วันนี้ (5 พ.ย.49) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์ทางภาคใต้ว่า การเคลื่อนไหวของรัฐบาลในระดับต่าง ๆรวมทั้งการแสดงออกของนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธุ์ จุลานนท์ ถือว่าเป็นการแสดงออกด้วยความจริงใจในการกล่าวขอโทษต่อความผิดพลาดของรัฐบาลในอดีตที่ผ่านมารวมทั้งการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก่อให้เกิดปัญหาความรุนแรงอย่างต่อเนื่องตลอดมา ทั้งนี้นายองอาจเห็นว่าการเคลื่อนไหวของรัฐบาลก็ดีการแสดงออกด้วยความจริงใจของนายกรัฐมนตรีก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นการยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลและภาครัฐ มากกว่าเดิม โดยถือว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
อย่างไรก็ดีนอกเหนือจากการเคลื่อนไหวของผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลแล้วหรือผู้บริหารระดับสูงในระดับพื้นที่ นายองอาจเห็นว่า สิ่งที่จะต้องคำนึงอย่างต่อเนื่องด้วยก็คือ การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ควรเป็นการปฏิบัติการที่สอดคล้องกับแนวนโยบายกับการแสดงออกของผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลด้วย ถึงแม้ว่าจะมีการแสดงออกในการส่งสัญญาณไปในทางที่ดีของรัฐบาลก็ตาม จะเห็นได้ว่าการก่อความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้นายองอาจกล่าวว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของฝ่ายก่อการร้ายในพื้นที่ ซึ่งมีมาอย่างยาวนานใน 5-6 ปีที่ผ่านมา คงจะไม่สามารถที่จะยุติหยุดลงได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่เชื่อว่า เมื่อมีแนวทางที่ถูกต้อง มีความจริงใจในการจะแก้ไขปัญหาแล้วสถานการณ์ก็น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ส่วนคดีของทนายสมชาย นีละไพจิตร รองโฆษก ปชป. แสดงความเห็นว่าเป็นการเดินแนวทางที่ถูกต้องของรัฐบาลที่เอาจริงเอาจังกับคดีดังกล่าว เพราะการหายตัวของทนายความสมชายนั้น ไม่ใช่เป็นการหายตัวไปของทนายความคนหนึ่งของประเทศไทยเท่านั้น แต่ทนายความสมชายคือ สัญลักษณ์ของความเป็นธรรม สำหรับพี่น้องมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ไม่ได้ความเป็นธรรม เพราะฉะนั้นการที่รัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการหายตัวของทนายสมชาย ย่อมมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับการแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เพราะในอดีตที่ผ่านมา หลังจากการหายตัวไปของตัวของทนายสมชาย เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลของอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับการที่จะดำเนินการค้นหาความจริงในเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจัง อาจเป็นเพราะผู้ถูกกล่าวหานั้น เป็นตำรวจอยู่ด้วย
“ผมมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนว่า ดีเอสไอ ไม่ยอมรับเรื่องดำเนินการในช่วงสมัยรัฐบาลทักษิณ จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าราชการไทยจะไปรายงานเรื่องสิทธิมนุษยชนที่สหประชาชาติ ที่เจนีวา ว่าคดีทนายสมชายกำลังอยู่ในการจัดการดำเนินการของ ดีเอสไอ เท่ากับว่าจะพยายามไปหลอกสหประชาชาติในตอนนั้นว่ามีการดำเนินการโดย ดีเอสไอ กับคดีความทนายสมชาย แต่ปรากฏว่าไม่สามารถหลอกได้ เพราะบังเอิญ คุณอังคนา ภรรยาของทนายสมชายอยู่ในที่ประชุมที่นั่นด้วย และแสดงความกล้าหาญลุกขึ้นมายืนยันกับที่ประชุมว่า ดีเอสไอ ไม่ได้รับเรื่องไว้พิจารณา ทำให้ไทยค่อนข้างเสียหน้าพอสมควรในเวทีสหประชาชาติในครั้งนั้น ปรากฏว่าหลังจากนั้น ดีเอสไอ ถึงได้ออกมายอมรับเรื่อง แต่ในยุคสมัยของท่านทักษิณ เวลาผ่านมาหลายเดือน ดีเอสไอ ก็ไม่ได้ทำอะไร”
นอกจากนี้นายองอาจยังกล่าวอีกว่า เป็นเรื่องดีที่รัฐบาลชุดนี้ ได้มาเอาจริงเอาจัง คดีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร ซึ่งเชื่อว่าความจริงจะเริ่มปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีความคืบหน้าทางคดีมากขึ้นมีการเอาจริงเอาจังจากหน่วยงานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้นายองอาจยังฝากถึงรัฐบาลและเจ้าหน้าที่อีกด้วย ในกรณีที่มีชาวบ้านธรรมดาจำนวนหนึ่งรวมทั้งนักศึกษารามฯที่เห็นเหตุการณ์ คนเหล่านี้เปรียบเสมือนเป็นพยานในคดีนี้ แต่ปรากฏว่ามาถึงวันนี้ ไม่มีการคุ้มครองพยานเหล่านี้ตามขบวนการอย่างที่ควรจะเป็น รวมทั้งคุณอังคนา นีละไพจิตร ซึ่งเป็นภรรยาคุณสมชาย และครอบครัวก็ควรที่จะได้รับความคุ้มครองด้วย
สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายของคนขับรถแท็กซี่นั้น นายองอาจกล่าวว่าเป็นปรากฎการณ์ทางการเมืองอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะแสดงออกด้วยความไม่เห็นด้วยต่อการกระทำรัฐประหาร แต่เป็นสิ่งที่จะต้องให้ความเคารพต่อความคิดของผู้คนซึ่งมีความแตกต่างกันในสังคม เพราะฉะนั้นการบริหารจัดการไม่ให้การเกิดจุดเล็กๆในลักษณะนี้ในทางการเมืองขยายเป็นจุดใหญ่ๆและอาจจะเป็นเงื่อนไขให้มีการใช้ประโยชน์จากปรากฎการณ์ลักษณะนี้ทางการเมืองจากกลุ่มผู้สูญเสียอำนาจหรือจากใครก็ตามในสังคมไทย โดยนายองอาจได้เสนอว่าจะต้องเร่งสื่อสารเชิงรุกและปลุกความเข้าใจให้ประชาชนเข้าใจถึงความเป็นจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในสังคมไทยของเราอยู่ในขณะนี้
“ถ้าเรานึกย้อนไปในสมัยรัฐบาลของท่านนายกทักษิณเราก็จะเห็นว่า รัฐบาลของท่านนายกทักษิณนั้น ก็เจอปัญหาจากจุดเล็กๆจาการใช้อำนาจโดยไม่ถูกต้องชอบธรรม ก่อตัวขึ้นจากจุดเล็กๆจนขยายใหญ่กลายเป็นการรวมตัวของพี่น้องประชาชนจำนวนมากกลายเป็นองค์กรจัดตั้งระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ว่ารัฐบาลจะมองเรื่องนี้อย่างไรก็ตามต้องถือว่าวันนี้รัฐบาลกำลังเริ่มต้นเจอจุดเล็กๆจุดหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นมาแล้วและพร้อมจะขยายใหญ่ เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่การจัดการของรัฐบาล ก็จะสามารถจัดการให้ปัญหาทุกอย่างลงตัวได้หรือไม่อย่างไร”
พร้อมกันนี้นายองอาจยังแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและพวกพ้อง ว่าเป็นการทำสงครามจิตวิทยามวลชนของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณและคณะ เป็นการสร้างแรงกดดันในเชิงกลยุทธ์ นอกเหนือจากเพื่อที่จะรักษาการเคลื่อนไหวในทางการเมือง
“เมื่อไรก็ตามที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณมีความรู้สึกตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็จะพยายามถอยร่นและยอมทุกอย่างแต่เมื่อไรก็ตามที่ตนเองรู้สึกว่ามีแต้มต่อเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม ท่านอดีตนายกทักษิณก็จะรุกไล่ฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มที่ ดังนั้น คมช.เองก็ดีรัฐบาลชุดนี้เองก็ดีจะต้องรู้เท่าทันการเคลื่อนไหวทางการเมืองของอดีตนายกทักษิณและคณะ ถึงแม้ว่าคมช.และรัฐบาลชุดนี้จะแสดงออกถึงความจริงใจในการพยายามที่จะก่อให้เกิดความสมานฉันต์เกิดความปกติสุขขึ้นในบ้านเมืองของเราก็ตามขณะเดียวกันก็จะต้องรู้เท่าทันถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของผู้สูญเสียอำนาจหรือผู้ที่ยังผูกพันอยู่กับอำนาจเก่าด้วย เพราะถ้าไม่รู้ท่าทันแล้วคมช.และรัฐบาลรวมทั้งสังคมไทยของเราก็อาจจะเพรียงพล้ำและประเทศชาติบ้านเมืองก็อาจจจะเสียหายมากกว่าเดิมด้วย” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 พ.ย. 2549--จบ--
อย่างไรก็ดีนอกเหนือจากการเคลื่อนไหวของผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลแล้วหรือผู้บริหารระดับสูงในระดับพื้นที่ นายองอาจเห็นว่า สิ่งที่จะต้องคำนึงอย่างต่อเนื่องด้วยก็คือ การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ควรเป็นการปฏิบัติการที่สอดคล้องกับแนวนโยบายกับการแสดงออกของผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลด้วย ถึงแม้ว่าจะมีการแสดงออกในการส่งสัญญาณไปในทางที่ดีของรัฐบาลก็ตาม จะเห็นได้ว่าการก่อความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้นายองอาจกล่าวว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของฝ่ายก่อการร้ายในพื้นที่ ซึ่งมีมาอย่างยาวนานใน 5-6 ปีที่ผ่านมา คงจะไม่สามารถที่จะยุติหยุดลงได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่เชื่อว่า เมื่อมีแนวทางที่ถูกต้อง มีความจริงใจในการจะแก้ไขปัญหาแล้วสถานการณ์ก็น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ส่วนคดีของทนายสมชาย นีละไพจิตร รองโฆษก ปชป. แสดงความเห็นว่าเป็นการเดินแนวทางที่ถูกต้องของรัฐบาลที่เอาจริงเอาจังกับคดีดังกล่าว เพราะการหายตัวของทนายความสมชายนั้น ไม่ใช่เป็นการหายตัวไปของทนายความคนหนึ่งของประเทศไทยเท่านั้น แต่ทนายความสมชายคือ สัญลักษณ์ของความเป็นธรรม สำหรับพี่น้องมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ไม่ได้ความเป็นธรรม เพราะฉะนั้นการที่รัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการหายตัวของทนายสมชาย ย่อมมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับการแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เพราะในอดีตที่ผ่านมา หลังจากการหายตัวไปของตัวของทนายสมชาย เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลของอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับการที่จะดำเนินการค้นหาความจริงในเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจัง อาจเป็นเพราะผู้ถูกกล่าวหานั้น เป็นตำรวจอยู่ด้วย
“ผมมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนว่า ดีเอสไอ ไม่ยอมรับเรื่องดำเนินการในช่วงสมัยรัฐบาลทักษิณ จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าราชการไทยจะไปรายงานเรื่องสิทธิมนุษยชนที่สหประชาชาติ ที่เจนีวา ว่าคดีทนายสมชายกำลังอยู่ในการจัดการดำเนินการของ ดีเอสไอ เท่ากับว่าจะพยายามไปหลอกสหประชาชาติในตอนนั้นว่ามีการดำเนินการโดย ดีเอสไอ กับคดีความทนายสมชาย แต่ปรากฏว่าไม่สามารถหลอกได้ เพราะบังเอิญ คุณอังคนา ภรรยาของทนายสมชายอยู่ในที่ประชุมที่นั่นด้วย และแสดงความกล้าหาญลุกขึ้นมายืนยันกับที่ประชุมว่า ดีเอสไอ ไม่ได้รับเรื่องไว้พิจารณา ทำให้ไทยค่อนข้างเสียหน้าพอสมควรในเวทีสหประชาชาติในครั้งนั้น ปรากฏว่าหลังจากนั้น ดีเอสไอ ถึงได้ออกมายอมรับเรื่อง แต่ในยุคสมัยของท่านทักษิณ เวลาผ่านมาหลายเดือน ดีเอสไอ ก็ไม่ได้ทำอะไร”
นอกจากนี้นายองอาจยังกล่าวอีกว่า เป็นเรื่องดีที่รัฐบาลชุดนี้ ได้มาเอาจริงเอาจัง คดีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร ซึ่งเชื่อว่าความจริงจะเริ่มปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีความคืบหน้าทางคดีมากขึ้นมีการเอาจริงเอาจังจากหน่วยงานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้นายองอาจยังฝากถึงรัฐบาลและเจ้าหน้าที่อีกด้วย ในกรณีที่มีชาวบ้านธรรมดาจำนวนหนึ่งรวมทั้งนักศึกษารามฯที่เห็นเหตุการณ์ คนเหล่านี้เปรียบเสมือนเป็นพยานในคดีนี้ แต่ปรากฏว่ามาถึงวันนี้ ไม่มีการคุ้มครองพยานเหล่านี้ตามขบวนการอย่างที่ควรจะเป็น รวมทั้งคุณอังคนา นีละไพจิตร ซึ่งเป็นภรรยาคุณสมชาย และครอบครัวก็ควรที่จะได้รับความคุ้มครองด้วย
สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายของคนขับรถแท็กซี่นั้น นายองอาจกล่าวว่าเป็นปรากฎการณ์ทางการเมืองอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะแสดงออกด้วยความไม่เห็นด้วยต่อการกระทำรัฐประหาร แต่เป็นสิ่งที่จะต้องให้ความเคารพต่อความคิดของผู้คนซึ่งมีความแตกต่างกันในสังคม เพราะฉะนั้นการบริหารจัดการไม่ให้การเกิดจุดเล็กๆในลักษณะนี้ในทางการเมืองขยายเป็นจุดใหญ่ๆและอาจจะเป็นเงื่อนไขให้มีการใช้ประโยชน์จากปรากฎการณ์ลักษณะนี้ทางการเมืองจากกลุ่มผู้สูญเสียอำนาจหรือจากใครก็ตามในสังคมไทย โดยนายองอาจได้เสนอว่าจะต้องเร่งสื่อสารเชิงรุกและปลุกความเข้าใจให้ประชาชนเข้าใจถึงความเป็นจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในสังคมไทยของเราอยู่ในขณะนี้
“ถ้าเรานึกย้อนไปในสมัยรัฐบาลของท่านนายกทักษิณเราก็จะเห็นว่า รัฐบาลของท่านนายกทักษิณนั้น ก็เจอปัญหาจากจุดเล็กๆจาการใช้อำนาจโดยไม่ถูกต้องชอบธรรม ก่อตัวขึ้นจากจุดเล็กๆจนขยายใหญ่กลายเป็นการรวมตัวของพี่น้องประชาชนจำนวนมากกลายเป็นองค์กรจัดตั้งระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ว่ารัฐบาลจะมองเรื่องนี้อย่างไรก็ตามต้องถือว่าวันนี้รัฐบาลกำลังเริ่มต้นเจอจุดเล็กๆจุดหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นมาแล้วและพร้อมจะขยายใหญ่ เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่การจัดการของรัฐบาล ก็จะสามารถจัดการให้ปัญหาทุกอย่างลงตัวได้หรือไม่อย่างไร”
พร้อมกันนี้นายองอาจยังแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและพวกพ้อง ว่าเป็นการทำสงครามจิตวิทยามวลชนของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณและคณะ เป็นการสร้างแรงกดดันในเชิงกลยุทธ์ นอกเหนือจากเพื่อที่จะรักษาการเคลื่อนไหวในทางการเมือง
“เมื่อไรก็ตามที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณมีความรู้สึกตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็จะพยายามถอยร่นและยอมทุกอย่างแต่เมื่อไรก็ตามที่ตนเองรู้สึกว่ามีแต้มต่อเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม ท่านอดีตนายกทักษิณก็จะรุกไล่ฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มที่ ดังนั้น คมช.เองก็ดีรัฐบาลชุดนี้เองก็ดีจะต้องรู้เท่าทันการเคลื่อนไหวทางการเมืองของอดีตนายกทักษิณและคณะ ถึงแม้ว่าคมช.และรัฐบาลชุดนี้จะแสดงออกถึงความจริงใจในการพยายามที่จะก่อให้เกิดความสมานฉันต์เกิดความปกติสุขขึ้นในบ้านเมืองของเราก็ตามขณะเดียวกันก็จะต้องรู้เท่าทันถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของผู้สูญเสียอำนาจหรือผู้ที่ยังผูกพันอยู่กับอำนาจเก่าด้วย เพราะถ้าไม่รู้ท่าทันแล้วคมช.และรัฐบาลรวมทั้งสังคมไทยของเราก็อาจจะเพรียงพล้ำและประเทศชาติบ้านเมืองก็อาจจจะเสียหายมากกว่าเดิมด้วย” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 พ.ย. 2549--จบ--