วันนี้ (13 พ.ค. ) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึง ความพยายามที่ได้นำวีซีดีแอบถ่ายนายไทกรมาเปิดเผยและเชื่อมโยงว่าพรรคประชาธิปัตย์อยู่เบื้องหลังความพยายามที่จะไม่ให้พรรคเล็กไปลงสมัครรับเลือกตั้งว่า ตนต้องการลำดับความให้เห็นก่อนว่าการนำวีซีดีออกมาเปิดเผยในครั้งนี้เป็นความพยายามของพรรคไทยรักไทยที่จะเบี่ยงเบนประเด็นในเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เคยร้องต่อกกต.พร้อมประจักษ์พยานหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์ว่ามีพรรคการเมืองใหญ่คือพรรคไทยรักไทยและบุคลากรแกนนำคนสำคัญของพรรคไทยรักไทยหลายคนไปเกี่ยวข้องกับการจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้นายสุเทพ เทือกสุบรรณได้เปิดเผยไปแล้ว
นายองอาจกล่าวต่อไปว่า กรณีของวีซีดีที่ไปแอบถ่ายนายไทกรเป็นวีซีดีที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 2 เมษายนและเป็นวีซีดีที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งรอบใหม่ 2 ครั้งหลังนี้ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดเจนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องของพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็กนั้นก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ตามข้อมูลที่นายสุเทพได้นำมาเปิดเผยกับพวกเราไปแล้ว และหากเราจะได้พิจารณาจากวีซีดีที่ปรากฏในสื่อมวลชนก็จะเห็นชัดเจนว่าหัวหน้าพรรคเล็กที่มาพบนายไทกร พร้อมกับนายตำรวจท่านหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นทนายความนั้นเห็นได้ชัดเจนว่าหัวหน้าพรรคเล็กเดินทางมาพบเพราะตนได้กระทำความผิดในการรับจ้างลงสมัครรับเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว
การนำวีซีดีออกมาเปิดเผยโดยพรรคไทยรักไทยในครั้งนี้นั้น นายองอาจเห็นว่าพรรคไทยรักไทยควรจะนำข้อมูลไปให้กกต.เพื่อจัดการกับพรรคเล็กในการไปรับจ้างพรรคการเมืองใหญ่พรรคใดพรรคหนึ่งก็ตามไปลงสมัครรับเลือกตั้ง แทนที่จะนำมาพยายามโยนความผิดมาให้พรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นผู้ไปว่าจ้างพรรคการเมืองเหล่านี้ไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะในความเป็นจริงนั้นการที่พรรคการเมืองเหล่านี้มาพบนายไทกรนั้นเห็นได้ชัดเจนว่าพรรคการเมืองเหล่านี้ได้ไปรับจ้างเรียบร้อยแล้ว และลงสมัครรับเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว แต่พบว่ากลัวตัวเองจะมีความผิดเพราะมีหลายคนในพรรคการเมืองเล็กที่ไปพบนายไทกร และถูกศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งไปแล้ว
ดังนั้นวีซีดีดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่ามีพรรคการเมืองใหญ่จ้างพรรคการเมืองเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อไม่ให้พรรคไทยรักไทยต้องแข่งขันเพียงพรรคเดียวและสู้กับคะแนน 20% ซึ่งมีโอกาสสู้ได้น้อย ส่วนที่พรรคไทยรักไทยพยายามแอบอ้างว่าตกเป็นเหยื่อของขบวนการนกต่อ ซึ่งดำเนินการโดยใครก็ตามนั้น นายองอาจกล่าวว่า
“อยากจะเรียนว่านกต่อมันคงไปต่อใครไม่ได้ถ้าเผื่อไม่มีความพยายามที่จะกระทำความผิดในการไปจ้างวานพรรคเล็กเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจุดเริ่มต้นอยู่ที่ว่าได้มีพรรคการเมืองใหญ่ไปจ้างวานพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้งจริง ผมคิดว่าหัวใจสำคัญของเรื่องทั้งหมดจะอยู่ตรงนี้ นอกเหนือจากนั้นการออกมาเปิดโปงในเรื่องนี้ของพรรคไทยรักไทยหยิบยกประเด็นที่ไปแอบอัดนายไทกรมาและพยายามเชื่อมโยงว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ว่าแผนเป็นกระบวนการเชื่อมโยงกับพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็ขอกราบเรียนข้อเท็จจริงว่าในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่ได้ไปเป็นผู้วางแผนทำเป็นกระบวนการในการที่จะไปล้มล้างการเลือกตั้งแต่อย่างใด เพราะสิ่งเหล่านี้คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยการกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่ได้มีอำนาจรัฐอะไรอยู่ในมือที่จะไปปกป้องคุ้มครองใครให้มาร่วมกระทำผิดในลักษณะนี้ได้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีเงินทองมากมายที่จะไปจ้างพรรคเล็กจำนวนมากลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งได้”
โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นายองอาจได้ยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ไปร่วมในการขบวนการวางแผนใด ๆ ทั้งสิ้นที่เกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำในการทุจริตคิดมิชอบในการเลือกตั้งเป็นการกระทำที่ขัดกับกฎหมายเลือกตั้งและเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งและเพื่อให้การเลือกตั้งบรรลุตามเจตนารมณ์ของพรรคไทยรักไทยเท่านั้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 พ.ค. 2549--จบ--
นายองอาจกล่าวต่อไปว่า กรณีของวีซีดีที่ไปแอบถ่ายนายไทกรเป็นวีซีดีที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 2 เมษายนและเป็นวีซีดีที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งรอบใหม่ 2 ครั้งหลังนี้ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดเจนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องของพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็กนั้นก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ตามข้อมูลที่นายสุเทพได้นำมาเปิดเผยกับพวกเราไปแล้ว และหากเราจะได้พิจารณาจากวีซีดีที่ปรากฏในสื่อมวลชนก็จะเห็นชัดเจนว่าหัวหน้าพรรคเล็กที่มาพบนายไทกร พร้อมกับนายตำรวจท่านหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นทนายความนั้นเห็นได้ชัดเจนว่าหัวหน้าพรรคเล็กเดินทางมาพบเพราะตนได้กระทำความผิดในการรับจ้างลงสมัครรับเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว
การนำวีซีดีออกมาเปิดเผยโดยพรรคไทยรักไทยในครั้งนี้นั้น นายองอาจเห็นว่าพรรคไทยรักไทยควรจะนำข้อมูลไปให้กกต.เพื่อจัดการกับพรรคเล็กในการไปรับจ้างพรรคการเมืองใหญ่พรรคใดพรรคหนึ่งก็ตามไปลงสมัครรับเลือกตั้ง แทนที่จะนำมาพยายามโยนความผิดมาให้พรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นผู้ไปว่าจ้างพรรคการเมืองเหล่านี้ไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะในความเป็นจริงนั้นการที่พรรคการเมืองเหล่านี้มาพบนายไทกรนั้นเห็นได้ชัดเจนว่าพรรคการเมืองเหล่านี้ได้ไปรับจ้างเรียบร้อยแล้ว และลงสมัครรับเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว แต่พบว่ากลัวตัวเองจะมีความผิดเพราะมีหลายคนในพรรคการเมืองเล็กที่ไปพบนายไทกร และถูกศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งไปแล้ว
ดังนั้นวีซีดีดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่ามีพรรคการเมืองใหญ่จ้างพรรคการเมืองเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อไม่ให้พรรคไทยรักไทยต้องแข่งขันเพียงพรรคเดียวและสู้กับคะแนน 20% ซึ่งมีโอกาสสู้ได้น้อย ส่วนที่พรรคไทยรักไทยพยายามแอบอ้างว่าตกเป็นเหยื่อของขบวนการนกต่อ ซึ่งดำเนินการโดยใครก็ตามนั้น นายองอาจกล่าวว่า
“อยากจะเรียนว่านกต่อมันคงไปต่อใครไม่ได้ถ้าเผื่อไม่มีความพยายามที่จะกระทำความผิดในการไปจ้างวานพรรคเล็กเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจุดเริ่มต้นอยู่ที่ว่าได้มีพรรคการเมืองใหญ่ไปจ้างวานพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้งจริง ผมคิดว่าหัวใจสำคัญของเรื่องทั้งหมดจะอยู่ตรงนี้ นอกเหนือจากนั้นการออกมาเปิดโปงในเรื่องนี้ของพรรคไทยรักไทยหยิบยกประเด็นที่ไปแอบอัดนายไทกรมาและพยายามเชื่อมโยงว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ว่าแผนเป็นกระบวนการเชื่อมโยงกับพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็ขอกราบเรียนข้อเท็จจริงว่าในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่ได้ไปเป็นผู้วางแผนทำเป็นกระบวนการในการที่จะไปล้มล้างการเลือกตั้งแต่อย่างใด เพราะสิ่งเหล่านี้คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยการกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่ได้มีอำนาจรัฐอะไรอยู่ในมือที่จะไปปกป้องคุ้มครองใครให้มาร่วมกระทำผิดในลักษณะนี้ได้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีเงินทองมากมายที่จะไปจ้างพรรคเล็กจำนวนมากลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งได้”
โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นายองอาจได้ยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ไปร่วมในการขบวนการวางแผนใด ๆ ทั้งสิ้นที่เกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำในการทุจริตคิดมิชอบในการเลือกตั้งเป็นการกระทำที่ขัดกับกฎหมายเลือกตั้งและเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งและเพื่อให้การเลือกตั้งบรรลุตามเจตนารมณ์ของพรรคไทยรักไทยเท่านั้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 พ.ค. 2549--จบ--