ถึงน้ำมันจะแพงอย่างไร ความจำเป็นใช้รถยนต์ก็ยังคงมีอยู่ หลายคนคิดถึงการหาพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นแก๊ซโซฮอล์ หรือไบโอดีเซล เราชวนคุณไปบวก-ลบ-คูณ-หารเรื่องการใช้ก๊าซ NGV ทุกแง่ ทุกมุม ข้อดี ข้อเสีย เผื่อคุณจะได้ทางเลือกใหม่เพื่อการประหยัดไงล่ะ
ทั้งแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซลต่างๆ ถูกชูขึ้นมาเป็นพลังงานทดแทนการใช้น้ำมัน 100 % และดูเหมือนว่าแก๊สโซฮอล์กำลังประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ขณะที่ไบโอดีเซลยังไม่ก้าวไปถึงไหน
ตอนนี้ภาครัฐเริ่มกระตุ้นให้คนไทยหันมาสนใจ “ก๊าซเอ็นจีวี” (NGV) พลังงานทดแทนตัวเก่าที่นำมาปัดฝุ่นใหม่ (กระทรวงพลังงานได้ริเริ่มโครงการก๊าซเอ็นจีวีนี้มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2543)เราเลยจะมาบอกทุกขั้นตอน ตั้งแต่การติดตั้ง ราคา ปั๊มบริการ ตลอดจนตารางการเปรียบเทียบ เพื่อให้คุณพิจารณาว่าคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน
**************
ความหมาย
ก๊าซเอ็นจีวี(NGV มาจาก Natural Gas for Vehice) คือ รูปก๊าซธรรมชาติที่อัดด้วยความดัน 3,000 ปอนด์/ตารางนิ้ว มีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ ก๊าซมีเทนซึ่งมีคุณสมบัติเบากว่าอากาศ เป็นเชื้อเพลิงสะอาดและปลอดภัยกว่าพลังงานชนิดอื่นๆ
ระบบการทำงาน
เครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติมีระบบการควบคุมเชื้อเพลิงโดยอาศัยหลักการเดียวกับระบบของเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งมีพัฒนาการตั้งแต่ระบบที่ใช้คาร์บูเรเตอร์จนถึงระบบหัวฉีดที่ควบคุมด้วยระบบดิจิตอล
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบควบคุมเชื้อเพลิงที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นระบบหัวฉีดยังล้าหลังเครื่องยนต์เบนซิน โดยเพิ่งจะมีผู้ผลิต 2-3 รายเท่านั้นที่เริ่มดัดแปลงมาใช้ระบบหัวฉีด และเนื่องจากก๊าซธรรมชาติมีความหนาแน่นต่ำกว่าน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขในเรื่องของกำลังเครื่องยนต์ที่ลดลง
**********
รถของเราติดตั้งได้หรือไม่
เป็นคำถามที่ใครหลายๆคนยังสงสัย
ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล รถตู้ หรือรถกระบะ ล้วนติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวีได้ ขอเพียงเป็นรถที่มีระยะทางวิ่งประมาณ 50 กม./วัน หรืออยู่บริเวณที่มีสถานีบริการเอ็นจีวี 34 แห่ง
ปัจจุบันมีการผลิตเครื่องยนต์และโครงรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติโดยเฉพาะมากขึ้น ตั้งแต่รถบรรทุกขนาดเล็ก รถโดยสาร ไปจนถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่ ทว่ามีผู้ผลิตอุปกรณ์ดัดแปลงและเครื่องยนต์ที่ใช้ ก๊าซธรรมชาติไม่มากนัก ได้แก่ Volvo, Caterpillar, Cummins, MAN, Daimler — Chrysler ( Mercedes Benz ), Scania และ Renault
คุณสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมถึงรุ่นรถของคุณ และรายละเอียดเรื่องการติดตั้งได้ที่สายด่วนหาร 2 ให้ความรู้เรื่องก๊าซเอ็นจีวี โทร. 0-2612-1040 และสำนักประชาสัมพันธ์ กระทรวงพลังงาน โทร.0-2224-3894
ระดับราคา
เพราะรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรมและการขนส่งมากขึ้น จึงกำหนดเพดานราคาก๊าซเอ็นจีวีดังนี้
ปัจจุบัน - ปี 2549 กำหนดราคาในระดับร้อยละ 50 ของราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล
ปี 2550 ปรับเป็นร้อยละ 55 ของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91
ปี 2551 ปรับเป็นร้อยละ 60 ของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91
ปี 2552 ปรับเป็นร้อยละ 65 ของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91
เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ จึงกำหนดเพดานราคาไว้ไม่เกิน 10 บาท/ลิตร เบนซิน 91 หรือ 10.34 บาท/กิโลกรัม แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับสูงขึ้นเท่าใดก็ตาม
อุปกรณ์ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
สำหรับรถเครื่องยนต์เบนซินติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวี โดยใช้ระบบเชื้อเพลิงทวิ (BiFuel) สามารถเลือกใช้เบนซินหรือเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิง 2 ระบบใหญ่
1. แบบดูดก๊าซ (Fumigation) เหมาะกับเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์
- ชนิดวงจรเปิด (คล้ายกับระบบ NPG ในรถแท็กซี่ส่วนใหญ่) ค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 — 35,000 บาท/คัน (รวมทั้งก๊าซขนาด 70 ลิตร)
- ชนิดวงจรปิด มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการจ่ายก๊าซค่าใช้จ่ายประมาณ 40,000 — 50,000 บาท/คัน (รวมทั้งก๊าซขนาด 70 ลิตร)
2. แบบน้ำฉีด (Injection) ให้สมรรถนะใกล้เคียงกับรถเบนซิน ค่าใช้จ่ายประมาณ 50,000 — 60,000 บาท/คัน (รวมทั้งก๊าซขนาด 70 ลิตร)
ส่วนรถเครื่องยนต์ดีเซลติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวีโดยใช้ระบบเชื้อเพลิงร่วมสามารถใช้เอ็นจีวีร่วมกับดีเซลค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 — 45,000 บาท/คัน(รวมทั้งก๊าซขนาด 70 ลิตร)
ข่าวดี เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้เปิดตัว "โครงการเอ็นจีวีเพื่อประชาชน" เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนใช้ก๊าซเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์แทนการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล ทางกระทรวงพลังงานและปตท.ร่วมกันช่วยเหลือค่าติดตั้ง 10,000 บาท/คัน จำนวน 5,000 คันแรก และธนาคารออมสินยังจัดสินเชื่อพิเศษกับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี และประชาชนทั่วไปในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี ขอบอก ตอนนี้ติดตั้งไปได้แล้วกว่า 2,000 คัน ใครสนใจรีบสอบถามรายละเอียดโทร. 0-2217-7799 หรือ Call Center 1115 เพราะโครงการนี้จะสิ้นสุดก่อนปีใหม่ 2549 นี้แล้วนะ
ความปลอดภัย
ขณะนี้มีบริษัทบริการติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวีทั้งหมด 14 แห่งในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยได้มาตรฐานของปตท. คือ รถทุกคันที่ติดตั้งฯจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพและการติดตั้งให้เป็นไปตามกฎกระทรวง และผ่านการรับรองจากวิศวกรกรมขนส่งทางบก มาตรฐานของถังบรรจุก๊าซก็ต้องได้ ISO 11439 และ NGV2 2000 พร้อมกำหนดให้มีการติดตั้งอุปกรณ์นิรภัยที่วาล์วหัวถังก๊าซ เพื่อป้องกันการระเบิดกรณีความดันและอุณหภูมิของก๊าซในถังเกินกำหนด
นอกจากนี้ รถที่มีการติดตั้งฯจะได้รับบัตรเติมก๊าซซึ่งผ่านการตรวจสอบจากปตท.และกรมการขนส่งในการเข้าปั๊มไปเติมก๊าซทุกครั้ง ตรงบริเวณตัวรถยังมีการแปะสติกเกอร์ "รถใช้ก๊าซธรรมชาติอัด" ที่ด้านหน้าและด้านท้ายของตัวรถ มีแผ่นป้ายแสดงหมายเลขถังพร้อมระบุวันหมดอายุด้วย
อายุขัยของถังก๊าซ
หลังจากใช้งานแล้วประมาณ 3 ปี ควรนำรถที่ติดตั้งถังก๊าซเอ็นจีวีไปตรวจสอบในอู่ที่ติดตั้งให้ หรือกรณีที่เกิดอุบัติเหตุก็ควรขำไปตรวจสอบอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย สำหรับระยะเวลาการใช้งานตามมาตรฐานทั่วไปนั้นสามารถใช้งานได้ประมาณ 20 ปี
ข้อดี คุ้มมั้ย
แน่นอน หลายคนไม่แน่ใจว่าจะคุ้มค่าแค่ไหน เรามีข้อมูลมาให้คุณพิจารณาเพิ่มเติม เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันชนิดต่างๆตามท้องตลาดขณะนี้
การเติมก๊าซเอ็นจีวี 1 กิโลกรัมนั้นสามารถวิ่งได้ 10 กิโลเมตร เปรียบเทียบรถเอ็นจีวีกับรถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงแล้วพบว่า รถเอ็นจีวีสามารถลดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ร้อยละ 50 — 80 ก๊าซไฮโดรคาร์บอน ได้ร้อยละ 60 — 80 และลดก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ถึงร้อยละ 60 — 90 น่าสนใจ ว่าไม่มีฝุ่นละอองปล่อยออกมาเลย
ข้อเสีย ความพร้อม
ทางปตท.บอกว่า ก๊าซธรรมชาติให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับน้ำมัน แต่อาจไม่เท่ากันเนื่องจากไม่สามารถที่จะเข้าควบคุมสมบัติบางประการได้
ถ้าถามว่า เอ็นจีวีนั้นเหมาะสมกับเครื่องยนต์ประเภทไหนได้ดีนั้น จากผลการวิจัยของปตท.นั้นจะเข้ากันได้ดีกับเครื่องยนต์เบนซินมากกว่าเครื่องยนต์ดีเซล แต่ถ้าเครื่องยนต์ดีเซลจะติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวีนั้นก็สามารถทำได้โดยการดัดแปลงเครื่องยนต์(แต่ก็ยังมีราคาสูงอยู่ขณะนี้)
ความที่ก๊าซธรรมชาติมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำมัน รถเอ็นจีวีจึงควรมีถังบรรจุก๊าซติดตั้งที่รถประมาณ 2-4 ถัง เพื่อให้สามารถวิ่งเกินกว่า 250 ไมล์ หรือ 400 กิโลเมตร ทีนี้ปัญหาหลักของรถเอ็นจีวี คือ ถังบรรจุก๊าซมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก แม้ปัจจุบันพยายามพัฒนาให้ถังบรรจุก๊าซมีน้ำหนักเบาลง แต่ก็ยังใหญ่และหนักมากกว่าถังน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไป
แปลงจุดด้อย เป็นจุดเด่น
ข้อเท็จจริง ปัญหาใหญ่ของก๊าซเอ็นจีวีอยู่ที่ราคาการติดตั้งอุปกรณ์และสถานีบริการเติมก๊าซซึ่งมีอยู่จำนวนน้อยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ
แต่ทางปตท.การันตีว่า จะเพิ่มสถานีบริการเอ็นจีวีอีก 5 สถานีภายในสิ้นปีนี้ และ 200 สถานีในปี 2551
พร้อมแรงจูงใจ ลดหย่อนภาษีสำหรับรถยนต์ เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ และให้การสนับสนุนการผลิตรถเอ็นจีวีในประเทศไทยอย่างจริงจัง
***************
ฤดูฝน..ขับรถยังไงให้ประหยัด &ปลอดภัย
ก้อ ฝนกำลังตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา เราเป็นห่วงคุณในการใช้รถบนถนนน้ำเจิ่ง(นอง)ในช่วงฤดูฝน เลยรวบรวมวิธีใช้รถอย่างระมัดระวังแบบประหยัดน้ำมัน
1. เช็กผ้าเบรก ช่วงหน้าฝนถนนจะลื่น ทำให้ต้องเบรกรถบ่อยกว่าปกติ ดังนั้นในการขับรถหน้าฝนจึงต้องคำนึงถึงเบรกเป็นสำคัญ คุณสามารถสังเกตได้จากเสียงขณะเบรกที่ดังผิดปกติ หรือเบรกแล้วไม่ค่อยอยู่
ยิ่งมีไฟเตือนแสดงบนหน้าปัดก็ต้องรีบเปลี่ยนผ้าเบรกทันที หากผ้าเบรกเสื่อมหรือตั้งระยะไม่ถูกต้อง ก็จะทำให้ไม่ปลอดภัยและสิ้นเปลื้องน้ำมันด้วย
2. เช็กลมและสภาพยาง ควรตรวจเช็กว่ายางสึกหรอ ถึงระดับต้องเปลี่ยนยางหรือยัง และควรเติมลมยางอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละครั้ง หรือทุกๆ 500 กม.
ถ้ายางสึกหรอหรือลมอ่อนจะทำให้การทรงตัวของรถไม่ดี และหากความดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐานทุกปอนด์ต่อตารางนิ้วจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 2% เช่น ยางขนาด 195 มิลลิเมตร ควรเติมลมยางขณะไม่บรรทุก 26 ปอนด์ และยางขนาด 205-235 มม. ควรเติมลมยางขณะไม่บรรทุก 26-29 ปอนด์
3. ปิดแอร์ ช่วงหน้าฝนอากาศตอนเช้าและตอนเย็นมักไม่ร้อน ลองปิดแอร์แล้วสูดอากาศธรรมชาติดูบ้าง จะช่วยลดการใช้น้ำมันได้
นอกจากนี้ การปิดสวิตช์ความเย็นก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที และเปิดพัดลมแรงสุด จะช่วยลดความชื้นและลดการเปิดเชื้อราในตู้แอร์ได้ แถมช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้ 30 ซีซี คิดเป็นเงินประมาณ 0.45 บาท รู้มั้ย หาก 80% ของรถยนต์ 5 ล้านคันช่วยกันจะสามารถประหยัดน้ำมัน คิดเป็นเงินถึง 1,314 ล้านบาทเชียวนะ
4. วางแผนก่อนเดินทาง หลีกเลี่ยงการนัดพบในชั่วโมงเร่งด่วน หรือช่วงที่คาดว่าฝนจะตก ควรปรับเปลี่ยนเป็นการติดต่อทางอื่นแทน เพราะหากรถติดอยู่กับที่เป็นเวลานานรวม 30 นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมันคิดเป็นเงิน 11.25 บาทเลยแหละ
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
ทั้งแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซลต่างๆ ถูกชูขึ้นมาเป็นพลังงานทดแทนการใช้น้ำมัน 100 % และดูเหมือนว่าแก๊สโซฮอล์กำลังประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ขณะที่ไบโอดีเซลยังไม่ก้าวไปถึงไหน
ตอนนี้ภาครัฐเริ่มกระตุ้นให้คนไทยหันมาสนใจ “ก๊าซเอ็นจีวี” (NGV) พลังงานทดแทนตัวเก่าที่นำมาปัดฝุ่นใหม่ (กระทรวงพลังงานได้ริเริ่มโครงการก๊าซเอ็นจีวีนี้มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2543)เราเลยจะมาบอกทุกขั้นตอน ตั้งแต่การติดตั้ง ราคา ปั๊มบริการ ตลอดจนตารางการเปรียบเทียบ เพื่อให้คุณพิจารณาว่าคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน
**************
ความหมาย
ก๊าซเอ็นจีวี(NGV มาจาก Natural Gas for Vehice) คือ รูปก๊าซธรรมชาติที่อัดด้วยความดัน 3,000 ปอนด์/ตารางนิ้ว มีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ ก๊าซมีเทนซึ่งมีคุณสมบัติเบากว่าอากาศ เป็นเชื้อเพลิงสะอาดและปลอดภัยกว่าพลังงานชนิดอื่นๆ
ระบบการทำงาน
เครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติมีระบบการควบคุมเชื้อเพลิงโดยอาศัยหลักการเดียวกับระบบของเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งมีพัฒนาการตั้งแต่ระบบที่ใช้คาร์บูเรเตอร์จนถึงระบบหัวฉีดที่ควบคุมด้วยระบบดิจิตอล
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบควบคุมเชื้อเพลิงที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นระบบหัวฉีดยังล้าหลังเครื่องยนต์เบนซิน โดยเพิ่งจะมีผู้ผลิต 2-3 รายเท่านั้นที่เริ่มดัดแปลงมาใช้ระบบหัวฉีด และเนื่องจากก๊าซธรรมชาติมีความหนาแน่นต่ำกว่าน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขในเรื่องของกำลังเครื่องยนต์ที่ลดลง
**********
รถของเราติดตั้งได้หรือไม่
เป็นคำถามที่ใครหลายๆคนยังสงสัย
ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล รถตู้ หรือรถกระบะ ล้วนติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวีได้ ขอเพียงเป็นรถที่มีระยะทางวิ่งประมาณ 50 กม./วัน หรืออยู่บริเวณที่มีสถานีบริการเอ็นจีวี 34 แห่ง
ปัจจุบันมีการผลิตเครื่องยนต์และโครงรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติโดยเฉพาะมากขึ้น ตั้งแต่รถบรรทุกขนาดเล็ก รถโดยสาร ไปจนถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่ ทว่ามีผู้ผลิตอุปกรณ์ดัดแปลงและเครื่องยนต์ที่ใช้ ก๊าซธรรมชาติไม่มากนัก ได้แก่ Volvo, Caterpillar, Cummins, MAN, Daimler — Chrysler ( Mercedes Benz ), Scania และ Renault
คุณสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมถึงรุ่นรถของคุณ และรายละเอียดเรื่องการติดตั้งได้ที่สายด่วนหาร 2 ให้ความรู้เรื่องก๊าซเอ็นจีวี โทร. 0-2612-1040 และสำนักประชาสัมพันธ์ กระทรวงพลังงาน โทร.0-2224-3894
ระดับราคา
เพราะรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรมและการขนส่งมากขึ้น จึงกำหนดเพดานราคาก๊าซเอ็นจีวีดังนี้
ปัจจุบัน - ปี 2549 กำหนดราคาในระดับร้อยละ 50 ของราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล
ปี 2550 ปรับเป็นร้อยละ 55 ของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91
ปี 2551 ปรับเป็นร้อยละ 60 ของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91
ปี 2552 ปรับเป็นร้อยละ 65 ของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91
เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ จึงกำหนดเพดานราคาไว้ไม่เกิน 10 บาท/ลิตร เบนซิน 91 หรือ 10.34 บาท/กิโลกรัม แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับสูงขึ้นเท่าใดก็ตาม
อุปกรณ์ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
สำหรับรถเครื่องยนต์เบนซินติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวี โดยใช้ระบบเชื้อเพลิงทวิ (BiFuel) สามารถเลือกใช้เบนซินหรือเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิง 2 ระบบใหญ่
1. แบบดูดก๊าซ (Fumigation) เหมาะกับเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์
- ชนิดวงจรเปิด (คล้ายกับระบบ NPG ในรถแท็กซี่ส่วนใหญ่) ค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 — 35,000 บาท/คัน (รวมทั้งก๊าซขนาด 70 ลิตร)
- ชนิดวงจรปิด มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการจ่ายก๊าซค่าใช้จ่ายประมาณ 40,000 — 50,000 บาท/คัน (รวมทั้งก๊าซขนาด 70 ลิตร)
2. แบบน้ำฉีด (Injection) ให้สมรรถนะใกล้เคียงกับรถเบนซิน ค่าใช้จ่ายประมาณ 50,000 — 60,000 บาท/คัน (รวมทั้งก๊าซขนาด 70 ลิตร)
ส่วนรถเครื่องยนต์ดีเซลติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวีโดยใช้ระบบเชื้อเพลิงร่วมสามารถใช้เอ็นจีวีร่วมกับดีเซลค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 — 45,000 บาท/คัน(รวมทั้งก๊าซขนาด 70 ลิตร)
ข่าวดี เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้เปิดตัว "โครงการเอ็นจีวีเพื่อประชาชน" เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนใช้ก๊าซเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์แทนการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล ทางกระทรวงพลังงานและปตท.ร่วมกันช่วยเหลือค่าติดตั้ง 10,000 บาท/คัน จำนวน 5,000 คันแรก และธนาคารออมสินยังจัดสินเชื่อพิเศษกับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี และประชาชนทั่วไปในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี ขอบอก ตอนนี้ติดตั้งไปได้แล้วกว่า 2,000 คัน ใครสนใจรีบสอบถามรายละเอียดโทร. 0-2217-7799 หรือ Call Center 1115 เพราะโครงการนี้จะสิ้นสุดก่อนปีใหม่ 2549 นี้แล้วนะ
ความปลอดภัย
ขณะนี้มีบริษัทบริการติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวีทั้งหมด 14 แห่งในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยได้มาตรฐานของปตท. คือ รถทุกคันที่ติดตั้งฯจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพและการติดตั้งให้เป็นไปตามกฎกระทรวง และผ่านการรับรองจากวิศวกรกรมขนส่งทางบก มาตรฐานของถังบรรจุก๊าซก็ต้องได้ ISO 11439 และ NGV2 2000 พร้อมกำหนดให้มีการติดตั้งอุปกรณ์นิรภัยที่วาล์วหัวถังก๊าซ เพื่อป้องกันการระเบิดกรณีความดันและอุณหภูมิของก๊าซในถังเกินกำหนด
นอกจากนี้ รถที่มีการติดตั้งฯจะได้รับบัตรเติมก๊าซซึ่งผ่านการตรวจสอบจากปตท.และกรมการขนส่งในการเข้าปั๊มไปเติมก๊าซทุกครั้ง ตรงบริเวณตัวรถยังมีการแปะสติกเกอร์ "รถใช้ก๊าซธรรมชาติอัด" ที่ด้านหน้าและด้านท้ายของตัวรถ มีแผ่นป้ายแสดงหมายเลขถังพร้อมระบุวันหมดอายุด้วย
อายุขัยของถังก๊าซ
หลังจากใช้งานแล้วประมาณ 3 ปี ควรนำรถที่ติดตั้งถังก๊าซเอ็นจีวีไปตรวจสอบในอู่ที่ติดตั้งให้ หรือกรณีที่เกิดอุบัติเหตุก็ควรขำไปตรวจสอบอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย สำหรับระยะเวลาการใช้งานตามมาตรฐานทั่วไปนั้นสามารถใช้งานได้ประมาณ 20 ปี
ข้อดี คุ้มมั้ย
แน่นอน หลายคนไม่แน่ใจว่าจะคุ้มค่าแค่ไหน เรามีข้อมูลมาให้คุณพิจารณาเพิ่มเติม เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันชนิดต่างๆตามท้องตลาดขณะนี้
การเติมก๊าซเอ็นจีวี 1 กิโลกรัมนั้นสามารถวิ่งได้ 10 กิโลเมตร เปรียบเทียบรถเอ็นจีวีกับรถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงแล้วพบว่า รถเอ็นจีวีสามารถลดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ร้อยละ 50 — 80 ก๊าซไฮโดรคาร์บอน ได้ร้อยละ 60 — 80 และลดก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ถึงร้อยละ 60 — 90 น่าสนใจ ว่าไม่มีฝุ่นละอองปล่อยออกมาเลย
ข้อเสีย ความพร้อม
ทางปตท.บอกว่า ก๊าซธรรมชาติให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับน้ำมัน แต่อาจไม่เท่ากันเนื่องจากไม่สามารถที่จะเข้าควบคุมสมบัติบางประการได้
ถ้าถามว่า เอ็นจีวีนั้นเหมาะสมกับเครื่องยนต์ประเภทไหนได้ดีนั้น จากผลการวิจัยของปตท.นั้นจะเข้ากันได้ดีกับเครื่องยนต์เบนซินมากกว่าเครื่องยนต์ดีเซล แต่ถ้าเครื่องยนต์ดีเซลจะติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวีนั้นก็สามารถทำได้โดยการดัดแปลงเครื่องยนต์(แต่ก็ยังมีราคาสูงอยู่ขณะนี้)
ความที่ก๊าซธรรมชาติมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำมัน รถเอ็นจีวีจึงควรมีถังบรรจุก๊าซติดตั้งที่รถประมาณ 2-4 ถัง เพื่อให้สามารถวิ่งเกินกว่า 250 ไมล์ หรือ 400 กิโลเมตร ทีนี้ปัญหาหลักของรถเอ็นจีวี คือ ถังบรรจุก๊าซมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก แม้ปัจจุบันพยายามพัฒนาให้ถังบรรจุก๊าซมีน้ำหนักเบาลง แต่ก็ยังใหญ่และหนักมากกว่าถังน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไป
แปลงจุดด้อย เป็นจุดเด่น
ข้อเท็จจริง ปัญหาใหญ่ของก๊าซเอ็นจีวีอยู่ที่ราคาการติดตั้งอุปกรณ์และสถานีบริการเติมก๊าซซึ่งมีอยู่จำนวนน้อยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ
แต่ทางปตท.การันตีว่า จะเพิ่มสถานีบริการเอ็นจีวีอีก 5 สถานีภายในสิ้นปีนี้ และ 200 สถานีในปี 2551
พร้อมแรงจูงใจ ลดหย่อนภาษีสำหรับรถยนต์ เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ และให้การสนับสนุนการผลิตรถเอ็นจีวีในประเทศไทยอย่างจริงจัง
***************
ฤดูฝน..ขับรถยังไงให้ประหยัด &ปลอดภัย
ก้อ ฝนกำลังตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา เราเป็นห่วงคุณในการใช้รถบนถนนน้ำเจิ่ง(นอง)ในช่วงฤดูฝน เลยรวบรวมวิธีใช้รถอย่างระมัดระวังแบบประหยัดน้ำมัน
1. เช็กผ้าเบรก ช่วงหน้าฝนถนนจะลื่น ทำให้ต้องเบรกรถบ่อยกว่าปกติ ดังนั้นในการขับรถหน้าฝนจึงต้องคำนึงถึงเบรกเป็นสำคัญ คุณสามารถสังเกตได้จากเสียงขณะเบรกที่ดังผิดปกติ หรือเบรกแล้วไม่ค่อยอยู่
ยิ่งมีไฟเตือนแสดงบนหน้าปัดก็ต้องรีบเปลี่ยนผ้าเบรกทันที หากผ้าเบรกเสื่อมหรือตั้งระยะไม่ถูกต้อง ก็จะทำให้ไม่ปลอดภัยและสิ้นเปลื้องน้ำมันด้วย
2. เช็กลมและสภาพยาง ควรตรวจเช็กว่ายางสึกหรอ ถึงระดับต้องเปลี่ยนยางหรือยัง และควรเติมลมยางอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละครั้ง หรือทุกๆ 500 กม.
ถ้ายางสึกหรอหรือลมอ่อนจะทำให้การทรงตัวของรถไม่ดี และหากความดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐานทุกปอนด์ต่อตารางนิ้วจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 2% เช่น ยางขนาด 195 มิลลิเมตร ควรเติมลมยางขณะไม่บรรทุก 26 ปอนด์ และยางขนาด 205-235 มม. ควรเติมลมยางขณะไม่บรรทุก 26-29 ปอนด์
3. ปิดแอร์ ช่วงหน้าฝนอากาศตอนเช้าและตอนเย็นมักไม่ร้อน ลองปิดแอร์แล้วสูดอากาศธรรมชาติดูบ้าง จะช่วยลดการใช้น้ำมันได้
นอกจากนี้ การปิดสวิตช์ความเย็นก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที และเปิดพัดลมแรงสุด จะช่วยลดความชื้นและลดการเปิดเชื้อราในตู้แอร์ได้ แถมช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้ 30 ซีซี คิดเป็นเงินประมาณ 0.45 บาท รู้มั้ย หาก 80% ของรถยนต์ 5 ล้านคันช่วยกันจะสามารถประหยัดน้ำมัน คิดเป็นเงินถึง 1,314 ล้านบาทเชียวนะ
4. วางแผนก่อนเดินทาง หลีกเลี่ยงการนัดพบในชั่วโมงเร่งด่วน หรือช่วงที่คาดว่าฝนจะตก ควรปรับเปลี่ยนเป็นการติดต่อทางอื่นแทน เพราะหากรถติดอยู่กับที่เป็นเวลานานรวม 30 นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมันคิดเป็นเงิน 11.25 บาทเลยแหละ
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-