แท็ก
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ออมสิน ธนาคาร
ธนาคารออมสิน
ภาวะเศรษฐกิจ
วันนี้ (16 พฤษภาคม 2549) ผู้แทนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันแถลงมาตรการเพื่อบรรเทา ความเดือดร้อนของประชาชนผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร และผู้ประกอบการส่งออกรายย่อยจากภาระค่าครองชีพ ราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในระยะที่ผ่านมา โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งได้เตรียมมาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของลูกค้าเป็นการเฉพาะหน้า สรุปได้ดังนี้
1. ธนาคารออมสิน จะยังคงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนไว้ในระดับเดิมต่อไป เพื่อบรรเทาภาระแก่ลูกหนี้ปัจจุบันของธนาคารออมสินที่มีอยู่กว่า 360,000 ราย รวมถึงลูกหนี้รายใหม่ ที่คาดว่าจะมาขอรับสินเชื่ออีกประมาณ 120,000 ราย ภายในสิ้นปี 2549
2. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จะคงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเอื้ออาทรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไปจนถึง 30 กันยายน 2549 (ปีที่ 1 ร้อยละ 5.5 ปีที่ 2 ร้อยละ 6.0 ปีที่ 3 ร้อยละ 6.5 และปีต่อๆ ไป MRR -0.5) ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบรรเทาภาระดอกเบี้ยของผู้มีรายได้น้อยที่ประสงค์จะมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในโครงการสินเชื่อบ้านเอื้ออาทรที่คาดว่าจะมีประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในเกณฑ์ได้รับอัตราดอกเบี้ยเดิม จำนวนประมาณ 21,000 ราย วงเงินประมาณ 8,300 ล้านบาท
3. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระดับปัจจุบันของ ธ.ก.ส. ออกไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2549 ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระของเกษตรกรลูกหนี้ในช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นได้เป็นการชั่วคราว
4. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) จะจัดสรรวงเงินสินเชื่อแก่ผู้ส่งออกขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อช่วยกระตุ้นการส่งออกต่อไป โดยจัดให้มีโครงการบริการสินเชื่อพิเศษสำหรับผู้ส่งออกรายย่อย (Small Exporters Financing Facility : SEFF) ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน (Prime Rate - 0.5 ต่อปี) แยกเป็น 2 กรณี คือ 1) กรณีผู้ส่งออกที่มียอดส่งออกในรอบปี 2548 ไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท และ 2) สำหรับผู้ส่งออกที่มียอดส่งออกในรอบปี 2548 เกินกว่า 50 ล้านบาท จะได้รับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 10 ล้านบาท
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน กลุ่มผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร และผู้ส่งออกรายย่อย ในภาวะดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน และค่าครองชีพ ที่ปรับตัวสูงขึ้น
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 48/2549 16 พฤษภาคม 49--
1. ธนาคารออมสิน จะยังคงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนไว้ในระดับเดิมต่อไป เพื่อบรรเทาภาระแก่ลูกหนี้ปัจจุบันของธนาคารออมสินที่มีอยู่กว่า 360,000 ราย รวมถึงลูกหนี้รายใหม่ ที่คาดว่าจะมาขอรับสินเชื่ออีกประมาณ 120,000 ราย ภายในสิ้นปี 2549
2. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จะคงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเอื้ออาทรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไปจนถึง 30 กันยายน 2549 (ปีที่ 1 ร้อยละ 5.5 ปีที่ 2 ร้อยละ 6.0 ปีที่ 3 ร้อยละ 6.5 และปีต่อๆ ไป MRR -0.5) ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบรรเทาภาระดอกเบี้ยของผู้มีรายได้น้อยที่ประสงค์จะมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในโครงการสินเชื่อบ้านเอื้ออาทรที่คาดว่าจะมีประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในเกณฑ์ได้รับอัตราดอกเบี้ยเดิม จำนวนประมาณ 21,000 ราย วงเงินประมาณ 8,300 ล้านบาท
3. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระดับปัจจุบันของ ธ.ก.ส. ออกไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2549 ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระของเกษตรกรลูกหนี้ในช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นได้เป็นการชั่วคราว
4. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) จะจัดสรรวงเงินสินเชื่อแก่ผู้ส่งออกขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อช่วยกระตุ้นการส่งออกต่อไป โดยจัดให้มีโครงการบริการสินเชื่อพิเศษสำหรับผู้ส่งออกรายย่อย (Small Exporters Financing Facility : SEFF) ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน (Prime Rate - 0.5 ต่อปี) แยกเป็น 2 กรณี คือ 1) กรณีผู้ส่งออกที่มียอดส่งออกในรอบปี 2548 ไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท และ 2) สำหรับผู้ส่งออกที่มียอดส่งออกในรอบปี 2548 เกินกว่า 50 ล้านบาท จะได้รับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 10 ล้านบาท
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน กลุ่มผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร และผู้ส่งออกรายย่อย ในภาวะดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน และค่าครองชีพ ที่ปรับตัวสูงขึ้น
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 48/2549 16 พฤษภาคม 49--