อุตสาหกรรมยาเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพของมนุษย์ จึงนับว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม ทั้งด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในการบริโภค
1. การผลิตในประเทศ
ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2549 มีจำนวน 5,919.3 ตัน ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.0 โดยประเภทสินค้าที่มีปริมาณการผลิตลดลงได้แก่ ยาครีม ยาน้ำ และยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน การลดลงของปริมาณการผลิต สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากราคาวัตถุดิบทั้งที่เป็นตัวยาสำคัญ และวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตยาปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้การที่อุตสาหกรรมยาที่ผลิตในประเทศมีการแข่งขันสูงด้านราคา ทำให้ราคาขายใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิตมาก ผู้ผลิตจึงอาจปรับลดปริมาณการผลิตลง เมื่อเห็นว่าไม่คุ้มกับการผลิต อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียงร้อยละ 0.4 โดยมาจากการขยายตัวของการผลิตยาเม็ด และ ยาผง (ตารางที่ 1)
2. การจำหน่ายในประเทศ
ปริมาณการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2549 มีจำนวน 5,398.2 ตัน ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.4 โดยประเภทสินค้าที่มีปริมาณการจำหน่ายลดลงได้แก่ ยาน้ำ และยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน ซึ่งอาจเนื่องมาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่ระดับราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปริมาณการจำหน่ายลดลงเช่นกัน ร้อยละ 10.1 โดยสินค้าทุกประเภทมีปริมาณการจำหน่ายลดลง ยกเว้นยาฉีด (ตารางที่ 2)
3. การนำเข้า
การนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2549 มีมูลค่า 7,891.1 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนร้อยละ 29.9 และ 11.2 ตามลำดับ โดยตลาดนำเข้าที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ซึ่งการนำเข้าจากประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 3,946 ล้านบาท หรือร้อยละ 50 ของมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมทั้งหมด การนำเข้ายารักษาโรคส่วนใหญ่ยังคงเป็นการนำเข้ายาสำเร็จรูป โดยเฉพาะยาต้นตำรับ และยามีสิทธิบัตร ที่ใช้สำหรับโรคที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง เช่น โรคความดัน เบาหวาน หัวใจ และไขมันในเส้นเลือด เป็นต้น (ตารางที่ 3)
4. การส่งออก
การส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2549 มีมูลค่า 1,567.4 ล้านบาท ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.4 โดยผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ ยาสำเร็จรูป เยลปรุงแต่ง และสินค้าประเภทแวดดิ้ง ผ้ากอซ ผ้าพันแผล สำลี และอื่น ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 6.1 เนื่องจากการส่งออกไปยังเวียดนาม กัมพูชา พม่า ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยมีปริมาณลดลง โดยมีมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เข้ามาเป็น คู่แข่งขันในตลาดดังกล่าวมากขึ้น
สำหรับตลาดส่งออกที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมาร์ เบลเยียม และมาเลเซีย โดยการส่งออกไปประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 795.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 50.5 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมทั้งหมด (ตารางที่ 3)
5. นโยบายรัฐ
1. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ปรับปรุงนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยาใหม่ทั้งระบบ โดยประกาศให้การส่งเสริมกิจการผลิตยาและหรือสารออกฤทธิ์สำคัญในยา ซึ่งครอบคลุมกิจการยารักษาโรคคนและสัตว์ วัคซีน และการผลิตยาสำเร็จรูป โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2548 ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ผู้ผลิตยาในประเทศปรับปรุงกิจการเดิมหรือลงทุนในกิจการใหม่ให้มีมาตรฐาน เป็นการพัฒนาองค์ความรู้เทคโนโลยีเภสัชกรรมที่นำมาใช้ในการผลิตยา
2. กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำโครงการประกันคุณภาพยาแผนปัจจุบันที่ผลิตในประเทศไทย โดยอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ทั้งนี้เพื่อให้ยาที่ผลิตในประเทศได้มาตรฐานสากล สร้างความมั่นใจให้กับคนไทยว่าได้บริโภคยาที่มีประสิทธิภาพดีต่อการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วย โดยเฉพาะยาที่ใช้ในโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้ได้รับยาดี มีราคาถูก และลดปัญหาการดื้อยา ตลอดจนสามารถผลิตทดแทนการนำเข้า และส่งเสริมการผลิตยาเพื่อการส่งออกในอนาคต
6. สรุป
ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2549 ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากวัตถุดิบทั้งที่เป็นตัวยาสำคัญ และวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตยาปรับราคาสูงขึ้น สำหรับปริมาณการจำหน่ายลดลงเช่นเดียวกัน เนื่องจากประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น อย่างไรก็ตามมูลค่าการนำเข้าและการส่งออกมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ายารักษาหรือป้องกันโรคที่เป็นยาสิทธิบัตร ซึ่งใช้สำหรับโรคที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง และส่งออกอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันเชื้อโรค และยาสำเร็จรูป
สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์ เภสัชกรรมในประเทศ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปี 2548 เนื่องจากผู้ประกอบการมีการจัดรายการส่งเสริมการขาย โดยเพิ่มค่าตอบแทนให้กับตัวแทนจำหน่ายที่มีปริมาณการสั่งซื้อยาเพิ่มมากขึ้น สำหรับมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นเช่นกัน แต่ทั้งนี้แนวโน้มการส่งออกของไทยขึ้นอยู่กับมาตรฐานของยาที่ผลิตได้ ดังนั้นผู้ผลิตในประเทศจำเป็นต้องผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ส่วนมูลค่าการนำเข้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยยังคงเป็นการนำเข้ายาสิทธิบัตรเป็นหลัก
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
1. การผลิตในประเทศ
ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2549 มีจำนวน 5,919.3 ตัน ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.0 โดยประเภทสินค้าที่มีปริมาณการผลิตลดลงได้แก่ ยาครีม ยาน้ำ และยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน การลดลงของปริมาณการผลิต สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากราคาวัตถุดิบทั้งที่เป็นตัวยาสำคัญ และวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตยาปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้การที่อุตสาหกรรมยาที่ผลิตในประเทศมีการแข่งขันสูงด้านราคา ทำให้ราคาขายใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิตมาก ผู้ผลิตจึงอาจปรับลดปริมาณการผลิตลง เมื่อเห็นว่าไม่คุ้มกับการผลิต อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียงร้อยละ 0.4 โดยมาจากการขยายตัวของการผลิตยาเม็ด และ ยาผง (ตารางที่ 1)
2. การจำหน่ายในประเทศ
ปริมาณการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2549 มีจำนวน 5,398.2 ตัน ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.4 โดยประเภทสินค้าที่มีปริมาณการจำหน่ายลดลงได้แก่ ยาน้ำ และยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน ซึ่งอาจเนื่องมาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่ระดับราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปริมาณการจำหน่ายลดลงเช่นกัน ร้อยละ 10.1 โดยสินค้าทุกประเภทมีปริมาณการจำหน่ายลดลง ยกเว้นยาฉีด (ตารางที่ 2)
3. การนำเข้า
การนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2549 มีมูลค่า 7,891.1 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนร้อยละ 29.9 และ 11.2 ตามลำดับ โดยตลาดนำเข้าที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ซึ่งการนำเข้าจากประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 3,946 ล้านบาท หรือร้อยละ 50 ของมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมทั้งหมด การนำเข้ายารักษาโรคส่วนใหญ่ยังคงเป็นการนำเข้ายาสำเร็จรูป โดยเฉพาะยาต้นตำรับ และยามีสิทธิบัตร ที่ใช้สำหรับโรคที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง เช่น โรคความดัน เบาหวาน หัวใจ และไขมันในเส้นเลือด เป็นต้น (ตารางที่ 3)
4. การส่งออก
การส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2549 มีมูลค่า 1,567.4 ล้านบาท ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.4 โดยผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ ยาสำเร็จรูป เยลปรุงแต่ง และสินค้าประเภทแวดดิ้ง ผ้ากอซ ผ้าพันแผล สำลี และอื่น ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 6.1 เนื่องจากการส่งออกไปยังเวียดนาม กัมพูชา พม่า ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยมีปริมาณลดลง โดยมีมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เข้ามาเป็น คู่แข่งขันในตลาดดังกล่าวมากขึ้น
สำหรับตลาดส่งออกที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมาร์ เบลเยียม และมาเลเซีย โดยการส่งออกไปประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 795.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 50.5 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมทั้งหมด (ตารางที่ 3)
5. นโยบายรัฐ
1. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ปรับปรุงนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยาใหม่ทั้งระบบ โดยประกาศให้การส่งเสริมกิจการผลิตยาและหรือสารออกฤทธิ์สำคัญในยา ซึ่งครอบคลุมกิจการยารักษาโรคคนและสัตว์ วัคซีน และการผลิตยาสำเร็จรูป โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2548 ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ผู้ผลิตยาในประเทศปรับปรุงกิจการเดิมหรือลงทุนในกิจการใหม่ให้มีมาตรฐาน เป็นการพัฒนาองค์ความรู้เทคโนโลยีเภสัชกรรมที่นำมาใช้ในการผลิตยา
2. กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำโครงการประกันคุณภาพยาแผนปัจจุบันที่ผลิตในประเทศไทย โดยอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ทั้งนี้เพื่อให้ยาที่ผลิตในประเทศได้มาตรฐานสากล สร้างความมั่นใจให้กับคนไทยว่าได้บริโภคยาที่มีประสิทธิภาพดีต่อการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วย โดยเฉพาะยาที่ใช้ในโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้ได้รับยาดี มีราคาถูก และลดปัญหาการดื้อยา ตลอดจนสามารถผลิตทดแทนการนำเข้า และส่งเสริมการผลิตยาเพื่อการส่งออกในอนาคต
6. สรุป
ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2549 ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากวัตถุดิบทั้งที่เป็นตัวยาสำคัญ และวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตยาปรับราคาสูงขึ้น สำหรับปริมาณการจำหน่ายลดลงเช่นเดียวกัน เนื่องจากประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น อย่างไรก็ตามมูลค่าการนำเข้าและการส่งออกมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ายารักษาหรือป้องกันโรคที่เป็นยาสิทธิบัตร ซึ่งใช้สำหรับโรคที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง และส่งออกอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันเชื้อโรค และยาสำเร็จรูป
สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์ เภสัชกรรมในประเทศ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปี 2548 เนื่องจากผู้ประกอบการมีการจัดรายการส่งเสริมการขาย โดยเพิ่มค่าตอบแทนให้กับตัวแทนจำหน่ายที่มีปริมาณการสั่งซื้อยาเพิ่มมากขึ้น สำหรับมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นเช่นกัน แต่ทั้งนี้แนวโน้มการส่งออกของไทยขึ้นอยู่กับมาตรฐานของยาที่ผลิตได้ ดังนั้นผู้ผลิตในประเทศจำเป็นต้องผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ส่วนมูลค่าการนำเข้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยยังคงเป็นการนำเข้ายาสิทธิบัตรเป็นหลัก
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-