วันนี้ (10 ก.ย.49) เวลา 14.00 น.ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์กับสื่อก่อนที่จะเดินทางไปขึ้นเครื่องไปประเทศฟินแลนด์ว่า “ประชาธิปไตยของไทยเพี้ยน” เมื่อวานนี้ (9 ก.ย.49) ว่า พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า ประชาธิปไตยของไทยไม่ได้เพี้ยน แต่ที่เพี้ยนคือ รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทยมากกว่า เพราะว่า การบริหารประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณในช่วงที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิดปัญหากระทบต่อระบอบประชาธิปไตย
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อไปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้รัฐธรรมนูญและอาศัยช่องว่างของรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือเข้าสู่อำนาจ และมีความพยายามใช้รัฐธรรมนูญรักษาอำนาจของตัวเองไว้ให้นานที่สุด ยกตัวอย่างเห็นชัดเจนว่าก่อนที่จะมีการยุบสภา ตอนนั้นมีปัญหาเรื่องหุ้นชินคอร์ป พ.ต.ท.ทักษิณ แทนที่จะตอบคำถามนี้ในสภาเพราะได้มีการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไป ไม่มีการลงมติ แต่ปรากฎว่า พ.ต.ท.ทักษิณอ้างสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญในการยุบสภาว่ามีการชุมนุมเรียกร้องก่อให้เกิดปัญหาการบริหารราชการแผ่นดิน การยุบสภาครั้งนั้นจึงเป็นการยุบสภาที่ไม่ชอบธรรม
“ขณะนั้นสภาใกล้จะเปิดเพื่อหาทางออกของบ้านเมืองใช้วิธีการตามระบอบประชาธิปไตยไม่ได้เพี้ยนแต่อย่างใด แต่ปรากฎว่า พ.ต.ท.ทักษิณหลีกเลี่ยงด้วยการยุบสภาไม่ยอมให้มีการพูดในสภาตั้งแต่ต้น เมื่อการยุบสภาไม่ชอบธรรม จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายนจึงเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือที่จะไปฟอกตัวให้ พ.ต.ท.ทักษิณ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า จะเห็นได้ว่ากระบวนการประชาธิปไตยไม่ได้ผิดเพี้ยนอะไรทั้งสิ้น แต่ตัวบุคคลคือ พ.ต.ท.ทักษิณได้อาศัยช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญ ใช้ช่องว่างของระบอบประชาธิปไตยรักษาอำนาจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ตนคิดว่าปัญหาสำคัญที่ประชาชนออกมาคัดค้านแสดงความไม่ชอบธรรมในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ คือ ทำให้เกิดระบอบทักษิณขึ้นในบ้านเมือง ปล่อยให้เกิดระบอบที่พยายามสะสมอำนาจที่ไม่ถูกต้อง ในการยึดกุมประเทศไทย
“ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เพี้ยนและอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องแล้ว บ้านเมืองคงไม่เกิดปัญหาเกิดวิกฤตอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และ พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่มากล่าวหา ประชาธิปไตยว่าเพี้ยนไปแล้ว ผมหวังว่าการประชุม อาเซมที่ประเทศฟินแลนด์ พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่นำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือบิดเบือนความเป็นจริงในประเทศไทยไปใส่ร้ายป้ายสีบุคคลหือกลุ่มบุคคลต่างๆ ในที่ประชุมให้ต่างชาติได้รับทราบ และขอให้พูดความจริงทั้งหมด อย่าพูดความจริงเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพื่อผลประโยชน์และหน้าตาของตัว พ.ต.ท.ทักษิณแต่เพียงอย่างเดียวขอให้คำนึงถึงชื่อเสียงของประเทศไทย” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ส่วนกรณีที่มีโผการโยกย้ายนายทหารและเข้าราชการออกมาในช่วงรัฐบาลรักษาการนั้นนายองอาจกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าการโยกย้ายนายทหารและข้าราชการช่วงที่มีกฤษฎีกาการเลือกตั้งนั้นควรจะดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ควรจะผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนเพื่อป้องกันให้มีการใช้อำนาจรัฐของรัฐบาลในขณะนั้นโยกย้ายนายทหาร หรือข้าราชการเพื่อประโยชน์ของพรรครัฐบาลหรือพรรคร่วมรัฐบาลในการเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้ข้าราชหารหรือทหารเหล่านี้ไปสนับสนุนรัฐบาลในการเลือกตั้งนั้นๆ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ตนคิดว่าไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องมีความสลับเปลี่ยนโยกย้ายข้าราชการหรือทหารในขณะนี้ อาจจะปล่อยให้บุคคลเหล่านั้นที่อยู่ในโผที่จะโยกย้ายรักษาการไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งเสร็จสิ้นเพื่อป้องกันข้อครหานินทาว่า รัฐบาลโยกย้ายคนเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของรัฐบาลในการเลือกตั้ง
“ผมอยากให้รัฐบาลคำนึงถึงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมากกว่า มติคณะรัฐมนตรี (ครม. ) มากกว่าประกาศใดๆทั้งสิ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่า บทบัญญติในรัฐธรรมนูญนั้นย่อมจะมีความสำคัญมากกว่าประกาศใดๆที่ออกมาโดยหน่วยงานต่างๆ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ก.ย. 2549--จบ--
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อไปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้รัฐธรรมนูญและอาศัยช่องว่างของรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือเข้าสู่อำนาจ และมีความพยายามใช้รัฐธรรมนูญรักษาอำนาจของตัวเองไว้ให้นานที่สุด ยกตัวอย่างเห็นชัดเจนว่าก่อนที่จะมีการยุบสภา ตอนนั้นมีปัญหาเรื่องหุ้นชินคอร์ป พ.ต.ท.ทักษิณ แทนที่จะตอบคำถามนี้ในสภาเพราะได้มีการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไป ไม่มีการลงมติ แต่ปรากฎว่า พ.ต.ท.ทักษิณอ้างสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญในการยุบสภาว่ามีการชุมนุมเรียกร้องก่อให้เกิดปัญหาการบริหารราชการแผ่นดิน การยุบสภาครั้งนั้นจึงเป็นการยุบสภาที่ไม่ชอบธรรม
“ขณะนั้นสภาใกล้จะเปิดเพื่อหาทางออกของบ้านเมืองใช้วิธีการตามระบอบประชาธิปไตยไม่ได้เพี้ยนแต่อย่างใด แต่ปรากฎว่า พ.ต.ท.ทักษิณหลีกเลี่ยงด้วยการยุบสภาไม่ยอมให้มีการพูดในสภาตั้งแต่ต้น เมื่อการยุบสภาไม่ชอบธรรม จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายนจึงเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือที่จะไปฟอกตัวให้ พ.ต.ท.ทักษิณ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า จะเห็นได้ว่ากระบวนการประชาธิปไตยไม่ได้ผิดเพี้ยนอะไรทั้งสิ้น แต่ตัวบุคคลคือ พ.ต.ท.ทักษิณได้อาศัยช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญ ใช้ช่องว่างของระบอบประชาธิปไตยรักษาอำนาจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ตนคิดว่าปัญหาสำคัญที่ประชาชนออกมาคัดค้านแสดงความไม่ชอบธรรมในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ คือ ทำให้เกิดระบอบทักษิณขึ้นในบ้านเมือง ปล่อยให้เกิดระบอบที่พยายามสะสมอำนาจที่ไม่ถูกต้อง ในการยึดกุมประเทศไทย
“ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เพี้ยนและอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องแล้ว บ้านเมืองคงไม่เกิดปัญหาเกิดวิกฤตอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และ พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่มากล่าวหา ประชาธิปไตยว่าเพี้ยนไปแล้ว ผมหวังว่าการประชุม อาเซมที่ประเทศฟินแลนด์ พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่นำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือบิดเบือนความเป็นจริงในประเทศไทยไปใส่ร้ายป้ายสีบุคคลหือกลุ่มบุคคลต่างๆ ในที่ประชุมให้ต่างชาติได้รับทราบ และขอให้พูดความจริงทั้งหมด อย่าพูดความจริงเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพื่อผลประโยชน์และหน้าตาของตัว พ.ต.ท.ทักษิณแต่เพียงอย่างเดียวขอให้คำนึงถึงชื่อเสียงของประเทศไทย” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ส่วนกรณีที่มีโผการโยกย้ายนายทหารและเข้าราชการออกมาในช่วงรัฐบาลรักษาการนั้นนายองอาจกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าการโยกย้ายนายทหารและข้าราชการช่วงที่มีกฤษฎีกาการเลือกตั้งนั้นควรจะดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ควรจะผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนเพื่อป้องกันให้มีการใช้อำนาจรัฐของรัฐบาลในขณะนั้นโยกย้ายนายทหาร หรือข้าราชการเพื่อประโยชน์ของพรรครัฐบาลหรือพรรคร่วมรัฐบาลในการเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้ข้าราชหารหรือทหารเหล่านี้ไปสนับสนุนรัฐบาลในการเลือกตั้งนั้นๆ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อไปว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ตนคิดว่าไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องมีความสลับเปลี่ยนโยกย้ายข้าราชการหรือทหารในขณะนี้ อาจจะปล่อยให้บุคคลเหล่านั้นที่อยู่ในโผที่จะโยกย้ายรักษาการไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งเสร็จสิ้นเพื่อป้องกันข้อครหานินทาว่า รัฐบาลโยกย้ายคนเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของรัฐบาลในการเลือกตั้ง
“ผมอยากให้รัฐบาลคำนึงถึงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมากกว่า มติคณะรัฐมนตรี (ครม. ) มากกว่าประกาศใดๆทั้งสิ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่า บทบัญญติในรัฐธรรมนูญนั้นย่อมจะมีความสำคัญมากกว่าประกาศใดๆที่ออกมาโดยหน่วยงานต่างๆ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ก.ย. 2549--จบ--