กรุงเทพ--24 ม.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
คำกล่าวของ ฯพณฯ ดร. กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สำหรับการสัมมนาหัวข้อ “ภาพรวมนโยบายและการดำเนินงานด้านการต่างประเทศ” ในโครงการจัดการสัมมนาเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินการด้านการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานและมหาวิทยาลัยในจังหวัดชายแดน
คำกล่าวของ ฯพณฯ ดร. กันตธีร์ ศุภมงคล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
สำหรับการสัมมนาหัวข้อ “ภาพรวมนโยบายและการดำเนินงานด้านการต่างประเทศ”
ในโครงการจัดการสัมมนาเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินการด้านการต่างประเทศ
ร่วมกับหน่วยงานและมหาวิทยาลัยในจังหวัดชายแดน
วันเสาร์ที่ 21 มกราคม 2549 ณ ห้องประชุมเชียงแสน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
เรียน ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
ท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ผู้แทนส่วนราชการต่างๆ จังหวัดเชียงราย
ผู้แทนภาคเอกชนจังหวัดเชียงราย
คณาจารย์และนักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดเชียงราย
และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสนำคณะผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศมาเยี่ยมเยือนดินแดนเหนือสุดยอดในสยามและได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับทุกท่านในวันนี้ กระทรวงการต่างประเทศเลือกจังหวัดเชียงรายเป็นจุดเริ่มต้นโครงการจัดสัมมนาเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินการด้านการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานและมหาวิทยาลัยในจังหวัดชายแดน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความพยายามของกระทรวงการต่างประเทศที่จะส่งเสริมงาน “การทูตเพื่อประชาชน” ในมุมที่จะเพิ่มการปฏิสัมพันธ์ของข้าราชการของเรากับท่านทั้งหลาย แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ มุมมองที่เรามีอยู่จากการปฏิบัติงานด้านต่างประเทศที่เราเป็นเจ้าภาพหลักของรัฐบาลให้ท่านได้รับรู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง และในขณะเดียวกัน เราจะได้มีโอกาสเรียนรู้และเปิดโลกทัศน์ของเราจากการรับฟัง
ท่านทั้งหลายด้วย
(การทูตเพื่อประชาชน)
ตั้งแต่ผมเข้ามารับหน้าที่ที่กระทรวงการต่างประเทศ นอกเหนือจากการสานต่อยุทธศาสตร์การต่างประเทศเชิงรุกหรือ Forward Engagement ที่รัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรีทักษิณฯ ดำเนินมาซึ่งมุ่งเน้นการขยายความสัมพันธ์และบทบาทเชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ ในโลก ในเชิงกว้างและเชิงลึก อย่างมียุทธศาสตร์ เพื่อให้ไทยมีสถานะที่เด่นชัดและมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในสายตาประเทศต่างๆ และในเวทีโลกแล้ว ผมยังชูธงเรื่อง “การทูตเพื่อประชาชน” อย่างชัดเจนและมอบนโยบายกับข้าราชการทุกระดับของกระทรวงฯ ในทุกโอกาสที่พบกันว่านโยบายและการดำเนินงานด้านต่างประเทศควรจะคำนึงถึงเป้าหมายหลักที่สำคัญในการ “ทำให้โลกทั้งใบเป็นประโยชน์ต่อไทย” ซึ่งผมคิดว่าเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนและสะท้อนสิ่ง
ที่กระทรวงการต่างประเทศทำมาโดยตลอดและมุ่งมั่นที่จะทำให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
การทูตเพื่อประชาชนมุ่งเน้นให้นโยบายและการดำเนินงานด้านต่างประเทศสามารถตอบสนองต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายด้านต่างประเทศซึ่งนับวันจะมีมิติที่หลากหลายและมีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของท่านทั้งหลายและต่อการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ การต่างประเทศในปัจจุบันกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวของท่าน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ท่านทั้งหลายได้เข้ามาเป็น “ผู้เล่น” หรือ “ผู้สนับสนุน” งานด้านต่างประเทศในระดับที่ต่างๆ กันไป โลกในยุคโลกาภิวัตน์ทำให้ท่านได้รับข้อมูลข่าวสารด้านต่างประเทศอย่างรวดเร็วฉับไหวแค่ปลายนิ้ว แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องการให้ท่านได้รับข้อมูลข่าวสารโดยตรง
จากกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและเพื่อที่เราจะได้ร่วมมือกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เล่นบทบาทที่สอดคล้อง มีเอกภาพ และส่งเสริมซึ่งกันและกัน รวมทั้งใช้งานการต่างประเทศเพื่อเอื้อประโยชน์สูงสุดให้กับพี่น้องประชาชน
นอกจากนั้น ผมคิดว่าในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศเอง สามารถทำอะไรได้อีกมากเพื่อประชาชนกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะบทบาทของเราในการสร้างโอกาสและกรุยทางให้กับภาคเอกชน
การนำความรู้ ประสบการณ์ ความสามารถพิเศษ วิทยาการ นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยของต่างประเทศมาเผยแพร่ภายในประเทศเพื่อนำไปสู่การเลือกที่จะปรับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ การดึงคนและเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาช่วยในการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมพร้อมให้กับสังคมไทยให้รู้เท่าทันและมีเกราะป้องกันทางสังคมที่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับผลกระทบในด้านลบของกระแสโลกาภิวัตน์ในด้านต่างๆ ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้โดยอาศัยจุดแข็งที่กระทรวงการต่างประเทศมีอยู่คือ สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ ที่มีอยู่ทั่วโลก
ที่ผ่านมา ตั้งแต่ผมเข้ารับตำแหน่งในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ผมได้เดินทางไปจังหวัดต่างๆ หลายครั้งและได้พบกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เช่น เมื่อเดือนสิงหาคม ผมได้นำคณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ของเราทั่วโลกเดินทางไปเยี่ยมจังหวัดกระบี่เพื่อเยี่ยมชมโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สหกรณ์นิคมอ่าวลึก จำกัด ซึ่งเป็นการพัฒนาพลังงานทดแทนเพื่อรองรับกับสถานการณ์วิกฤตด้านพลังงานที่เกิดขึ้นในโลก ต่อจากนั้นได้เดินทางไปเยี่ยมจังหวัดปัตตานีและมีโอกาส
รับฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งไปเยี่ยมจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นหนึ่ง
ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิด้วย หัวใจสำคัญคือ แม้ว่าชื่อเราจะเป็นกระทรวงการต่างประเทศ แต่เราไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะกับการ “รู้เขา” คือรู้แต่เรื่องของต่างประเทศเท่านั้น แต่เรายังให้ความสำคัญกับการจับชีพจรของเรื่องภายในประเทศ และส่งเสริมให้บุคลากรของเราที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก “รู้เรา” ให้มาก และสามารถเชื่อมโยงภาพของงานด้านต่างประเทศกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาภายในประเทศได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม
ในเดือนตุลาคม ผมได้เดินทางไปอำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ถือโอกาสที่ไปร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ไปเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนยุวทูตความดี เฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งเป็นโครงการที่กระทรวงการต่างประเทศริเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2542 เพื่อถวายเป็นพระราชสักการะเนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 72 พรรษา ด้วยความตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาและการเตรียมความพร้อมให้แก่ทรัพยากรบุคคลของชาติตั้งแต่วัยเด็กและเยาวชน โดยพยายามปลูกฝังจิตสำนึก ความรับผิดชอบ การมีวินัย ความรักสามัคคี และมีองค์ความรู้และความคิดที่ก้าวไกลและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต ที่จังหวัดเชียงรายเอง ก็มีโรงเรียนที่อยู่ในโครงการนี้ถึง 20 โรง นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการขยายบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในการพัฒนา “คน” ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของประเทศ
นอกจากนั้น ผมยังสนับสนุนให้ผู้บริหารและข้าราชการของกระทรวงการต่างประเทศเดินทางไปพบปะกับข้าราชการ ภาคเอกชน และพี่น้องประชาชนตามจังหวัดต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และ
ที่ผ่านมา หน่วยงานของเราบางหน่วยมีโครงการออกไปให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับพี่น้องประชาชน
ในเรื่องต่างๆ ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องด้านกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเขตแดน เรื่องที่เกี่ยวกับ
กรอบอาเซียน และเรื่องที่เกี่ยวกับสหประชาชาติ รวมทั้งไปเยี่ยมโรงเรียนที่อยู่ในโครงการยุวทูตความดีฯ ตามจังหวัดต่างๆ
ในด้านของการบริหาร ตามที่ท่านคงทราบกันดีว่า ตั้งแต่ปี 2546 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและเอกอัครราชทูตในต่างประเทศทั้งหมดมีการบริหารราชการในลักษณะบูรณาการหรือ CEO ซึ่งเราคำนึงถึงความเชื่อมโยงในการปฏิบัติงานของทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและเอกอัครราชทูต CEO โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงเห็นความร่วมมือที่มากขึ้นระหว่างสองฝ่าย โดยได้มีการประชุมระหว่างทูต CEO ประเทศเพื่อนบ้านกับผู้ว่าฯ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบนเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2547 ที่จังหวัดเชียงใหม่ และกับผู้ว่าฯ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน ที่จังหวัดขอนแก่น
และในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ผมจะไปเข้าร่วมการประชุมร่วมกันระหว่างสองฝ่ายเป็นครั้งที่ 3 ที่จังหวัดขอนแก่น ความคืบหน้าที่สำคัญคือการที่ CEO ทั้งสองฝ่ายไม่เพียงแต่พบปะและแลกเปลี่ยนกัน แต่ยังมีการประสานยุทธศาสตร์กันอย่างจริงจัง โดยยึดนโยบายต่างประเทศของไทยต่อประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญของรัฐบาล ได้แก่ การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ การสร้างความเจริญให้กับประเทศเพื่อนบ้านหรือที่เรียกว่านโยบาย Prosper thy Neighbour รวมไปถึงกรอบความร่วมมือ ACMECS และ GMS เป็นตัวตั้ง และได้มีการจัดตั้งกลไกที่จะผลักดันการประสานยุทธศาสตร์ที่เป็นรูปธรรม คือ ศูนย์ปฏิบัติการภูมิภาคหรือ Regional Operation Center (ROC) ต้นแบบ ขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น โดยมีมหาวิทยาลัย ขอนแก่นซึ่งมีความเชี่ยวชาญและเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นคลังสมองที่สำคัญ และกระทรวงการต่างประเทศสนับสนุนแนวทางการพัฒนาคนในพื้นที่ที่มีความรู้ความสามารถให้ทำหน้าที่เป็นวิเทศสัมพันธ์จังหวัด โดยพร้อมที่จะจัดการฝึกอบรมงานด้านการต่างประเทศให้กับบุคลากรเหล่านี้ และผมพูดแทนกระทรวงการต่างประเทศและข้าราชการทุกคนว่า เราพร้อมให้ความร่วมมือในการทำงานร่วมกับจังหวัดต่างๆ อย่างเต็มที่
ผมหวังว่าเมื่อศูนย์ปฏิบัติการภูมิภาคต้นแบบที่จังหวัดขอนแก่นดำเนินงานไปได้ระยะหนึ่งและประสบผลสำเร็จด้วยดี จะมีการขยายผลไปยังภูมิภาคอื่นๆ รวมทั้งภาคเหนือ ซึ่งเชียงรายอาจจะเป็นจุดศูนย์กลางและสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพของจังหวัด เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สามารถเป็นคลังสมองให้กับศูนย์ปฏิบัติการภูมิภาคที่จะเกิดขึ้นในภาคเหนือได้เป็นอย่างดี ผมคิดว่าในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรีซึ่งมีข้อริเริ่มใหม่ๆ และพยายามผลักดันโครงการต่างๆ เพื่อสร้างงาน สร้างโอกาส เพิ่มรายได้ และขจัดความยากจนของประชาชนอยู่ตลอดเวลานั้น การทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพและมียุทธศาสตร์ร่วมกันระหว่างทัพภายในประเทศและทัพภายนอกประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพื่อเป้าหมายร่วมกันคือ ผลประโยชน์ของประเทศ ความกินดีอยู่ดีของประชาชน ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน สันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
(ยุทธศาสตร์การต่างประเทศเชิงรุก : Forward Engagement)
ท่านทั้งหลายครับ
ผมอยากจะใช้เวลาสั้นๆ ชี้แจงให้ท่านรับทราบภาพรวมยุทธศาสตร์และการดำเนินงานด้านการต่างประเทศ ซึ่งเพื่อนข้าราชการของผมและผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งได้ตอบรับคำเชิญของกระทรวงการต่างประเทศและสละเวลามาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ที่น่าสนใจกับท่านในวันนี้ คงจะลงลึกในรายละเอียดของแต่ละเรื่องต่อไปในการสัมมนาหลังจากนี้ และในวันพรุ่งนี้ ต่อไป
ดังที่ผมได้กล่าวไว้แล้วตอนต้นว่า รัฐบาลใช้ยุทธศาสตร์การต่างประเทศเชิงรุก (Forward Engagement) เป็นหลัก ภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าว ได้มีการจัดลำดับชั้นของความสัมพันธ์ เพื่อที่ไทย
จะสามารถกำหนดและดำเนินกลยุทธ์ในการสัมพันธ์กับประเทศหรือกลุ่มประเทศเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หัวใจสำคัญคือ เอกภาพและความเข้มแข็งภายในของเราเอง (หรือที่กระทรวงการต่างประเทศใช้คำว่า Internal Management of External Relations) และท่านนายกรัฐมนตรีย้ำเสมอว่า ไม่ว่าจะเป็นใครหรือหน่วยงานไหน เมื่อทำงานด้านการต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่สุดคือ จะต้องพูดภาษาเดียวกัน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์และไม่สร้างความสับสนให้กับต่างประเทศ ในขณะนี้ การปฏิรูประบบบริหารราชการต่างประเทศมีความคืบหน้าไปตามลำดับ รัฐบาลมีแนวทางชัดเจนที่ต้องการเห็นการ
บูรณาการของการทำงานด้านต่างประเทศทั้งในพื้นที่และที่ส่วนกลาง มีกลไกที่จะผลักดันทั้งด้านงาน เงิน คน และกฎระเบียบ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องวัฒนธรรมการทำงานและทัศนคติ ของการทำงานร่วมกันเป็นทีม ซึ่งต้องอาศัยเวลาและความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย
(ภาพรวมยุทธศาสตร์ในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน)
ประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นหัวใจสำคัญในยุทธศาสตร์การต่างประเทศของไทย ประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะเน้นคือ เป้าหมายอันดับแรกในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านคือ การสร้างความเป็นมิตรและความไว้เนื้อเชื่อใจ รวมทั้งความสงบสุขตามแนวชายแดนของทั้งสองฝ่าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้เพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นสิ่งที่สั่งสมและต้องเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้มีความยั่งยืน ทั้งนี้ ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นเรื่องนามธรรมและไม่สามารถวัดผลได้ทันทีหรือชัดเจน แต่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว รวมไปถึงความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามปัญหาข้ามชาติ การสร้างความไว้เนื่อเชื่อใจนั้น เรื่องของความจริงใจเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ประเทศเพื่อนบ้านเข้มแข็งและไม่สร้างความรู้สึกว่าเราเข้าไปฉกฉวยประโยชน์จากเขา นอกจากนั้น ความสัมพันธ์ที่ดีในระดับผู้นำและระหว่างประชาชนเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่จะช่วยส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นในระยะยาว
(ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-พม่า ไทย-ลาว และไทย-จีนตอนใต้ โดยสังเขป)
สำหรับจังหวัดเชียงรายนั้น มีความเกี่ยวพันกับต่างประเทศมาก ในวิสัยทัศน์จังหวัดได้มีการพูดถึงการเป็น “ชายแดนสามแผ่นดิน” กล่าวคือ เชื่อมโยงกับพม่าและลาว รวมไปถึงจีนตอนใต้ซึ่งเชื่อมโยงกันภายใต้กรอบความร่วมมือต่างๆ และเส้นทางคมนาคม ในกรณีของพม่า เป็นเพื่อนบ้านที่มีความสำคัญ การมีพรมแดนร่วมถึง 2,401 กิโลเมตรทำให้ความเป็นไปในพม่าเกี่ยวโยงกับความมั่นคงของไทยอย่างลึกซึ้ง ดังนั้น รัฐบาลถือเป็นนโยบายที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีเพื่อสร้างบรรยากาศที่สันติและเสริมสร้างความมั่นคงบริเวณชายแดน รวมทั้ง เพื่ออำนวยให้ความร่วมมือในด้าน
ต่าง ๆ ดำเนินไปได้ ทั้งนี้ โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการร่วมมือในการแก้ไขปัญหาข้ามแดนระหว่างกัน ในด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยสนับสนุนความร่วมมือในเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันโดยเฉพาะในด้านที่จะเกื้อหนุนในความพยายามของพม่าในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แม่น้ำสายแห่งที่ 2 ซึ่งจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้เป็นสิ่งยืนยันในเจตนารมย์ของรัฐบาลไทยที่ต้องการจะเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพม่าและอำนวยความสะดวกในการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของสองประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลไทยปรารถนาที่จะร่วมมือกับพม่าและประชาคมระหว่างประเทศในการสนับสนุนช่วยเหลือให้พม่าเดินหน้าไปสู่การปรองดองแห่งชาติและประชาธิปไตย โดยไทยพร้อมมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับลาว เพิ่งผ่านการเฉลิมฉลองครบรอบ 55 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาวมาเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2548 ไทย-ลาวเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงที่มีความผูกพันและใกล้ชิดกันในทุกด้าน ในปี 2547 ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-ลาวอย่างไม่เป็นทางการเป็นครั้งแรกซึ่งได้ช่วยพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ความร่วมมือที่เห็นเป็นรูปธรรมมีอาทิ การก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ “น้ำเทิน2” ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปร่วมพิธีเปิดโครงการเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างของการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของสองฝ่าย โดยไทยสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในลาว และรับซื้อกระแสไฟฟ้าจาก “น้ำเทิน2” เพื่อนำมาใช้ในไทย ขณะที่ลาวได้รับรายได้ที่ชัดเจนจากการขายไฟฟ้าให้ไทยเพื่อนำไปใช้พัฒนาประเทศและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนลาวต่อไป นอกจากนั้น ยังมีสมาคมไทย-ลาวเพื่อมิตรภาพ (ตั้งที่ฝ่ายไทย) และสมาคมลาว-ไทยเพื่อมิตรภาพ (ตั้งที่ฝ่ายลาว) เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันความร่วมมือทางด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และวิชาการ เพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศด้วย
ในส่วนของจีนตอนใต้ ไทยกับมณฑลยูนนานมีความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในกรอบทวิภาคีและในกรอบความร่วมมืออื่นๆ อาทิ กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS (Greater Mekong Sub-region) สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ การเปิดเสรีทางการค้าผัก-ผลไม้ไทย-จีน และการเปิดเสรีทางการค้าอาเซียน-จีน รวมไปถึงความร่วมมือทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาโรคเอดส์ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับมณฑลยูนนานมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้มากขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเส้นทางสายคุนหมิง-เชียงรายเสร็จสมบูรณ์ประมาณปลายปี 2549 หรือต้นปี 2550 เพิ่มเติมจากที่ไทย-ยูนนานมีเส้นทางคมนาคมติดต่อทางน้ำโดยการเดินเรือในแม่น้ำโขงที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2544 และเส้นทางคมนาคมทางอากาศ กอปรกับมณฑลยูนนานเองมีสภาพเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น ประชากรมีรายได้และกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น เป็นมณฑลสำคัญในแผนพัฒนาภาคตะวันตกของรัฐบาลจีน และสามารถเป็นแหล่งกระจายสินค้าของไทยทางตอนใต้และตะวันตกของจีนได้เป็นอย่างดี
(ยุทธศาสตร์ความร่วมมือ ACMECS (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy)
นอกจากการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจแล้ว รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการสร้างความเจริญให้กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลดช่องว่างของการพัฒนาและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับประเทศเหล่านั้น นายกรัฐมนตรีจึงได้ริเริ่มกรอบความร่วมมือ ACMECS ขึ้น เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันและก่อให้เกิดความเจริญเติบโตมากขึ้นตามแนวชายแดน เพื่ออำนวยความสะดวกให้มีการเคลื่อนย้ายอุตสาหกรรมเกษตรและการผลิตไปยังบริเวณที่มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ เพื่อสร้างโอกาสจ้างงานและลดความแตกต่างของรายได้ในระหว่างประเทศสมาชิก และเพื่อส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่งร่วมกันสำหรับทุกฝ่ายในลักษณะที่ยั่งยืน และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากประเทศสมาชิกปัจจุบันอีก 4 ประเทศ คือ พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม พม่าได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับผู้นำ ACMECS ครั้งแรกที่เมืองพุกาม ในเดือนพฤศจิกายน 2546 และเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2548 ไทยได้เป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้นำ ACMECS ครั้งที่ 2 ที่กรุงเทพฯ ซึ่งผู้นำได้รับทราบความคืบหน้า
ใน 6 สาขาความร่วมมือ ได้แก่ การอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุน เกษตรกรรมและอุตสาหกรรม การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และสาธารณสุข และได้ร่วมกันลงนามในปฏิญญาการประชุมฯ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นและสร้างความพร้อมสำหรับอนาคตให้แก่อนุภูมิภาค และลงนามร่วมกันในปฏิญญาผู้นำว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนเพื่อต่อสู้กับโรคไข้หวัดนกและโรคติดต่ออื่นๆ โดยไทยประกาศจัดตั้งกองทุนจำนวน 100 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนการดำเนินการภายใต้ปฏิญญา
(กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS)
กรอบ GMS เป็นความร่วมมือที่มีมาตั้งแต่ปี 2535 ระหว่าง 6 ประเทศที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน ได้แก่ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีนตอนใต้ (มณฑลยูนนานและเขตปกครองตนเองกวางสี) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สนับสนุนการจ้างงานและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น โดยมีธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียหรือ ADB เป็นผู้ให้การสนับสนุน โครงการความร่วมมือในกรอบ GMS แบ่งเป็น 9 ด้าน ได้แก่ คมนาคมขนส่ง การลงทุน การสื่อสาร พลังงาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สิ่งแวดล้อม การค้า การท่องเที่ยว และการเกษตร โดยความสำเร็จที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจโดยมีโครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงทางคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย
East West Economic Corridor พม่า-ไทย-ลาว-เวียดนาม
North South Economic Corridor ไทย-พม่า-ลาว-จีน
Southern Economic Corridor ไทย-กัมพูชา-เวียดนาม
(ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจหรือ BIMSTEC)
BIMSTEC ก่อตั้งเมื่อปี 2540 เป็นกรอบความร่วมมือระหว่าง 7 ประเทศในแถบอ่าว
เบงกอล ได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย พม่า เนปาล ศรีลังกา และไทย โดยเป็นกรอบเดียวที่เชื่อม
อนุภูมิภาคเอเชียใต้เข้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ BIMSTEC เป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีประชากรรวมถึง 1,300 ล้านคน แต่ยังมีการค้า การลงทุน และการเดินทางระหว่างกันค่อนข้างน้อย ในปัจจุบัน สาขาความร่วมมือใน BIMSTEC มีกว้างขวางถึง 13 สาขา อาทิ การค้าและการลงทุน พลังงาน การสื่อสารและคมนาคม เทคโนโลยี รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ การลดความยากจน การปฏิสัมพันธ์ในระดับประชาชน และวัฒนธรรม นอกจากนั้น ประเทศสมาชิกยังได้ลงนามในกรอบความตกลงเขตการค้าเสรี BIMSTEC แล้ว และมีเป้าหมายที่จะเร่งรัดเจรจาด้านตัวสินค้าก่อนเป็นลำดับแรกเพื่อให้เริ่มลดภาษีได้ในกลางปี 2549
(กรอบความร่วมมืออาเซียน)
อาเซียนเป็นเสาหลักในการดำเนินยุทธศาสตร์ต่างประเทศของไทยมายาวนาน ก่อตั้งใน
ปี 2510 นับจนถึงวันนี้ก็ 38 ปีแล้ว มีสมาชิก 10 ประเทศ ขณะนี้เป้าหมายหลักคือ การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนที่สมบูรณ์ในปี 2558 ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
ซึ่งผมได้เน้นว่า จะต้องลงไปถึงระดับประชาชนด้วย ทั้งนี้ ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 11 เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้ที่ประเทศมาเลเซีย ท่านนายกรัฐมนตรีได้นำเสนอแนวความคิดหลายเรื่อง เช่น ความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาไข้หวัดนก พันธบัตรเอเชีย ความมั่นคงทางพลังงาน และการผลักดันให้อาเซียนเป็นประชาคมอิเล็กทรอนิกส์ (e-community) ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น
นอกจากนั้น ภายหลังการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 11 ยังมีการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก หรือ East Asia Summit (EAS) ครั้งแรก โดยผู้นำอาเซียนได้ประชุมร่วมกับผู้นำจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานไปสู่การขยายวงของความเป็นประชาคม โดยมีอาเซียนเป็นตัวขับเคลื่อนต่อไป
(กรอบความร่วมมือเอเชียหรือ ACD)
ACD เป็นความริเริ่มของนายกรัฐมนตรี จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2545 โดยไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ ACD ครั้งแรกที่ชะอำ ล่าสุด ปากีสถานได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ ACD ครั้งที่ 4 ขณะนี้ ACD มีสมาชิก 28 ประเทศ จากทุกอนุภูมิภาคของเอเชีย (เกินครึ่งหนึ่งของจำนวนประเทศในเอเชียทั้งหมด) โดยประเทศต่างๆ ได้อาสาเป็นผู้ขับเคลื่อนในสาขาความร่วมมือที่มีทั้งสิ้น 20 สาขา ในขณะที่ประเทศไทยรับเป็นผู้ขับเคลื่อนในสาขาการท่องเที่ยวและการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย และระหว่างวันที่ 31 เมษายน — 1 พฤษภาคม 2549 ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีคลัง ACD ครั้งที่ 1 ที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อผลักดันการพัฒนาตลาด
พันธบัตรเอเชีย
ACD เป็นยุทธศาสตร์ของไทยต่อเอเชียที่มีบทบาทในการรวมพลังของเอเชีย ซึ่งแม้ว่าแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน แต่ก็มีจุดแข็งที่นำมาเสริมซึ่งกันและกันได้เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของเอเชียโดยรวม ทั้งนี้ ACD มุ่งสู่การเป็นประชาคมแห่งเอเชีย ซึ่งขณะนี้มีพัฒนาการในอนุภูมิภาคของเอเชียเกิดขึ้นในกรอบต่างๆ ที่มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน โดยมี ACD เป็นกรอบใหญ่ที่เตรียมไว้รองรับ
(การเสริมสร้างหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์)
นอกเหนือจากการผลักดันยุทธศาสตร์ความร่วมมือกับประเทศในระดับภูมิภาคและ
อนุภูมิภาคดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ไทยยังผลักดันการเสริมสร้างหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับประเทศต่างๆ โดยเปลี่ยนสถานะของตัวเองจากการเป็นผู้รับมาเป็นผู้ให้ ร่วมมือกับประเทศผู้ให้อื่นๆ ในการช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาภูมิภาค ส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆ โดยอาศัยการทำเขตการค้าเสรี หรือ FTA เป็นเครื่องมือ โดยขณะนี้ ไทยได้ทำ FTA กับหลายประเทศ อาทิ จีน ซึ่งเริ่มต้นในรายการผักและผลไม้ไปตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546 ส่งผลให้การค้าทวิภาคีระหว่างสองประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยจีนเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 3 ของไทย และไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 14 ของจีน อย่างไรก็ดี
ยังมีสิ่งท้าทายหลายประการที่สองฝ่ายจะต้องหารือและแก้ไขร่วมกัน อาทิ อุปสรรคทางการค้าในด้านพิธีการปฏิบัติ เพื่ออำนวยความสะดวกให้การค้าสองฝ่ายมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น รัฐบาลไทยได้จัดทำแผนปฏิบัติการกับฝรั่งเศส และกำลังจัดทำแผน
ปฏิบัติการในลักษณะเดียวกันนี้กับประเทศมหาอำนาจ (สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและเยอรมนี ญี่ปุ่น) เพื่อเป็นแนวทางส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในทุกสาขา
นอกจากประเทศมหาอำนาจแล้ว ผมยังได้เดินทางไปสร้างความสัมพันธ์และ
บุกเบิกตลาดใหม่สำหรับไทยในภูมิภาคที่ห่างไกล เช่น ลาตินอเมริกาที่เปรูและคอสตาริกา
ยุโรปตะวันออกที่โรมาเนีย รวมทั้งได้เดินทางไปประเทศเคนยาพร้อมกับท่านนายกรัฐมนตรี เพื่อบุกเบิกตลาดแอฟริกาด้วย
(ข้อริเริ่ม “พันธมิตรเพื่อการพัฒนา” Thailand : Partnership for Development)
ล่าสุด ท่านคงได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับข้อริเริ่ม “พันธมิตรเพื่อการพัฒนา” เพื่อ
(ยังมีต่อ)
คำกล่าวของ ฯพณฯ ดร. กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สำหรับการสัมมนาหัวข้อ “ภาพรวมนโยบายและการดำเนินงานด้านการต่างประเทศ” ในโครงการจัดการสัมมนาเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินการด้านการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานและมหาวิทยาลัยในจังหวัดชายแดน
คำกล่าวของ ฯพณฯ ดร. กันตธีร์ ศุภมงคล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
สำหรับการสัมมนาหัวข้อ “ภาพรวมนโยบายและการดำเนินงานด้านการต่างประเทศ”
ในโครงการจัดการสัมมนาเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินการด้านการต่างประเทศ
ร่วมกับหน่วยงานและมหาวิทยาลัยในจังหวัดชายแดน
วันเสาร์ที่ 21 มกราคม 2549 ณ ห้องประชุมเชียงแสน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
เรียน ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
ท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ผู้แทนส่วนราชการต่างๆ จังหวัดเชียงราย
ผู้แทนภาคเอกชนจังหวัดเชียงราย
คณาจารย์และนักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดเชียงราย
และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสนำคณะผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศมาเยี่ยมเยือนดินแดนเหนือสุดยอดในสยามและได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับทุกท่านในวันนี้ กระทรวงการต่างประเทศเลือกจังหวัดเชียงรายเป็นจุดเริ่มต้นโครงการจัดสัมมนาเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินการด้านการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานและมหาวิทยาลัยในจังหวัดชายแดน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความพยายามของกระทรวงการต่างประเทศที่จะส่งเสริมงาน “การทูตเพื่อประชาชน” ในมุมที่จะเพิ่มการปฏิสัมพันธ์ของข้าราชการของเรากับท่านทั้งหลาย แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ มุมมองที่เรามีอยู่จากการปฏิบัติงานด้านต่างประเทศที่เราเป็นเจ้าภาพหลักของรัฐบาลให้ท่านได้รับรู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง และในขณะเดียวกัน เราจะได้มีโอกาสเรียนรู้และเปิดโลกทัศน์ของเราจากการรับฟัง
ท่านทั้งหลายด้วย
(การทูตเพื่อประชาชน)
ตั้งแต่ผมเข้ามารับหน้าที่ที่กระทรวงการต่างประเทศ นอกเหนือจากการสานต่อยุทธศาสตร์การต่างประเทศเชิงรุกหรือ Forward Engagement ที่รัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรีทักษิณฯ ดำเนินมาซึ่งมุ่งเน้นการขยายความสัมพันธ์และบทบาทเชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ ในโลก ในเชิงกว้างและเชิงลึก อย่างมียุทธศาสตร์ เพื่อให้ไทยมีสถานะที่เด่นชัดและมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในสายตาประเทศต่างๆ และในเวทีโลกแล้ว ผมยังชูธงเรื่อง “การทูตเพื่อประชาชน” อย่างชัดเจนและมอบนโยบายกับข้าราชการทุกระดับของกระทรวงฯ ในทุกโอกาสที่พบกันว่านโยบายและการดำเนินงานด้านต่างประเทศควรจะคำนึงถึงเป้าหมายหลักที่สำคัญในการ “ทำให้โลกทั้งใบเป็นประโยชน์ต่อไทย” ซึ่งผมคิดว่าเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนและสะท้อนสิ่ง
ที่กระทรวงการต่างประเทศทำมาโดยตลอดและมุ่งมั่นที่จะทำให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
การทูตเพื่อประชาชนมุ่งเน้นให้นโยบายและการดำเนินงานด้านต่างประเทศสามารถตอบสนองต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายด้านต่างประเทศซึ่งนับวันจะมีมิติที่หลากหลายและมีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของท่านทั้งหลายและต่อการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ การต่างประเทศในปัจจุบันกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวของท่าน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ท่านทั้งหลายได้เข้ามาเป็น “ผู้เล่น” หรือ “ผู้สนับสนุน” งานด้านต่างประเทศในระดับที่ต่างๆ กันไป โลกในยุคโลกาภิวัตน์ทำให้ท่านได้รับข้อมูลข่าวสารด้านต่างประเทศอย่างรวดเร็วฉับไหวแค่ปลายนิ้ว แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องการให้ท่านได้รับข้อมูลข่าวสารโดยตรง
จากกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและเพื่อที่เราจะได้ร่วมมือกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เล่นบทบาทที่สอดคล้อง มีเอกภาพ และส่งเสริมซึ่งกันและกัน รวมทั้งใช้งานการต่างประเทศเพื่อเอื้อประโยชน์สูงสุดให้กับพี่น้องประชาชน
นอกจากนั้น ผมคิดว่าในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศเอง สามารถทำอะไรได้อีกมากเพื่อประชาชนกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะบทบาทของเราในการสร้างโอกาสและกรุยทางให้กับภาคเอกชน
การนำความรู้ ประสบการณ์ ความสามารถพิเศษ วิทยาการ นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยของต่างประเทศมาเผยแพร่ภายในประเทศเพื่อนำไปสู่การเลือกที่จะปรับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ การดึงคนและเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาช่วยในการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมพร้อมให้กับสังคมไทยให้รู้เท่าทันและมีเกราะป้องกันทางสังคมที่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับผลกระทบในด้านลบของกระแสโลกาภิวัตน์ในด้านต่างๆ ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้โดยอาศัยจุดแข็งที่กระทรวงการต่างประเทศมีอยู่คือ สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ ที่มีอยู่ทั่วโลก
ที่ผ่านมา ตั้งแต่ผมเข้ารับตำแหน่งในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ผมได้เดินทางไปจังหวัดต่างๆ หลายครั้งและได้พบกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เช่น เมื่อเดือนสิงหาคม ผมได้นำคณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ของเราทั่วโลกเดินทางไปเยี่ยมจังหวัดกระบี่เพื่อเยี่ยมชมโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สหกรณ์นิคมอ่าวลึก จำกัด ซึ่งเป็นการพัฒนาพลังงานทดแทนเพื่อรองรับกับสถานการณ์วิกฤตด้านพลังงานที่เกิดขึ้นในโลก ต่อจากนั้นได้เดินทางไปเยี่ยมจังหวัดปัตตานีและมีโอกาส
รับฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งไปเยี่ยมจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นหนึ่ง
ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิด้วย หัวใจสำคัญคือ แม้ว่าชื่อเราจะเป็นกระทรวงการต่างประเทศ แต่เราไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะกับการ “รู้เขา” คือรู้แต่เรื่องของต่างประเทศเท่านั้น แต่เรายังให้ความสำคัญกับการจับชีพจรของเรื่องภายในประเทศ และส่งเสริมให้บุคลากรของเราที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก “รู้เรา” ให้มาก และสามารถเชื่อมโยงภาพของงานด้านต่างประเทศกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาภายในประเทศได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม
ในเดือนตุลาคม ผมได้เดินทางไปอำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ถือโอกาสที่ไปร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ไปเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนยุวทูตความดี เฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งเป็นโครงการที่กระทรวงการต่างประเทศริเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2542 เพื่อถวายเป็นพระราชสักการะเนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 72 พรรษา ด้วยความตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาและการเตรียมความพร้อมให้แก่ทรัพยากรบุคคลของชาติตั้งแต่วัยเด็กและเยาวชน โดยพยายามปลูกฝังจิตสำนึก ความรับผิดชอบ การมีวินัย ความรักสามัคคี และมีองค์ความรู้และความคิดที่ก้าวไกลและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต ที่จังหวัดเชียงรายเอง ก็มีโรงเรียนที่อยู่ในโครงการนี้ถึง 20 โรง นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการขยายบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในการพัฒนา “คน” ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของประเทศ
นอกจากนั้น ผมยังสนับสนุนให้ผู้บริหารและข้าราชการของกระทรวงการต่างประเทศเดินทางไปพบปะกับข้าราชการ ภาคเอกชน และพี่น้องประชาชนตามจังหวัดต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และ
ที่ผ่านมา หน่วยงานของเราบางหน่วยมีโครงการออกไปให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับพี่น้องประชาชน
ในเรื่องต่างๆ ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องด้านกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเขตแดน เรื่องที่เกี่ยวกับ
กรอบอาเซียน และเรื่องที่เกี่ยวกับสหประชาชาติ รวมทั้งไปเยี่ยมโรงเรียนที่อยู่ในโครงการยุวทูตความดีฯ ตามจังหวัดต่างๆ
ในด้านของการบริหาร ตามที่ท่านคงทราบกันดีว่า ตั้งแต่ปี 2546 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและเอกอัครราชทูตในต่างประเทศทั้งหมดมีการบริหารราชการในลักษณะบูรณาการหรือ CEO ซึ่งเราคำนึงถึงความเชื่อมโยงในการปฏิบัติงานของทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและเอกอัครราชทูต CEO โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงเห็นความร่วมมือที่มากขึ้นระหว่างสองฝ่าย โดยได้มีการประชุมระหว่างทูต CEO ประเทศเพื่อนบ้านกับผู้ว่าฯ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบนเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2547 ที่จังหวัดเชียงใหม่ และกับผู้ว่าฯ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน ที่จังหวัดขอนแก่น
และในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ผมจะไปเข้าร่วมการประชุมร่วมกันระหว่างสองฝ่ายเป็นครั้งที่ 3 ที่จังหวัดขอนแก่น ความคืบหน้าที่สำคัญคือการที่ CEO ทั้งสองฝ่ายไม่เพียงแต่พบปะและแลกเปลี่ยนกัน แต่ยังมีการประสานยุทธศาสตร์กันอย่างจริงจัง โดยยึดนโยบายต่างประเทศของไทยต่อประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญของรัฐบาล ได้แก่ การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ การสร้างความเจริญให้กับประเทศเพื่อนบ้านหรือที่เรียกว่านโยบาย Prosper thy Neighbour รวมไปถึงกรอบความร่วมมือ ACMECS และ GMS เป็นตัวตั้ง และได้มีการจัดตั้งกลไกที่จะผลักดันการประสานยุทธศาสตร์ที่เป็นรูปธรรม คือ ศูนย์ปฏิบัติการภูมิภาคหรือ Regional Operation Center (ROC) ต้นแบบ ขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น โดยมีมหาวิทยาลัย ขอนแก่นซึ่งมีความเชี่ยวชาญและเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นคลังสมองที่สำคัญ และกระทรวงการต่างประเทศสนับสนุนแนวทางการพัฒนาคนในพื้นที่ที่มีความรู้ความสามารถให้ทำหน้าที่เป็นวิเทศสัมพันธ์จังหวัด โดยพร้อมที่จะจัดการฝึกอบรมงานด้านการต่างประเทศให้กับบุคลากรเหล่านี้ และผมพูดแทนกระทรวงการต่างประเทศและข้าราชการทุกคนว่า เราพร้อมให้ความร่วมมือในการทำงานร่วมกับจังหวัดต่างๆ อย่างเต็มที่
ผมหวังว่าเมื่อศูนย์ปฏิบัติการภูมิภาคต้นแบบที่จังหวัดขอนแก่นดำเนินงานไปได้ระยะหนึ่งและประสบผลสำเร็จด้วยดี จะมีการขยายผลไปยังภูมิภาคอื่นๆ รวมทั้งภาคเหนือ ซึ่งเชียงรายอาจจะเป็นจุดศูนย์กลางและสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพของจังหวัด เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สามารถเป็นคลังสมองให้กับศูนย์ปฏิบัติการภูมิภาคที่จะเกิดขึ้นในภาคเหนือได้เป็นอย่างดี ผมคิดว่าในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรีซึ่งมีข้อริเริ่มใหม่ๆ และพยายามผลักดันโครงการต่างๆ เพื่อสร้างงาน สร้างโอกาส เพิ่มรายได้ และขจัดความยากจนของประชาชนอยู่ตลอดเวลานั้น การทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพและมียุทธศาสตร์ร่วมกันระหว่างทัพภายในประเทศและทัพภายนอกประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพื่อเป้าหมายร่วมกันคือ ผลประโยชน์ของประเทศ ความกินดีอยู่ดีของประชาชน ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน สันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
(ยุทธศาสตร์การต่างประเทศเชิงรุก : Forward Engagement)
ท่านทั้งหลายครับ
ผมอยากจะใช้เวลาสั้นๆ ชี้แจงให้ท่านรับทราบภาพรวมยุทธศาสตร์และการดำเนินงานด้านการต่างประเทศ ซึ่งเพื่อนข้าราชการของผมและผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งได้ตอบรับคำเชิญของกระทรวงการต่างประเทศและสละเวลามาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ที่น่าสนใจกับท่านในวันนี้ คงจะลงลึกในรายละเอียดของแต่ละเรื่องต่อไปในการสัมมนาหลังจากนี้ และในวันพรุ่งนี้ ต่อไป
ดังที่ผมได้กล่าวไว้แล้วตอนต้นว่า รัฐบาลใช้ยุทธศาสตร์การต่างประเทศเชิงรุก (Forward Engagement) เป็นหลัก ภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าว ได้มีการจัดลำดับชั้นของความสัมพันธ์ เพื่อที่ไทย
จะสามารถกำหนดและดำเนินกลยุทธ์ในการสัมพันธ์กับประเทศหรือกลุ่มประเทศเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หัวใจสำคัญคือ เอกภาพและความเข้มแข็งภายในของเราเอง (หรือที่กระทรวงการต่างประเทศใช้คำว่า Internal Management of External Relations) และท่านนายกรัฐมนตรีย้ำเสมอว่า ไม่ว่าจะเป็นใครหรือหน่วยงานไหน เมื่อทำงานด้านการต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่สุดคือ จะต้องพูดภาษาเดียวกัน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์และไม่สร้างความสับสนให้กับต่างประเทศ ในขณะนี้ การปฏิรูประบบบริหารราชการต่างประเทศมีความคืบหน้าไปตามลำดับ รัฐบาลมีแนวทางชัดเจนที่ต้องการเห็นการ
บูรณาการของการทำงานด้านต่างประเทศทั้งในพื้นที่และที่ส่วนกลาง มีกลไกที่จะผลักดันทั้งด้านงาน เงิน คน และกฎระเบียบ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องวัฒนธรรมการทำงานและทัศนคติ ของการทำงานร่วมกันเป็นทีม ซึ่งต้องอาศัยเวลาและความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย
(ภาพรวมยุทธศาสตร์ในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน)
ประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นหัวใจสำคัญในยุทธศาสตร์การต่างประเทศของไทย ประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะเน้นคือ เป้าหมายอันดับแรกในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านคือ การสร้างความเป็นมิตรและความไว้เนื้อเชื่อใจ รวมทั้งความสงบสุขตามแนวชายแดนของทั้งสองฝ่าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้เพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นสิ่งที่สั่งสมและต้องเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้มีความยั่งยืน ทั้งนี้ ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นเรื่องนามธรรมและไม่สามารถวัดผลได้ทันทีหรือชัดเจน แต่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว รวมไปถึงความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามปัญหาข้ามชาติ การสร้างความไว้เนื่อเชื่อใจนั้น เรื่องของความจริงใจเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ประเทศเพื่อนบ้านเข้มแข็งและไม่สร้างความรู้สึกว่าเราเข้าไปฉกฉวยประโยชน์จากเขา นอกจากนั้น ความสัมพันธ์ที่ดีในระดับผู้นำและระหว่างประชาชนเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่จะช่วยส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นในระยะยาว
(ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-พม่า ไทย-ลาว และไทย-จีนตอนใต้ โดยสังเขป)
สำหรับจังหวัดเชียงรายนั้น มีความเกี่ยวพันกับต่างประเทศมาก ในวิสัยทัศน์จังหวัดได้มีการพูดถึงการเป็น “ชายแดนสามแผ่นดิน” กล่าวคือ เชื่อมโยงกับพม่าและลาว รวมไปถึงจีนตอนใต้ซึ่งเชื่อมโยงกันภายใต้กรอบความร่วมมือต่างๆ และเส้นทางคมนาคม ในกรณีของพม่า เป็นเพื่อนบ้านที่มีความสำคัญ การมีพรมแดนร่วมถึง 2,401 กิโลเมตรทำให้ความเป็นไปในพม่าเกี่ยวโยงกับความมั่นคงของไทยอย่างลึกซึ้ง ดังนั้น รัฐบาลถือเป็นนโยบายที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีเพื่อสร้างบรรยากาศที่สันติและเสริมสร้างความมั่นคงบริเวณชายแดน รวมทั้ง เพื่ออำนวยให้ความร่วมมือในด้าน
ต่าง ๆ ดำเนินไปได้ ทั้งนี้ โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการร่วมมือในการแก้ไขปัญหาข้ามแดนระหว่างกัน ในด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยสนับสนุนความร่วมมือในเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันโดยเฉพาะในด้านที่จะเกื้อหนุนในความพยายามของพม่าในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แม่น้ำสายแห่งที่ 2 ซึ่งจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้เป็นสิ่งยืนยันในเจตนารมย์ของรัฐบาลไทยที่ต้องการจะเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพม่าและอำนวยความสะดวกในการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของสองประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลไทยปรารถนาที่จะร่วมมือกับพม่าและประชาคมระหว่างประเทศในการสนับสนุนช่วยเหลือให้พม่าเดินหน้าไปสู่การปรองดองแห่งชาติและประชาธิปไตย โดยไทยพร้อมมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับลาว เพิ่งผ่านการเฉลิมฉลองครบรอบ 55 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาวมาเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2548 ไทย-ลาวเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงที่มีความผูกพันและใกล้ชิดกันในทุกด้าน ในปี 2547 ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-ลาวอย่างไม่เป็นทางการเป็นครั้งแรกซึ่งได้ช่วยพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ความร่วมมือที่เห็นเป็นรูปธรรมมีอาทิ การก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ “น้ำเทิน2” ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปร่วมพิธีเปิดโครงการเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างของการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของสองฝ่าย โดยไทยสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในลาว และรับซื้อกระแสไฟฟ้าจาก “น้ำเทิน2” เพื่อนำมาใช้ในไทย ขณะที่ลาวได้รับรายได้ที่ชัดเจนจากการขายไฟฟ้าให้ไทยเพื่อนำไปใช้พัฒนาประเทศและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนลาวต่อไป นอกจากนั้น ยังมีสมาคมไทย-ลาวเพื่อมิตรภาพ (ตั้งที่ฝ่ายไทย) และสมาคมลาว-ไทยเพื่อมิตรภาพ (ตั้งที่ฝ่ายลาว) เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันความร่วมมือทางด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และวิชาการ เพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศด้วย
ในส่วนของจีนตอนใต้ ไทยกับมณฑลยูนนานมีความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในกรอบทวิภาคีและในกรอบความร่วมมืออื่นๆ อาทิ กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS (Greater Mekong Sub-region) สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ การเปิดเสรีทางการค้าผัก-ผลไม้ไทย-จีน และการเปิดเสรีทางการค้าอาเซียน-จีน รวมไปถึงความร่วมมือทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาโรคเอดส์ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับมณฑลยูนนานมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้มากขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเส้นทางสายคุนหมิง-เชียงรายเสร็จสมบูรณ์ประมาณปลายปี 2549 หรือต้นปี 2550 เพิ่มเติมจากที่ไทย-ยูนนานมีเส้นทางคมนาคมติดต่อทางน้ำโดยการเดินเรือในแม่น้ำโขงที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2544 และเส้นทางคมนาคมทางอากาศ กอปรกับมณฑลยูนนานเองมีสภาพเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น ประชากรมีรายได้และกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น เป็นมณฑลสำคัญในแผนพัฒนาภาคตะวันตกของรัฐบาลจีน และสามารถเป็นแหล่งกระจายสินค้าของไทยทางตอนใต้และตะวันตกของจีนได้เป็นอย่างดี
(ยุทธศาสตร์ความร่วมมือ ACMECS (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy)
นอกจากการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจแล้ว รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการสร้างความเจริญให้กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลดช่องว่างของการพัฒนาและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับประเทศเหล่านั้น นายกรัฐมนตรีจึงได้ริเริ่มกรอบความร่วมมือ ACMECS ขึ้น เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันและก่อให้เกิดความเจริญเติบโตมากขึ้นตามแนวชายแดน เพื่ออำนวยความสะดวกให้มีการเคลื่อนย้ายอุตสาหกรรมเกษตรและการผลิตไปยังบริเวณที่มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ เพื่อสร้างโอกาสจ้างงานและลดความแตกต่างของรายได้ในระหว่างประเทศสมาชิก และเพื่อส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่งร่วมกันสำหรับทุกฝ่ายในลักษณะที่ยั่งยืน และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากประเทศสมาชิกปัจจุบันอีก 4 ประเทศ คือ พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม พม่าได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับผู้นำ ACMECS ครั้งแรกที่เมืองพุกาม ในเดือนพฤศจิกายน 2546 และเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2548 ไทยได้เป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้นำ ACMECS ครั้งที่ 2 ที่กรุงเทพฯ ซึ่งผู้นำได้รับทราบความคืบหน้า
ใน 6 สาขาความร่วมมือ ได้แก่ การอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุน เกษตรกรรมและอุตสาหกรรม การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และสาธารณสุข และได้ร่วมกันลงนามในปฏิญญาการประชุมฯ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นและสร้างความพร้อมสำหรับอนาคตให้แก่อนุภูมิภาค และลงนามร่วมกันในปฏิญญาผู้นำว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนเพื่อต่อสู้กับโรคไข้หวัดนกและโรคติดต่ออื่นๆ โดยไทยประกาศจัดตั้งกองทุนจำนวน 100 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนการดำเนินการภายใต้ปฏิญญา
(กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS)
กรอบ GMS เป็นความร่วมมือที่มีมาตั้งแต่ปี 2535 ระหว่าง 6 ประเทศที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน ได้แก่ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีนตอนใต้ (มณฑลยูนนานและเขตปกครองตนเองกวางสี) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สนับสนุนการจ้างงานและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น โดยมีธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียหรือ ADB เป็นผู้ให้การสนับสนุน โครงการความร่วมมือในกรอบ GMS แบ่งเป็น 9 ด้าน ได้แก่ คมนาคมขนส่ง การลงทุน การสื่อสาร พลังงาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สิ่งแวดล้อม การค้า การท่องเที่ยว และการเกษตร โดยความสำเร็จที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจโดยมีโครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงทางคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย
East West Economic Corridor พม่า-ไทย-ลาว-เวียดนาม
North South Economic Corridor ไทย-พม่า-ลาว-จีน
Southern Economic Corridor ไทย-กัมพูชา-เวียดนาม
(ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจหรือ BIMSTEC)
BIMSTEC ก่อตั้งเมื่อปี 2540 เป็นกรอบความร่วมมือระหว่าง 7 ประเทศในแถบอ่าว
เบงกอล ได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย พม่า เนปาล ศรีลังกา และไทย โดยเป็นกรอบเดียวที่เชื่อม
อนุภูมิภาคเอเชียใต้เข้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ BIMSTEC เป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีประชากรรวมถึง 1,300 ล้านคน แต่ยังมีการค้า การลงทุน และการเดินทางระหว่างกันค่อนข้างน้อย ในปัจจุบัน สาขาความร่วมมือใน BIMSTEC มีกว้างขวางถึง 13 สาขา อาทิ การค้าและการลงทุน พลังงาน การสื่อสารและคมนาคม เทคโนโลยี รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ การลดความยากจน การปฏิสัมพันธ์ในระดับประชาชน และวัฒนธรรม นอกจากนั้น ประเทศสมาชิกยังได้ลงนามในกรอบความตกลงเขตการค้าเสรี BIMSTEC แล้ว และมีเป้าหมายที่จะเร่งรัดเจรจาด้านตัวสินค้าก่อนเป็นลำดับแรกเพื่อให้เริ่มลดภาษีได้ในกลางปี 2549
(กรอบความร่วมมืออาเซียน)
อาเซียนเป็นเสาหลักในการดำเนินยุทธศาสตร์ต่างประเทศของไทยมายาวนาน ก่อตั้งใน
ปี 2510 นับจนถึงวันนี้ก็ 38 ปีแล้ว มีสมาชิก 10 ประเทศ ขณะนี้เป้าหมายหลักคือ การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนที่สมบูรณ์ในปี 2558 ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
ซึ่งผมได้เน้นว่า จะต้องลงไปถึงระดับประชาชนด้วย ทั้งนี้ ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 11 เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้ที่ประเทศมาเลเซีย ท่านนายกรัฐมนตรีได้นำเสนอแนวความคิดหลายเรื่อง เช่น ความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาไข้หวัดนก พันธบัตรเอเชีย ความมั่นคงทางพลังงาน และการผลักดันให้อาเซียนเป็นประชาคมอิเล็กทรอนิกส์ (e-community) ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น
นอกจากนั้น ภายหลังการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 11 ยังมีการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก หรือ East Asia Summit (EAS) ครั้งแรก โดยผู้นำอาเซียนได้ประชุมร่วมกับผู้นำจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานไปสู่การขยายวงของความเป็นประชาคม โดยมีอาเซียนเป็นตัวขับเคลื่อนต่อไป
(กรอบความร่วมมือเอเชียหรือ ACD)
ACD เป็นความริเริ่มของนายกรัฐมนตรี จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2545 โดยไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ ACD ครั้งแรกที่ชะอำ ล่าสุด ปากีสถานได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ ACD ครั้งที่ 4 ขณะนี้ ACD มีสมาชิก 28 ประเทศ จากทุกอนุภูมิภาคของเอเชีย (เกินครึ่งหนึ่งของจำนวนประเทศในเอเชียทั้งหมด) โดยประเทศต่างๆ ได้อาสาเป็นผู้ขับเคลื่อนในสาขาความร่วมมือที่มีทั้งสิ้น 20 สาขา ในขณะที่ประเทศไทยรับเป็นผู้ขับเคลื่อนในสาขาการท่องเที่ยวและการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย และระหว่างวันที่ 31 เมษายน — 1 พฤษภาคม 2549 ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีคลัง ACD ครั้งที่ 1 ที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อผลักดันการพัฒนาตลาด
พันธบัตรเอเชีย
ACD เป็นยุทธศาสตร์ของไทยต่อเอเชียที่มีบทบาทในการรวมพลังของเอเชีย ซึ่งแม้ว่าแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน แต่ก็มีจุดแข็งที่นำมาเสริมซึ่งกันและกันได้เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของเอเชียโดยรวม ทั้งนี้ ACD มุ่งสู่การเป็นประชาคมแห่งเอเชีย ซึ่งขณะนี้มีพัฒนาการในอนุภูมิภาคของเอเชียเกิดขึ้นในกรอบต่างๆ ที่มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน โดยมี ACD เป็นกรอบใหญ่ที่เตรียมไว้รองรับ
(การเสริมสร้างหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์)
นอกเหนือจากการผลักดันยุทธศาสตร์ความร่วมมือกับประเทศในระดับภูมิภาคและ
อนุภูมิภาคดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ไทยยังผลักดันการเสริมสร้างหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับประเทศต่างๆ โดยเปลี่ยนสถานะของตัวเองจากการเป็นผู้รับมาเป็นผู้ให้ ร่วมมือกับประเทศผู้ให้อื่นๆ ในการช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาภูมิภาค ส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆ โดยอาศัยการทำเขตการค้าเสรี หรือ FTA เป็นเครื่องมือ โดยขณะนี้ ไทยได้ทำ FTA กับหลายประเทศ อาทิ จีน ซึ่งเริ่มต้นในรายการผักและผลไม้ไปตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546 ส่งผลให้การค้าทวิภาคีระหว่างสองประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยจีนเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 3 ของไทย และไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 14 ของจีน อย่างไรก็ดี
ยังมีสิ่งท้าทายหลายประการที่สองฝ่ายจะต้องหารือและแก้ไขร่วมกัน อาทิ อุปสรรคทางการค้าในด้านพิธีการปฏิบัติ เพื่ออำนวยความสะดวกให้การค้าสองฝ่ายมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น รัฐบาลไทยได้จัดทำแผนปฏิบัติการกับฝรั่งเศส และกำลังจัดทำแผน
ปฏิบัติการในลักษณะเดียวกันนี้กับประเทศมหาอำนาจ (สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและเยอรมนี ญี่ปุ่น) เพื่อเป็นแนวทางส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในทุกสาขา
นอกจากประเทศมหาอำนาจแล้ว ผมยังได้เดินทางไปสร้างความสัมพันธ์และ
บุกเบิกตลาดใหม่สำหรับไทยในภูมิภาคที่ห่างไกล เช่น ลาตินอเมริกาที่เปรูและคอสตาริกา
ยุโรปตะวันออกที่โรมาเนีย รวมทั้งได้เดินทางไปประเทศเคนยาพร้อมกับท่านนายกรัฐมนตรี เพื่อบุกเบิกตลาดแอฟริกาด้วย
(ข้อริเริ่ม “พันธมิตรเพื่อการพัฒนา” Thailand : Partnership for Development)
ล่าสุด ท่านคงได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับข้อริเริ่ม “พันธมิตรเพื่อการพัฒนา” เพื่อ
(ยังมีต่อ)