1. บทนำ
อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียม เป็นอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการผลิตคล้ายกับการผลิตเครื่องประดับแท้ จะแตกต่างกันระหว่างการใช้วัตถุดิบมีค่าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น เพชร พลอย ทอง แพทตินัม กับการใช้วัตถุดิบที่ได้จากการประดิษฐ์คิดค้นโดย ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย อัญมณีเทียมที่ผลิตขึ้น สามารถใช้ทดแทนอัญมณีแท้ได้เป็นอย่างดี เครื่องประดับเทียมส่วนใหญ่มีรูปลักษณ์เลียนแบบจากเครื่องประดับแท้ มีความสวยงามแวววาว ทั้งยังมีราคาที่ไม่สูงมาก จึงเป็นที่นิยมใช้ทดแทนเครื่องประดับแท้ ทำให้ตลาดเครื่องประดับเทียมขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนสามารถพัฒนาให้เป็นอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกกว่า 2,500 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงาน กว่า 4,000 คน
ปัจจุบันการผลิตเครื่องประดับเทียมมีความหลากหลาย เช่น เข็มกลัด สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู กำไล แหวน และที่ติดผม ซึ่งมีการพัฒนารูปแบบให้มีความทันสมัย เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของแฟชั่นเสื้อผ้า กระเป๋าและรองเท้า ราคาและคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นที่ยอมรับทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมมีอัตราการเจริญเติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
สำหรับบทความอุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมจะขอกล่าวถึงเฉพาะเครื่องประดับเทียมที่ผลิตจาก พลาสติก โลหะ อัญมณีสังเคราะห์ อัญมณีเทียม หินสี เปลือกหอย เขาสัตว์ เซรามิกส์ และผ้า
2. การผลิต
2.1 วัตถุดิบ สามารถแบ่งได้ ดังนี้
1) วัตถุดิบภายในประเทศ ได้แก่ ดีบุก พลวง ตะกั่ว
2) วัตถุดิบนำเข้า ได้แก่ อัญมณีสังเคราะห์ เช่น พลอยเทียม มุกเทียม และส่วนประกอบอื่น เช่น แป้นรองต่างหู ขาจับ/ขาหนีบต่างหู แม้ว่าจะมีการผลิตได้ในประเทศ แต่ยังมีคุณภาพต่ำ อีกทั้งยังราคาสูงทำให้ต้องมีการนำเข้าแทน
3) ส่วนประกอบอื่น เช่น ผงเงิน ผงทอง ทองคำขาว เทียนหล่อ ชิ้นส่วนตัวเรือน และสี
2.2 กรรมวิธีการผลิต กระบวนการผลิตเครื่องประดับเทียม แบ่งเป็นขั้นตอน โดยสรุป ดังนี้
1) ทำแม่พิมพ์ต้นแบบจากโลหะ
ง ออกแบบผลิตภัณฑ์ และทำแม่พิมพ์ตามที่ออกแบบ
ง ฉีดเทียนทำต้นแบบ
2) การผลิตตัวเรือน
ง หล่อชิ้นส่วน โดยใช้ดีบุก พลวง ตะกั่ว ผสมเข้าด้วยกัน (ตามสูตร) เพื่อให้เกิดความเหนียว แล้วเทลงในแม่พิมพ์หล่อเป็นชิ้นส่วนรูปแบบต่างๆ ตามที่ออกแบบไว้
ง ทำความสะอาด ตกแต่งขัดเกลาทำความสะอาด พ่นทราย แต่งผิว และบัดกรีส่วนประกอบเข้าด้วยกัน
ง ขัดเงาและชุบโลหะ เช่น เงิน ทอง ทองคำขาว นิเกิล และสี
3) การประดับตัวเรือน นำอัญมณีเทียมต่าง ๆ กระจกสี เขาสัตว์ เป็นต้น มาประกอบเข้ากับตัวเรือน และตรวจสอบความเรียบร้อย
4) บรรจุหีบห่อ รอการจำหน่าย
2.3 จำนวนโรงงาน
อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมมีจำนวนโรงงานที่จดทะเบียนไว้กับกรมโรงงานอุตสาหกรรมประมาณ 121 โรง มีเงินลงทุนประมาณ 871.57 มีการจ้างงานประมาณ 4,244 คน อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมโดยส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมที่มีกรรมวิธีและเทคโนโลยีการผลิตที่ไม่ยุ่งยากหรือสลับซับซ้อน จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะประกอบธุรกิจในครอบครัวเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กเงินลงทุนไม่เกิน 50 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 91.7 สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมเพื่อการส่งออกจะมีกรรมวิธีและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นอุตสาหกรรมขนาดกลางเงินลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.3 ของอุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมทั้งหมด โดยแยกได้ดังนี้
1) อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมทำจากโลหะ ปัจจุบันมีโรงงานผลิตเครื่องประดับเทียมที่ทำจากโลหะและจดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมประมาณ 50 โรง มีเงินลงทุนประมาณ 224.88 ล้านบาท มีการจ้างงานประมาณ 1,502 คน โดยแยกเป็นโรงงานขนาดเล็ก 49 โรง เงินลงทุน 384.76 ล้านบาท คนงาน 1,272 คน และขนาดกลาง 1 โรง เงินลงทุน 65.0 ล้านบาท คนงาน 230 คน
2) อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมทำจากพลาสติก ปัจจุบันมีโรงงานผลิตเครื่องประดับเทียมที่ทำจากพลาสติกและจดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมประมาณ 35 โรง มีเงินลงทุนประมาณ 344.66 ล้านบาท มีการจ้างงานประมาณ 1,169 คน โดยแยกเป็นโรงงานขนาดเล็ก 33 โรง เงินลงทุน 172.46 ล้านบาท คนงาน 982 คน ขนาดกลาง 2 โรง เงินลงทุน 172.20 ล้านบาท คนงาน 187 คน
3) อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมทำจากวัสดุอื่น เช่น เปลือกหอย หินสี ลูกปัด เซรามิกส์ กระจกสี เป็นต้น ปัจจุบันมีโรงงานผลิตเครื่องประดับเทียมประเภทนี้และจดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมประมาณ 36 โรง มีเงินลงทุนประมาณ 302.03 ล้านบาท มีการจ้างงานประมาณ 1,573 คน โดยแยกเป็นโรงงานขนาดเล็ก 29 โรง เงินลงทุน 81.62 ล้านบาท คนงาน 657 คน และโรงงานขนากกลาง 7 โรง เงินลงทุน 220.41 ล้านบาท คนงาน 857 คน
2.4 ลักษณะการผลิตของอุตสาหกรรม
โรงงานส่วนใหญ่จะกระจายตัวอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลเนื่องจากใกล้แหล่งวัตถุดิบและใกล้ตลาด ถ้าเป็นโรงงานขนาดเล็กการผลิตส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพปานกลาง ราคาถูก เป็นเครื่องประดับหล่อขึ้นรูปชิ้นส่วนครั้งละมาก ๆ และนำมาชุบสี ติดกระจก ติดอัญมณีสังเคราะห์ อัญมณีเทียม หรือหินสีต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับประเภทเข็มกลัด แหวน สร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไล ที่ติดผม กระดุม ต่างหู หัวเข็มขัด เป็นต้น โดยโรงงานส่วนใหญ่จะทำการผลิตทั้งตัวเรือน และการประกอบอัญมณีกับตัวเรือน สำหรับอุตสาหกรรมขนาดกลางเป็นการผลิตเครื่องประดับอัญมณีเทียมที่มีความงดงามและคล้ายของแท้มากที่สุด เนื่องจากมีเครื่องจักร เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการออกแบบ และคัดเลือกวัตถุดิบเกรดสูง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพ เน้นการส่งออกเป็นหลัก
อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมยังมีรูปแบบการผลิตภายในครัวเรือน ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยคาดว่าจะมีการผลิตกระจายอยู่ทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 1,500 ราย ส่วนใหญ่เป็นการใช้แรงงานในครัวเรือน เนื่องจากคนไทยมีความชำนาญงานหัตถกรรมและมีความประณีตละเอียด ทำให้มีการผลิตเครื่องประดับเทียมอย่างแพร่หลาย เป็นการผลิตที่ใช้เครื่องจักร เครื่องมือไม่มากนัก โดยเฉพาะการผลิตเครื่องประดับจากหินสี ลูกปัด เช่น การนำลูกปัด หินสีมาร้อยเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไล เข็มขัด ต่างหู เป็นต้น
เครื่องประดับเทียมที่ผลิตโดยส่วนใหญ่สามารถจำแนกได้โดยประมาณจากสัดส่วนการผลิตโดยรวมได้ ดังนี้ เข็มกลัดร้อยละ 60 ต่างหูร้อยละ 30 แหวน สร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไล และ
อื่น ๆ ร้อยละ 10 สำหรับการผลิตเครื่องประดับเทียมเพื่อการส่งออกของไทยจะมีลักษณะของการรับจ้างผลิต ผลิตตามแบบที่ผู้ว่าจ้างสั่ง และใช้วัสดุหรือวัตถุดิบที่ผู้ว่าจ้างกำหนด จึงมีวัตถุดิบบางอย่างจำเป็นต้องนำเข้า เช่น อัญมณีเทียมอัญมณีสังเคราะห์สีต่าง ๆ เนื่องจากการผลิตวัตถุดิบภายในประเทศยังมีคุณภาพไม่ตรงตามความต้องการของตลาด หรือวัตถุดิบบางชนิดไม่มีภายในประเทศ เช่น ผงเงิน ผงทอง เป็นต้น และติดเครื่องหมายการค้าของผู้ว่าจ้าง หรือที่ผู้ว่าจ้างกำหนด
3. การตลาด
3.1 ความต้องการภายในประเทศ
ความต้องการใช้ภายในประเทศ เครื่องประดับเทียมที่ผลิตได้ภายในประเทศสามารถสนองความต้องการภายในประเทศได้ แต่เนื่องจากยังมีความต้องการรูปแบบที่หลากหลายจึงมีการนำเข้าเครื่องประดับเทียมจากต่างประเทศโดยเฉพาะอัญมณีเทียมที่มีคุณภาพสูงเข้ามา จากการคาดการณ์ความต้องการภายในประเทศจากผู้ประกอบการคาดว่าน่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 300 - 500 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในประเทศซึ่งมีมูลค่านำเข้าเครื่องประดับเทียมปีละกว่า 150 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เกาหลีใต้ และจีน
3.2 การนำเข้าเครื่องประดับเทียม
อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมที่ผลิตภายในประเทศที่ผ่านมา ยังมีรูปแบบที่ไม่งดงามทันสมัยนัก จึงมีการนำเข้าเครื่องประดับเทียมจากต่างประเทศที่มีคุณภาพ และรูปแบบทันสมัยตรงตามความนิยม ปัจจุบันมีการพัฒนาการผลิตภายในประเทศจนเป็นที่ยอมรับและสามารถทดแทนการนำเข้าเครื่องประดับคุณภาพดีราคาแพงจากต่างประเทศได้บ้างแล้ว และยังสามารถส่งออกไปแข่งขันกับต่างประเทศได้ด้วย เครื่องประดับเทียมภายในประเทศคาดว่ายังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และในสภาวะการณ์ปัจจุบันยังเอื้อต่อการใช้เครื่องประดับเทียมมากกว่า อีกทั้งเครื่องประดับเทียมมีคุณภาพรูปแบบที่ทันสมัยและมีความงดงาม ไม่แพ้เครื่องประดับแท้ อีกทั้งผู้ใช้ยังรู้สึกปลอดภัยในการสวมใส่ไม่ต้องกังวลกับการสูญหาย อีกทั้งตรงกับรสนิยมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเครื่องประดับตามแนวแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ตารางแสดงแหล่งนำเข้าเครื่องประดับเทียมที่สำคัญของไทย มีดังนี้
ประเทศ 2542 2543
ปริมาณ(ตัน) มูลค่า(ล้านบาท) ปริมาณ(ตัน) มูลค่า(ล้านบาท)
สหรัฐอเมริกา 12.9 48.8 12.7 49.6
ฮ่องกง 23.1 18.2 27.5 26.5
เกาหลีใต้ 22.4 23.4 13.5 25.6
จีน 6.5 4.8 29.3 11.2
ออสเตรีย 1.3 6.2 1.5 8.6
อื่น ๆ 848.8 59.4 1,366.0 49.6
รวม 915.0 160.8 1,450.5 171.1
ที่มา : ศูนย์สถิติการพาณิชย์ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์
ความต้องการใช้เครื่องประดับเทียมในประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2543 มีการนำเข้าเครื่องประดับเทียมมีมูลค่าประมาณ 171.1 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ที่มีมูลค่านำเข้าประมาณ 160.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 6.01 โดยมีตลาดหลักอยู่ในกลุ่มผู้หญิงทำงาน ซึ่งนิยมใช้เครื่องประดับเทียมตกแต่งเพื่อให้ดูมีบุคลิกที่ทันสมัยงดงาม ทั้งเครื่องประดับเทียมมีราคาถูกกว่าและสามารถเปลี่ยนตามแฟชั่นได้ง่ายกว่าเครื่องประดับแท้ เครื่องประดับเทียมที่นำเข้าส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เกาหลีใต้ และจีน เป็นที่สังเกตว่าการนำเข้าเครื่องประดับเทียมของไทยมีการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาสูงสุดติดอันดับหนึ่ง โดยในปี 2543 มีมูลค่าประมาณ 49.6 ล้านบาท
3.3 การนำเข้าวัตถุดิบอัญมณีสังเคราะห์
เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเครื่องประดับเทียมรายหนึ่งของโลก แต่วัตถุดิบภายในประเทศยังมีคุณภาพและปริมาณไม่ตรงตามความต้องการและมีไม่เพียงพอ อีกทั้งการขยายตัวของตลาดเครื่องประดับเทียมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบเข้ามาผลิตจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอัญมณีสังเคราะห์สีต่าง ๆ เนื่องจากการผลิตภายในประเทศยังมีคุณภาพไม่เป็นไปตามความต้องการ โดยในปี 2543 มีการนำเข้าอัญมณีสังเคราะห์มูลค่าประมาณ 1,012.1 ล้านบาท มีปริมาณประมาณ 352,122 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปี 2542 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าประมาณ 957 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 5.4 อัญมณีสังเคราะห์ส่วนใหญ่มาจาก จีน สวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น และยังมีวัสดุและวัตถุดิบอื่นๆ ที่ยังจำเป็นต้องนำเข้า เช่น แป้นต่างหู ขาหนีบต่างหู เทียนหล่อ เป็นต้น จากการขยายตัวของตลาดเครื่องประดับเทียมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบเข้ามาผลิตจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ
อัญมณีสังเคราะห์สีต่าง ๆ
ตารางแสดงแหล่งนำเข้าอัญมณีสังเคราะห์ที่สำคัญของไทย มีดังนี้
ประเทศ 2542 2543
ปริมาณ(ตัน) มูลค่า(ล้านบาท) ปริมาณ(ตัน) มูลค่า(ล้านบาท)
จีน 149.8 408.8 75.5 414.2
สวิตเซอร์แลนด์ 14.2 256.9 83.2 294.4
ฮ่องกง 10.4 95.8 58.3 142.8
สหรัฐอเมริกา 16.9 38.5 21.3 37.3
รัสเซีย 28.3 19.4 75.5 27.6
อื่น ๆ 56.2 137.6 38.3 95.8
รวม 275.8 957.0 352.1 1,012.1
ที่มา : ศูนย์สถิติการพาณิชย์ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์
3.3 การส่งออก
จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ตกต่ำไปทั่วโลกได้ส่งผลกระทบทำให้สินค้าเครื่องประดับอัญมณีเทียมของไทยได้รับผลกระทบการส่งออกมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยจะซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และงดบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย เครื่องประดับเทียมเป็นสินค้าอันดับต้น ๆ ที่ผู้บริโภคจะตัดออกจากรายการค่าใช้จ่าย จึงส่งผลให้ตลาดไม่ขยายตัวเท่าใดนัก
การส่งออกเครื่องประดับอัญมณีเทียมของไทย ในปี 2542 มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 2,109.5 ล้านบาท ในปี 2543 มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มเป็น 2,518.9 ล้านบาท คิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 16.3 ตลาดที่สำคัญ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ลิกเตกสไตน์ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และเยอรมนี เป็นต้น การขยายตลาดนอกจากจะขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าแล้ว ยังอยู่ที่โอกาสในการขยายตลาดเดิมและบุกเบิกตลาดใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องพัฒนาคุณภาพและรูปแบบของเครื่องประดับให้ตรงกับความต้องการ เพื่อขยายส่วนแบ่งในตลาดเดิม และบุกเบิกเข้าไปในตลาดใหม่ เนื่องจากไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดที่ต่ำมาก
ตารางแสดงตลาดส่งออกเครื่องประดับอัญมณีเทียมที่สำคัญของไทย มีดังนี้
ประเทศ 2542 2543
ปริมาณ(ตัน) มูลค่า(ล้านบาท) ปริมาณ(ตัน) มูลค่า(ล้านบาท)
สหรัฐอเมริกา 325.2 587.1 243.5 611.4
ลิกเตกสไตน์ 100.8 376.1 151.8 563.3
ฝรั่งเศส 175.8 406.8 124.6 419.0
ญี่ปุ่น 10.7 84.2 28.3 141.2
เยอรมนี 22.9 112.7 35.6 114.5
อื่น ๆ 745.3 542.6 263.7 784.0
รวม 1,380.7 2,109.5 847.5 2,518.9
ที่มา : ศูนย์สถิติการพาณิชย์ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์
ตลาดหลักที่สำคัญของสินค้าอัญมณีเทียมของไทยมีดังนี้
1. สหรัฐอเมริกา เป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญสำหรับสินค้าเครื่องประดับอัญมณีเทียม
ของไทย โดยในปี 2543 ไทยสามารถส่งสินค้าเครื่องประดับอัญมณีเทียมไปจำหน่ายได้มีมูลค่าประมาณ 611.4 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 2542 มีมูลค่า 587.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 4.0
2. ลิกเตกสไตน์ ในปี 2543 ได้นำเข้าสินค้าเครื่องประดับอัญมณีเทียมของไทย มีมูลค่าประมาณ 563.3 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ที่สามารถส่งออกได้ 376.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 33.2
3. ฝรั่งเศส ในปี 2543 ได้นำเข้าสินค้าเครื่องประดับอัญมณีเทียมของไทย มีมูลค่าประมาณ 419.0 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ที่สามารถส่งออกได้ 406.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 2.9
4. ญี่ปุ่น ในปี 2543 ได้นำเข้าสินค้าเครื่องประดับอัญมณีเทียมของไทย มีมูลค่าประมาณ 141.2 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ที่ส่งออกได้ 84.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 40.4
4. นโยบายและมาตรการของรัฐ
อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมมีลักษณะการผลิตและการใช้วัตถุดิบใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมเครื่องประดับแท้ การนำมาตรการของรัฐเข้ามาสนับสนุนจึงเป็นมาตรการร่วมกัน มีแนวทางในการปฏิบัติเช่นเดียวกัน สรุปสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องได้ ดังนี้
1. การจัดเก็บอากรขาเข้าในส่วนของวัตถุดิบ ได้รับการยกเว้น และในกลุ่มการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) เครื่องประดับเทียม มีอัตราอากรขาเข้าร้อยละ 0-5
2. คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรสำหรับโครงการที่ตั้งอยู่ในเขต 1 และ 2
3. กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินโครงการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ปี 2541-2545 ซึ่งในระยะที่ 2 มีโครงการจำนวน 4 โครงการให้การสนับสนุนส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้โดยตรง ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ จะเป็นโครงการเพื่อพัฒนาการผลิต เทคโนโลยีการผลิต เพื่อเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถทางการแข่งขัน
4. กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการโครงการ Thailand Brand name ซึ่งโครงการดังกล่าวได้มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของผู้ประกอบการไทย ให้เป็นที่รู้จักกว้างขวาง โดยมีโครงการจัดแสดงสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของคนไทยไปตามเมืองใหญ่ ๆของโลก เพื่อให้สินค้าไทยเป็นที่เชื่อถือและยอมรับของผู้ใช้โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ
5. ในปี 2532 รัฐบาลได้จัดตั้ง สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เพื่อเป็นองค์กรหลักในการให้การส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาอุตสาหกรรมอัญมณีของประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมจะได้รับผลพลอยได้และผลโดยตรงจากโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้สินค้าไทยมีคุณภาพแข่งขันได้
5. ปัญหาและอุปสรรค
1) อุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมขนาดกลาง และเล็ก ผู้ประกอบการจึงขาดแคลนองค์ความรู้ หรือทักษะในด้าน ต่าง ๆ ดังนี้
-ขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน เนื่องจากเป็นการทำธุรกิจในครอบครัว การบันทึกข้อมูลทางบัญชีไม่ชัดเจน จึงทำให้ภาคการเงินไม่ให้ความเชื่อถือ
-ขาดความรู้ในการจัดการ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจให้มีการพัฒนา ขยายการลงทุนได้อย่างเป็นระบบ
-ขาดความรู้ในด้านการตลาด จึงมักยอมเป็นผู้ผลิต แม้นจะได้กำไรน้อย/มีมูลค่าเพิ่มต่ำ
2) ขาดแคลนช่างฝีมือผู้ชำนาญงานเครื่องประดับเทียม เนื่องจากเป็นการผลิตเลียนแบบจึงจำเป็นต้องมีความรู้ความชำนาญในการ เชื่อม ชุบ ไม่ให้ลอก ดำง่าย
3) ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจาก
-วัตถุดิบมีการนำเข้าจากต่างประเทศแม้ว่ารัฐบาลได้ประกาศลดอัตราภาษีอากรของลูกปัด ไข่มุกเทียม-แท้ รัตนชาติและโลหะมีค่าจากร้อยละ 15-60 เหลือร้อยละ 1-40 ไปแล้วก็ตามแต่ผู้ประกอบการก็ยังต้องเผชิญปัญหาต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง
-ค่าจ้างแรงงาน สูงกว่าประเทศคู่แข่งขัน อาทิ จีน และอินเดีย
-เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% หลายขั้นตอน ทั้งวัตถุดิบหรือสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยไม่ว่าจะมีอัตราภาษีหรือไม่ก็ตาม จะต้องมีการรวม VAT ไปด้วยทุกครั้ง ถ้าผลิตเพื่อการส่งออก จะสามารถขอคืนภาษีได้ แต่ต้องใช้เวลาในการขอคืนภาษีอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งนับว่าเป็นภาระของผู้ประกอบการ
4) ปัญหาทางการตลาด ตลาดหลักของไทยมีเพียง ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงปี 2535-2538 จึงมีการสั่งซื้อเครื่องประดับลดลงและเริ่มดีขึ้นในปี 2541
6. ข้อเสนอแนะ
1. อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยยังมีโอกาสในการขยายการส่งออกได้อีก จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการพัฒนาความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการตลาด เพื่อเปิดช่องทางการตลาดของตนเองขึ้น ลดการพึ่งพาผู้ว่าจ้างผลิต หากปีใดผู้ว่าจ้างผลิตย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าแรงงานต่ำกว่า เช่น จีน อินเดีย เป็นต้น
2. พัฒนาช่างผู้ชำนาญการด้านต่าง ๆ เช่น การเชื่อม การชุบ การผสมส่วนผสมเครื่องประดับโลหะ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความสวยงามทนทาน ไม่ลอก ไม่ดำ ง่าย ๆ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความเชื่อถือ ไว้วางใจ
3. นักออกแบบจะต้องได้รับการอบรมพัฒนา เพื่อให้สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีรูปแบบและคุณภาพ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
4. ผู้ผลิตจะต้องพัฒนาเครื่องหมายทางการค้าของตนเองให้เป็นที่ยอมรับเพื่อให้สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์
7. สรุป
การพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมของไทยส่วนหนึ่งมาจากการรับจ้างผลิตให้แก่ผู้ว่าจ้างในต่างประเทศ และส่งออกไปจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าของผู้ว่าจ้างนั้น ๆ การเปิดตลาดใหม่ ๆ หรือขยายตลาดเดิม จึงทำได้ยาก เนื่องจากอำนาจการต่อรองขึ้นอยู่กับผู้ว่าจ้างหรือเจ้าของเครื่องหมายการค้า การจะพัฒนาให้สินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนจะต้องใช้เวลาและเงินทุนสูง โดยภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง การกำหนดแผนงานการดำเนินงานอย่างมีระเบียบแบบแผน เป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้การดำเนินงานสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ อันจะก่อให้เกิดผลดีต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียม เป็นอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการผลิตคล้ายกับการผลิตเครื่องประดับแท้ จะแตกต่างกันระหว่างการใช้วัตถุดิบมีค่าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น เพชร พลอย ทอง แพทตินัม กับการใช้วัตถุดิบที่ได้จากการประดิษฐ์คิดค้นโดย ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย อัญมณีเทียมที่ผลิตขึ้น สามารถใช้ทดแทนอัญมณีแท้ได้เป็นอย่างดี เครื่องประดับเทียมส่วนใหญ่มีรูปลักษณ์เลียนแบบจากเครื่องประดับแท้ มีความสวยงามแวววาว ทั้งยังมีราคาที่ไม่สูงมาก จึงเป็นที่นิยมใช้ทดแทนเครื่องประดับแท้ ทำให้ตลาดเครื่องประดับเทียมขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนสามารถพัฒนาให้เป็นอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกกว่า 2,500 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงาน กว่า 4,000 คน
ปัจจุบันการผลิตเครื่องประดับเทียมมีความหลากหลาย เช่น เข็มกลัด สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู กำไล แหวน และที่ติดผม ซึ่งมีการพัฒนารูปแบบให้มีความทันสมัย เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของแฟชั่นเสื้อผ้า กระเป๋าและรองเท้า ราคาและคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นที่ยอมรับทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมมีอัตราการเจริญเติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
สำหรับบทความอุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมจะขอกล่าวถึงเฉพาะเครื่องประดับเทียมที่ผลิตจาก พลาสติก โลหะ อัญมณีสังเคราะห์ อัญมณีเทียม หินสี เปลือกหอย เขาสัตว์ เซรามิกส์ และผ้า
2. การผลิต
2.1 วัตถุดิบ สามารถแบ่งได้ ดังนี้
1) วัตถุดิบภายในประเทศ ได้แก่ ดีบุก พลวง ตะกั่ว
2) วัตถุดิบนำเข้า ได้แก่ อัญมณีสังเคราะห์ เช่น พลอยเทียม มุกเทียม และส่วนประกอบอื่น เช่น แป้นรองต่างหู ขาจับ/ขาหนีบต่างหู แม้ว่าจะมีการผลิตได้ในประเทศ แต่ยังมีคุณภาพต่ำ อีกทั้งยังราคาสูงทำให้ต้องมีการนำเข้าแทน
3) ส่วนประกอบอื่น เช่น ผงเงิน ผงทอง ทองคำขาว เทียนหล่อ ชิ้นส่วนตัวเรือน และสี
2.2 กรรมวิธีการผลิต กระบวนการผลิตเครื่องประดับเทียม แบ่งเป็นขั้นตอน โดยสรุป ดังนี้
1) ทำแม่พิมพ์ต้นแบบจากโลหะ
ง ออกแบบผลิตภัณฑ์ และทำแม่พิมพ์ตามที่ออกแบบ
ง ฉีดเทียนทำต้นแบบ
2) การผลิตตัวเรือน
ง หล่อชิ้นส่วน โดยใช้ดีบุก พลวง ตะกั่ว ผสมเข้าด้วยกัน (ตามสูตร) เพื่อให้เกิดความเหนียว แล้วเทลงในแม่พิมพ์หล่อเป็นชิ้นส่วนรูปแบบต่างๆ ตามที่ออกแบบไว้
ง ทำความสะอาด ตกแต่งขัดเกลาทำความสะอาด พ่นทราย แต่งผิว และบัดกรีส่วนประกอบเข้าด้วยกัน
ง ขัดเงาและชุบโลหะ เช่น เงิน ทอง ทองคำขาว นิเกิล และสี
3) การประดับตัวเรือน นำอัญมณีเทียมต่าง ๆ กระจกสี เขาสัตว์ เป็นต้น มาประกอบเข้ากับตัวเรือน และตรวจสอบความเรียบร้อย
4) บรรจุหีบห่อ รอการจำหน่าย
2.3 จำนวนโรงงาน
อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมมีจำนวนโรงงานที่จดทะเบียนไว้กับกรมโรงงานอุตสาหกรรมประมาณ 121 โรง มีเงินลงทุนประมาณ 871.57 มีการจ้างงานประมาณ 4,244 คน อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมโดยส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมที่มีกรรมวิธีและเทคโนโลยีการผลิตที่ไม่ยุ่งยากหรือสลับซับซ้อน จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะประกอบธุรกิจในครอบครัวเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กเงินลงทุนไม่เกิน 50 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 91.7 สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมเพื่อการส่งออกจะมีกรรมวิธีและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นอุตสาหกรรมขนาดกลางเงินลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.3 ของอุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมทั้งหมด โดยแยกได้ดังนี้
1) อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมทำจากโลหะ ปัจจุบันมีโรงงานผลิตเครื่องประดับเทียมที่ทำจากโลหะและจดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมประมาณ 50 โรง มีเงินลงทุนประมาณ 224.88 ล้านบาท มีการจ้างงานประมาณ 1,502 คน โดยแยกเป็นโรงงานขนาดเล็ก 49 โรง เงินลงทุน 384.76 ล้านบาท คนงาน 1,272 คน และขนาดกลาง 1 โรง เงินลงทุน 65.0 ล้านบาท คนงาน 230 คน
2) อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมทำจากพลาสติก ปัจจุบันมีโรงงานผลิตเครื่องประดับเทียมที่ทำจากพลาสติกและจดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมประมาณ 35 โรง มีเงินลงทุนประมาณ 344.66 ล้านบาท มีการจ้างงานประมาณ 1,169 คน โดยแยกเป็นโรงงานขนาดเล็ก 33 โรง เงินลงทุน 172.46 ล้านบาท คนงาน 982 คน ขนาดกลาง 2 โรง เงินลงทุน 172.20 ล้านบาท คนงาน 187 คน
3) อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมทำจากวัสดุอื่น เช่น เปลือกหอย หินสี ลูกปัด เซรามิกส์ กระจกสี เป็นต้น ปัจจุบันมีโรงงานผลิตเครื่องประดับเทียมประเภทนี้และจดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมประมาณ 36 โรง มีเงินลงทุนประมาณ 302.03 ล้านบาท มีการจ้างงานประมาณ 1,573 คน โดยแยกเป็นโรงงานขนาดเล็ก 29 โรง เงินลงทุน 81.62 ล้านบาท คนงาน 657 คน และโรงงานขนากกลาง 7 โรง เงินลงทุน 220.41 ล้านบาท คนงาน 857 คน
2.4 ลักษณะการผลิตของอุตสาหกรรม
โรงงานส่วนใหญ่จะกระจายตัวอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลเนื่องจากใกล้แหล่งวัตถุดิบและใกล้ตลาด ถ้าเป็นโรงงานขนาดเล็กการผลิตส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพปานกลาง ราคาถูก เป็นเครื่องประดับหล่อขึ้นรูปชิ้นส่วนครั้งละมาก ๆ และนำมาชุบสี ติดกระจก ติดอัญมณีสังเคราะห์ อัญมณีเทียม หรือหินสีต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับประเภทเข็มกลัด แหวน สร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไล ที่ติดผม กระดุม ต่างหู หัวเข็มขัด เป็นต้น โดยโรงงานส่วนใหญ่จะทำการผลิตทั้งตัวเรือน และการประกอบอัญมณีกับตัวเรือน สำหรับอุตสาหกรรมขนาดกลางเป็นการผลิตเครื่องประดับอัญมณีเทียมที่มีความงดงามและคล้ายของแท้มากที่สุด เนื่องจากมีเครื่องจักร เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการออกแบบ และคัดเลือกวัตถุดิบเกรดสูง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพ เน้นการส่งออกเป็นหลัก
อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมยังมีรูปแบบการผลิตภายในครัวเรือน ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยคาดว่าจะมีการผลิตกระจายอยู่ทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 1,500 ราย ส่วนใหญ่เป็นการใช้แรงงานในครัวเรือน เนื่องจากคนไทยมีความชำนาญงานหัตถกรรมและมีความประณีตละเอียด ทำให้มีการผลิตเครื่องประดับเทียมอย่างแพร่หลาย เป็นการผลิตที่ใช้เครื่องจักร เครื่องมือไม่มากนัก โดยเฉพาะการผลิตเครื่องประดับจากหินสี ลูกปัด เช่น การนำลูกปัด หินสีมาร้อยเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไล เข็มขัด ต่างหู เป็นต้น
เครื่องประดับเทียมที่ผลิตโดยส่วนใหญ่สามารถจำแนกได้โดยประมาณจากสัดส่วนการผลิตโดยรวมได้ ดังนี้ เข็มกลัดร้อยละ 60 ต่างหูร้อยละ 30 แหวน สร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไล และ
อื่น ๆ ร้อยละ 10 สำหรับการผลิตเครื่องประดับเทียมเพื่อการส่งออกของไทยจะมีลักษณะของการรับจ้างผลิต ผลิตตามแบบที่ผู้ว่าจ้างสั่ง และใช้วัสดุหรือวัตถุดิบที่ผู้ว่าจ้างกำหนด จึงมีวัตถุดิบบางอย่างจำเป็นต้องนำเข้า เช่น อัญมณีเทียมอัญมณีสังเคราะห์สีต่าง ๆ เนื่องจากการผลิตวัตถุดิบภายในประเทศยังมีคุณภาพไม่ตรงตามความต้องการของตลาด หรือวัตถุดิบบางชนิดไม่มีภายในประเทศ เช่น ผงเงิน ผงทอง เป็นต้น และติดเครื่องหมายการค้าของผู้ว่าจ้าง หรือที่ผู้ว่าจ้างกำหนด
3. การตลาด
3.1 ความต้องการภายในประเทศ
ความต้องการใช้ภายในประเทศ เครื่องประดับเทียมที่ผลิตได้ภายในประเทศสามารถสนองความต้องการภายในประเทศได้ แต่เนื่องจากยังมีความต้องการรูปแบบที่หลากหลายจึงมีการนำเข้าเครื่องประดับเทียมจากต่างประเทศโดยเฉพาะอัญมณีเทียมที่มีคุณภาพสูงเข้ามา จากการคาดการณ์ความต้องการภายในประเทศจากผู้ประกอบการคาดว่าน่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 300 - 500 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในประเทศซึ่งมีมูลค่านำเข้าเครื่องประดับเทียมปีละกว่า 150 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เกาหลีใต้ และจีน
3.2 การนำเข้าเครื่องประดับเทียม
อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมที่ผลิตภายในประเทศที่ผ่านมา ยังมีรูปแบบที่ไม่งดงามทันสมัยนัก จึงมีการนำเข้าเครื่องประดับเทียมจากต่างประเทศที่มีคุณภาพ และรูปแบบทันสมัยตรงตามความนิยม ปัจจุบันมีการพัฒนาการผลิตภายในประเทศจนเป็นที่ยอมรับและสามารถทดแทนการนำเข้าเครื่องประดับคุณภาพดีราคาแพงจากต่างประเทศได้บ้างแล้ว และยังสามารถส่งออกไปแข่งขันกับต่างประเทศได้ด้วย เครื่องประดับเทียมภายในประเทศคาดว่ายังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และในสภาวะการณ์ปัจจุบันยังเอื้อต่อการใช้เครื่องประดับเทียมมากกว่า อีกทั้งเครื่องประดับเทียมมีคุณภาพรูปแบบที่ทันสมัยและมีความงดงาม ไม่แพ้เครื่องประดับแท้ อีกทั้งผู้ใช้ยังรู้สึกปลอดภัยในการสวมใส่ไม่ต้องกังวลกับการสูญหาย อีกทั้งตรงกับรสนิยมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเครื่องประดับตามแนวแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ตารางแสดงแหล่งนำเข้าเครื่องประดับเทียมที่สำคัญของไทย มีดังนี้
ประเทศ 2542 2543
ปริมาณ(ตัน) มูลค่า(ล้านบาท) ปริมาณ(ตัน) มูลค่า(ล้านบาท)
สหรัฐอเมริกา 12.9 48.8 12.7 49.6
ฮ่องกง 23.1 18.2 27.5 26.5
เกาหลีใต้ 22.4 23.4 13.5 25.6
จีน 6.5 4.8 29.3 11.2
ออสเตรีย 1.3 6.2 1.5 8.6
อื่น ๆ 848.8 59.4 1,366.0 49.6
รวม 915.0 160.8 1,450.5 171.1
ที่มา : ศูนย์สถิติการพาณิชย์ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์
ความต้องการใช้เครื่องประดับเทียมในประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2543 มีการนำเข้าเครื่องประดับเทียมมีมูลค่าประมาณ 171.1 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ที่มีมูลค่านำเข้าประมาณ 160.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 6.01 โดยมีตลาดหลักอยู่ในกลุ่มผู้หญิงทำงาน ซึ่งนิยมใช้เครื่องประดับเทียมตกแต่งเพื่อให้ดูมีบุคลิกที่ทันสมัยงดงาม ทั้งเครื่องประดับเทียมมีราคาถูกกว่าและสามารถเปลี่ยนตามแฟชั่นได้ง่ายกว่าเครื่องประดับแท้ เครื่องประดับเทียมที่นำเข้าส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เกาหลีใต้ และจีน เป็นที่สังเกตว่าการนำเข้าเครื่องประดับเทียมของไทยมีการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาสูงสุดติดอันดับหนึ่ง โดยในปี 2543 มีมูลค่าประมาณ 49.6 ล้านบาท
3.3 การนำเข้าวัตถุดิบอัญมณีสังเคราะห์
เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเครื่องประดับเทียมรายหนึ่งของโลก แต่วัตถุดิบภายในประเทศยังมีคุณภาพและปริมาณไม่ตรงตามความต้องการและมีไม่เพียงพอ อีกทั้งการขยายตัวของตลาดเครื่องประดับเทียมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบเข้ามาผลิตจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอัญมณีสังเคราะห์สีต่าง ๆ เนื่องจากการผลิตภายในประเทศยังมีคุณภาพไม่เป็นไปตามความต้องการ โดยในปี 2543 มีการนำเข้าอัญมณีสังเคราะห์มูลค่าประมาณ 1,012.1 ล้านบาท มีปริมาณประมาณ 352,122 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปี 2542 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าประมาณ 957 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 5.4 อัญมณีสังเคราะห์ส่วนใหญ่มาจาก จีน สวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น และยังมีวัสดุและวัตถุดิบอื่นๆ ที่ยังจำเป็นต้องนำเข้า เช่น แป้นต่างหู ขาหนีบต่างหู เทียนหล่อ เป็นต้น จากการขยายตัวของตลาดเครื่องประดับเทียมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบเข้ามาผลิตจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ
อัญมณีสังเคราะห์สีต่าง ๆ
ตารางแสดงแหล่งนำเข้าอัญมณีสังเคราะห์ที่สำคัญของไทย มีดังนี้
ประเทศ 2542 2543
ปริมาณ(ตัน) มูลค่า(ล้านบาท) ปริมาณ(ตัน) มูลค่า(ล้านบาท)
จีน 149.8 408.8 75.5 414.2
สวิตเซอร์แลนด์ 14.2 256.9 83.2 294.4
ฮ่องกง 10.4 95.8 58.3 142.8
สหรัฐอเมริกา 16.9 38.5 21.3 37.3
รัสเซีย 28.3 19.4 75.5 27.6
อื่น ๆ 56.2 137.6 38.3 95.8
รวม 275.8 957.0 352.1 1,012.1
ที่มา : ศูนย์สถิติการพาณิชย์ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์
3.3 การส่งออก
จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ตกต่ำไปทั่วโลกได้ส่งผลกระทบทำให้สินค้าเครื่องประดับอัญมณีเทียมของไทยได้รับผลกระทบการส่งออกมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยจะซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และงดบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย เครื่องประดับเทียมเป็นสินค้าอันดับต้น ๆ ที่ผู้บริโภคจะตัดออกจากรายการค่าใช้จ่าย จึงส่งผลให้ตลาดไม่ขยายตัวเท่าใดนัก
การส่งออกเครื่องประดับอัญมณีเทียมของไทย ในปี 2542 มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 2,109.5 ล้านบาท ในปี 2543 มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มเป็น 2,518.9 ล้านบาท คิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 16.3 ตลาดที่สำคัญ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ลิกเตกสไตน์ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และเยอรมนี เป็นต้น การขยายตลาดนอกจากจะขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าแล้ว ยังอยู่ที่โอกาสในการขยายตลาดเดิมและบุกเบิกตลาดใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องพัฒนาคุณภาพและรูปแบบของเครื่องประดับให้ตรงกับความต้องการ เพื่อขยายส่วนแบ่งในตลาดเดิม และบุกเบิกเข้าไปในตลาดใหม่ เนื่องจากไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดที่ต่ำมาก
ตารางแสดงตลาดส่งออกเครื่องประดับอัญมณีเทียมที่สำคัญของไทย มีดังนี้
ประเทศ 2542 2543
ปริมาณ(ตัน) มูลค่า(ล้านบาท) ปริมาณ(ตัน) มูลค่า(ล้านบาท)
สหรัฐอเมริกา 325.2 587.1 243.5 611.4
ลิกเตกสไตน์ 100.8 376.1 151.8 563.3
ฝรั่งเศส 175.8 406.8 124.6 419.0
ญี่ปุ่น 10.7 84.2 28.3 141.2
เยอรมนี 22.9 112.7 35.6 114.5
อื่น ๆ 745.3 542.6 263.7 784.0
รวม 1,380.7 2,109.5 847.5 2,518.9
ที่มา : ศูนย์สถิติการพาณิชย์ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์
ตลาดหลักที่สำคัญของสินค้าอัญมณีเทียมของไทยมีดังนี้
1. สหรัฐอเมริกา เป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญสำหรับสินค้าเครื่องประดับอัญมณีเทียม
ของไทย โดยในปี 2543 ไทยสามารถส่งสินค้าเครื่องประดับอัญมณีเทียมไปจำหน่ายได้มีมูลค่าประมาณ 611.4 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 2542 มีมูลค่า 587.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 4.0
2. ลิกเตกสไตน์ ในปี 2543 ได้นำเข้าสินค้าเครื่องประดับอัญมณีเทียมของไทย มีมูลค่าประมาณ 563.3 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ที่สามารถส่งออกได้ 376.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 33.2
3. ฝรั่งเศส ในปี 2543 ได้นำเข้าสินค้าเครื่องประดับอัญมณีเทียมของไทย มีมูลค่าประมาณ 419.0 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ที่สามารถส่งออกได้ 406.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 2.9
4. ญี่ปุ่น ในปี 2543 ได้นำเข้าสินค้าเครื่องประดับอัญมณีเทียมของไทย มีมูลค่าประมาณ 141.2 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ที่ส่งออกได้ 84.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 40.4
4. นโยบายและมาตรการของรัฐ
อุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมมีลักษณะการผลิตและการใช้วัตถุดิบใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมเครื่องประดับแท้ การนำมาตรการของรัฐเข้ามาสนับสนุนจึงเป็นมาตรการร่วมกัน มีแนวทางในการปฏิบัติเช่นเดียวกัน สรุปสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องได้ ดังนี้
1. การจัดเก็บอากรขาเข้าในส่วนของวัตถุดิบ ได้รับการยกเว้น และในกลุ่มการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) เครื่องประดับเทียม มีอัตราอากรขาเข้าร้อยละ 0-5
2. คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรสำหรับโครงการที่ตั้งอยู่ในเขต 1 และ 2
3. กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินโครงการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ปี 2541-2545 ซึ่งในระยะที่ 2 มีโครงการจำนวน 4 โครงการให้การสนับสนุนส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้โดยตรง ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ จะเป็นโครงการเพื่อพัฒนาการผลิต เทคโนโลยีการผลิต เพื่อเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถทางการแข่งขัน
4. กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการโครงการ Thailand Brand name ซึ่งโครงการดังกล่าวได้มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของผู้ประกอบการไทย ให้เป็นที่รู้จักกว้างขวาง โดยมีโครงการจัดแสดงสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของคนไทยไปตามเมืองใหญ่ ๆของโลก เพื่อให้สินค้าไทยเป็นที่เชื่อถือและยอมรับของผู้ใช้โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ
5. ในปี 2532 รัฐบาลได้จัดตั้ง สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เพื่อเป็นองค์กรหลักในการให้การส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาอุตสาหกรรมอัญมณีของประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมจะได้รับผลพลอยได้และผลโดยตรงจากโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้สินค้าไทยมีคุณภาพแข่งขันได้
5. ปัญหาและอุปสรรค
1) อุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมขนาดกลาง และเล็ก ผู้ประกอบการจึงขาดแคลนองค์ความรู้ หรือทักษะในด้าน ต่าง ๆ ดังนี้
-ขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน เนื่องจากเป็นการทำธุรกิจในครอบครัว การบันทึกข้อมูลทางบัญชีไม่ชัดเจน จึงทำให้ภาคการเงินไม่ให้ความเชื่อถือ
-ขาดความรู้ในการจัดการ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจให้มีการพัฒนา ขยายการลงทุนได้อย่างเป็นระบบ
-ขาดความรู้ในด้านการตลาด จึงมักยอมเป็นผู้ผลิต แม้นจะได้กำไรน้อย/มีมูลค่าเพิ่มต่ำ
2) ขาดแคลนช่างฝีมือผู้ชำนาญงานเครื่องประดับเทียม เนื่องจากเป็นการผลิตเลียนแบบจึงจำเป็นต้องมีความรู้ความชำนาญในการ เชื่อม ชุบ ไม่ให้ลอก ดำง่าย
3) ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจาก
-วัตถุดิบมีการนำเข้าจากต่างประเทศแม้ว่ารัฐบาลได้ประกาศลดอัตราภาษีอากรของลูกปัด ไข่มุกเทียม-แท้ รัตนชาติและโลหะมีค่าจากร้อยละ 15-60 เหลือร้อยละ 1-40 ไปแล้วก็ตามแต่ผู้ประกอบการก็ยังต้องเผชิญปัญหาต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง
-ค่าจ้างแรงงาน สูงกว่าประเทศคู่แข่งขัน อาทิ จีน และอินเดีย
-เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% หลายขั้นตอน ทั้งวัตถุดิบหรือสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยไม่ว่าจะมีอัตราภาษีหรือไม่ก็ตาม จะต้องมีการรวม VAT ไปด้วยทุกครั้ง ถ้าผลิตเพื่อการส่งออก จะสามารถขอคืนภาษีได้ แต่ต้องใช้เวลาในการขอคืนภาษีอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งนับว่าเป็นภาระของผู้ประกอบการ
4) ปัญหาทางการตลาด ตลาดหลักของไทยมีเพียง ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงปี 2535-2538 จึงมีการสั่งซื้อเครื่องประดับลดลงและเริ่มดีขึ้นในปี 2541
6. ข้อเสนอแนะ
1. อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยยังมีโอกาสในการขยายการส่งออกได้อีก จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการพัฒนาความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการตลาด เพื่อเปิดช่องทางการตลาดของตนเองขึ้น ลดการพึ่งพาผู้ว่าจ้างผลิต หากปีใดผู้ว่าจ้างผลิตย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าแรงงานต่ำกว่า เช่น จีน อินเดีย เป็นต้น
2. พัฒนาช่างผู้ชำนาญการด้านต่าง ๆ เช่น การเชื่อม การชุบ การผสมส่วนผสมเครื่องประดับโลหะ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความสวยงามทนทาน ไม่ลอก ไม่ดำ ง่าย ๆ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความเชื่อถือ ไว้วางใจ
3. นักออกแบบจะต้องได้รับการอบรมพัฒนา เพื่อให้สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีรูปแบบและคุณภาพ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
4. ผู้ผลิตจะต้องพัฒนาเครื่องหมายทางการค้าของตนเองให้เป็นที่ยอมรับเพื่อให้สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์
7. สรุป
การพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องประดับเทียมของไทยส่วนหนึ่งมาจากการรับจ้างผลิตให้แก่ผู้ว่าจ้างในต่างประเทศ และส่งออกไปจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าของผู้ว่าจ้างนั้น ๆ การเปิดตลาดใหม่ ๆ หรือขยายตลาดเดิม จึงทำได้ยาก เนื่องจากอำนาจการต่อรองขึ้นอยู่กับผู้ว่าจ้างหรือเจ้าของเครื่องหมายการค้า การจะพัฒนาให้สินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนจะต้องใช้เวลาและเงินทุนสูง โดยภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง การกำหนดแผนงานการดำเนินงานอย่างมีระเบียบแบบแผน เป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้การดำเนินงานสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ อันจะก่อให้เกิดผลดีต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-