื่องการลดราคาน้ำมัน และความเห็นเรื่องดัชนีความเชื่อมั่นทางการเมือง
พรรคประชาธิปัตย์เดินสายชูวาระประชาชน เสียงสะท้อนที่เข้ามาก็เยอะพอสมควรโดยเฉพาะเรื่องลดราคาน้ำมันลิตรละ 2 บาท คุณอภิสิทธิ์คิดว่าได้ให้ความชัดเจนในเรื่องนี้ไปครบถ้วนหรือยังครับ หรือว่ายังมีจุดไหนที่ต้องอธิบายเพิ่ม
‘หลายคนก็ตกใจนึกว่าเราจะไปทำอย่างที่รัฐบาลเคยทำ ก็คือเอาเงินภาษีไปอุดหนุน ผมก็บอกว่าไม่ใช่ ปัญหาก็คือว่าเวลานี้ราคาน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก อย่างน้อยเราต้องการแสดงว่ารัฐบาลต้องการที่จะลดภาระของประชาชน แล้วมันมีส่วนหนึ่งที่มันเป็นภาระที่เกิดจากรัฐบาลเอง คือการเก็บเงินที่มาจากหนี้กองทุนซึ่งเป็นความผิดพลาดของรัฐบาล เราก็ถอดตรงนี้ออก ถามว่าถอดตรงนี้ออกเราจะใช้หนี้ตรงนี้อย่างไร บริหารหนี้ตรงนี้อย่างไร เราก็เห็นว่า ปตท.สามารถที่จะปันผลกำไรที่เพิ่มขึ้น แล้วกำไรที่เพิ่มขึ้นของ ปตท.เราคำนวณแล้วว่าสมมติปันผลจาก 30 %เป็น 50% ซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติมากที่บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้ส่งผลต่อการดำเนินการของ ปตท.เลยไม่ว่าจะดูจากการคำนวณจากส่วนหนี้ต่อทุน ความสามารถที่จะไปลงทุนเพิ่มเติม แล้วก็จะไม่กระทบผู้ถือหุ้นรายย่อย ตรงกันข้ามผู้ถือหุ้นรายย่อยก็จะได้ประโยชน์ ในการที่จะได้ปันผลเพิ่มขึ้น ผมให้นักวิเคราะห์ลองคำนวณด้วยซ้ำว่าถ้าทำอย่างนี้แล้วทิศทางหุ้น ปตท.จะเป็นอย่างไรส่งผลตอบแทนต่อหุ้นดีขึ้น อาจทำให้หุ้นขึ้นดีอีกด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแนวทางนี้ผมคิดว่ามันเป็นคำตอบสำหรับทุกฝ่ายแล้ว’
สุดท้ายนโยบายนี้จะมีข้อจำกัดในแง่ว่ามันจะขึ้นกับท่าทีของ ปตท.อยู่ดีหรือไม่
‘ผมคิดว่ารัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และสิ่งที่นำเสนอเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย จริงๆแล้วการที่เราให้ ปตท.มีสัดส่วนหนี้ต่อทุนที่เหมาะสมมากขึ้น หรือ ปตท.ต้องการไปลงทุนเพิ่มเติมมากๆแล้วก็ไม่ได้เก็บเงินไว้มากขนาดนี้ ปตท.จะต้องระมัดวังมากขึ้นว่าควรจะไปลงทุนในโครงไหนอย่างไรบ้าง เพราะว่าตอนนี้ก็มีเสียงท้วงติงเยอะว่า ปตท.ไปลงทุนในบางเรื่องซึ่งไม่ควรเป็นเรื่องที ปตท.เข้าไป กับสองถ้าหากว่ามีสัดส่วนของเงินกู้ส่วนหนึ่งด้วยก็จะทำให้ผู้บริหาร ปตท.ต้องระมัดระวังและมีวินัยมากขึ้นด้วย’
สวนดุสิตโพลล์มีการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น และก็พบว่าคะแนนนิยมในตัวนายกฯทักษิณลดลง และก็บอกว่าคนเลือกไทยรักไทยเพราะนายกฯทักษิณ แต่ขณะเดียวกันในส่วนของฝ่ายค้านหลังจากที่ชูคุณอภิสิทธิ์ขึ้นมาคะแนนนิยมก็เพิ่มขึ้น แต่ก็ต่ำกว่าร้อยจุดอะไรสักอย่างนะค่ะคุณอภิสิทธิ์ ภาพรวมตรงนี้ใช้ปรับเป็นกลยุทธ์ในการเลือกตั้งหรือไม่
‘เราก็ดูผลการสำรวจทุกด้าน ประกอบในเรื่องของการวางแนวทางวางกลยุทธ์ แต่ว่าที่จริงแล้วขณะนี้พระราชกฤษฎีกาก็ยังไม่ใช้บังคับ การสมัครก็ยังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้นบรรยากาศถ้าถึงช่วงนั้นมันจะเปลี่ยนแปลงไปอีก เพียงแต่ว่าขณะนี้ที่เราให้ประชาชนมองเห็นก็คือว่าเขามีทางเลือก เพราะว่าในขณะนี้ทุกคนอยู่ในภาวะวิกฤต แล้วเราก็ต้องการให้เห็นว่าทางเลือกอย่างไรบ้าง แล้วเราก็ถือว่าวิกฤติมันรุนแรงต้องการคำตอบที่มีความชัดเจน รวดเร็ว ตรวจสอบได้ ประชาธิปัตย์ก็บอกว่าได้เสนอทางโดยยึดหลักประชาชนต้องมาก่อน’
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 11 ส.ค. 2549--จบ--