ผู้ดำเนินรายการ : สวัสดีครับ / ค่ะคุณอภิสิทธิ์
คุณอภิสิทธิ์ : สวัสดีครับ
ผู้ดำเนินรายการ : เรื่องล่าสุดที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาแถลงเมื่อวานนี้ ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างมั่นใจในหลักฐานถึงกับเอ่ยชื่อแกนนำสำคัญของพรรคไทยรักไทย ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการไปจ้างผู้สมัครพรรคเล็กพรรคน้อยลงมา ตรงนี้อยากให้คุณอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงว่าจุดยืนของพรรคเป็นอย่างไรในเรื่องนี้
คุณอภิสิทธิ์ : สิ่งที่เราเป็นห่วงมาโดยตลอดอย่างที่ได้เรียนก็คือ ปัญหาเรื่องของความเป็นกลาง ปัญหาเรื่องของการใช้อำนาจรัฐเข้าไปแทรกแซงต่าง ๆ โดยรัฐบาลของคุณทักษิณ และสิ่งที่เป็นปัญหาแต่เพียงว่าในกรณีที่เราพูดกันอยู่ในขณะนี้ก็คือเรื่องของ กกต. และกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ในสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่ได้มีการเปิดรับสมัครและเราพบว่ามีพรรคการเมืองต่าง ๆ จำนวนมากส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งและเราสงสัยในเรื่องของคุณสมบัติ ก็ได้เข้าไปตรวจสอบ อันนี้ก็ต้องเรียนว่าทางท่านประธานกกต. ก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจนกระทั่งจะเห็นว่าผลที่ออกมาก็คือว่า ทางผู้สมัครที่ถูกตัดสิทธิ์ไปหลายร้อยคน แล้วก็จากเดิมซึ่งมีการเลือกตั้ง 400 เขตและก็คิดว่า จะมีเขตที่ไม่มีผู้เข้าแข่งขัน 130 เขตและเมื่อจริง ๆ ไปตรวจสอบดูก็พบว่ามันมีผู้สมัครที่ต้องถูกตัดสิทธิ์จำนวนมากและในที่สุด กกต. ก็วินิจฉัยไปเบื้องต้นก็คือมันขึ้นไป สองร้อยเจ็ดสิบกว่าเขต แต่ว่าแน่นอนคนเหล่านี้ก็ยังมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะร้องศาลฎีกา ที่จะพิจารณาภายใน 4 — 5 วันข้างหน้าต่อไป แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า กระบวนการที่คนเป็นจำนวนหลายร้อยนี้ที่มาสมัครรับเลือกตั้งโดยที่ขาดคุณสมบัติมันไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ และในที่สุดสิ่งที่เราจากพยานเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ก็คือมีกระบวนการที่จัดทำโดยพรรคการเมืองใหญ่ มีการเอาผู้สมัครหรือผู้ที่ลงสมัครในพื้นที่ต่าง ๆ มาประชุมที่กรุงเทพฯ ในโรงแรมในย่านสะพานควาย แล้วก็พยานหลักฐานที่ได้มีการยืนยันมาเมื่อวานนี้ ที่ท่านเลขาธิการพรรคฯ ได้แถลงข่าวออกไปก็คือมีการจ้างวาน มีการบงการโดยบุคคลสำคัญในพรรคใหญ่ ทีนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดอยู่ตรงนี้ครับ คือระบบหรือกระบวนการที่มาจ้างวานก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็มีคำถามตลอดเวลาว่า คนเหล่านี้ถ้าสงสัย หรือถ้ารู้ว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติหรือไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคต่าง ๆ ครบ 90 วันจะกล้าที่จะเข้าไปสมัครแล้วแล้วขาดคุณสมบัติได้อย่างไร สิ่งที่เราพบก็คือว่า มีการให้ความมั่นใจกับคนเหล่านี้ เรื่องของคุณสมบัติและสมาชิกภาพของพรรคการเมืองต่าง ๆ ไปแก้ไขได้ แล้วก็สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือว่าในกรณีที่มีการแถลงข่าวไปเมื่อวานนี้ หมายความว่ากระบวนการทุจริตตรงนี้สามารถเข้าไปแก้ฐานข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ของกกต.ได้ นั่นหมายความว่าเช่นทะเบียนสมาชิกพรรคซึ่งเก็บไว้ใน กกต. ที่เป็นเอกสารและเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์เนี่ย สามารถมีการดำเนินการเอาชื่อคนที่อยากให้ลงสมัครเนี่ยแต่ยังไม่เป็นสมาชิกพรรคนะครับ ไปสวมแทนสมาชิกที่เป็นอยู่ก่อน โดยไปลบข้อมูลในคอมพิวเตอร์เอาข้อมูลใหม่ใส่เข้าไป รวมถึงไปดึงเอกสารออกมาได้ ตรงนี้มีความหมายสำคัญ 2 อย่างนะครับ ประเด็นแรกคือทำไมเจ้าหน้าที่ กกต. ที่มีส่วนไปเกี่ยวข้องถึงกล้าทำขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยนะครับ ไปเอาข้อมูลมายอมให้มีการแก้ไขเพื่อตรงนี้ พูดตรง ๆ ว่าไม่เชื่อว่าคนทีเป็นเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติจะทำของเหล่านี้ ถ้าไม่มีไฟเขียวมาจากที่ใดที่หนึ่ง อันนี้เป็นประเด็นสำคัญ ประเด็นที่ 2 ก็คือว่า แล้วเราถามว่าจะมีความมั่นใจในกระบวนการการเลือกตั้งได้อย่างไร เชื่อไม๊ครับในบางเขตคนของพรรคการเมืองใหญ่ไปบอกด้วยซ้ำว่า อาจจะให้เป็นส.ส.เลยนะ ไม่ใช่แค่สมัครอย่างเดียว แล้วทำให้เป็นส.ส. ได้ด้วย ซึ่งอันนี้แหละครับมันเป็นตัวฟ้องเลยว่า ที่เราพูดตั้งแต่ต้นว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีความมั่นใจ แล้วมันไม่ปกติ มันได้รับการยืนยันมาจากหลายเรื่องแล้วในขณะนี้ แล้วก็หลังจากที่มีการประกาศผู้สมัครไปแล้ว ผมก็คิดว่าบางคนก็มีความรู้สึกกังวล ก็หมายความว่า เลือกตั้งไปแล้วในที่สุดก็จะมีปัญหา ข้อกฎหมายต่าง ๆ ตามมาพอสมควร แล้วก็เงินที่เราใช้ในการเลือกตั้งก็ 2,000 กว่าล้าน อันนี้คือประเด็นที่ผมคิดว่า แม้แต่ท่านนายกฯ เองก็น่าจะต้องกลับมาคิดกันดูตรงนี้บ้างว่า ในที่สุดแล้วที่พยายามพูดว่ามีกติกา มีอะไรต่าง ๆ เนี่ยเป็นกติกา และเป็นการปฏิบัติที่ให้ความมั่นใจในเรื่องการให้ความสุจริต เที่ยงธรรม ตามกฎ กติกา จริงหรือไม่ และสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นนี้จะมีคำตอบอย่างไร
ผู้ดำเนินรายการ : คุณอภิสิทธิ์คะ แต่ช่วงนี้หลาย ๆ คนก็มักจะถามว่าจะเป็นอย่างไรกันต่อ สถานการณ์จะยืดเยื้อต่อไปอีกนานแค่ไหน ฝ่ายค้านจะทำอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์จะตัดสินใจอย่างไร มาในนาทีนี้คุณอภิสิทธิ์มีอะไรในใจ เป็น Agenda อะไรในใจหรือยังคะ
คุณอภิสิทธิ์ : ในขณะนี้ถ้าถามถึงในส่วนของพรรค ที่จริงพรรคก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากนะครับ เพราะว่าการตัดสินใจไป ซึ่งผมก็ยืนยันว่าเป็นการตัดสินใจเพื่อฟ้องให้เห็นว่าระบบต่าง ๆ เป็นปัญหาจริง ๆ และขณะนี้ข้อมูลต่างๆ ก็บ่งชี้ว่ามันมีปัญหาจริง ๆ จุดยืนของเราก็คือจะทำอย่างไรจะขับเคลื่อนไปสู่การปฏิรูปการเมือง แต่ว่าจะปฏิรูปการเมืองได้มันก็ไปเกี่ยวพันกับอีกหลาย ๆ ฝ่าย เมื่อมันเกี่ยวพันกับอีกหลาย ๆ ฝ่ายเนี่ย ก็จะต้องดูว่าแต่ละฝ่ายจะทำอย่างไร เมื่อวานนี้ที่พีเน็ตเชิญไป เราก็ส่งคนของเราไป ก็มันยังไม่ครบทุกฝ่าย ก็หวังว่าจะมีการมาพูดมาคุยกันในทุกเวทีที่พยายามจะพูดคุยกันหรือว่าอย่างน้อยก็คือมาร่วมกันหาทางออก
ผู้ดำเนินรายการ : แต่ว่าวันนี้ยังมองไม่เห็นเลยว่า จะเจอกันได้อย่างไร คปอ.ก็คิดไปอย่าง พีเน็ตก็คิดไปอีกอย่างหนึ่ง รัฐบาลอยากไป คปอ. พันธมิตรกับฝ่ายค้านอยากไปพีเน็ตมากกว่า อะไรอย่างนี้
คุณอภิสิทธิ์ : จริง ๆ ในส่วนของคปอ. เราก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ แต่ว่าเวลานี้ปัญหาเรื่อง คปอ. ต้องไปแก้ไขกัน เพราะว่าตอนนี้กลุ่มพันธมิตรปฏิเสธแล้ว ซึ่งผมยังไม่ชัดเจนว่าเหตุผลต่าง ๆ เป็นอย่างไร แต่ว่ากระบวนการของ คปอ. ผมก็เห็นใจทางอธิการซึ่งทำงานอยู่ ก็มีปัญหาอยู่พอสมควร
ผู้ดำเนินรายการ : เห็นว่าอย่างไรก็ตามท่านจะพยายามต่อไป
คุณอภิสิทธิ์ : ผมก็คิดว่าทุกคนพยายามจะช่วยกัน แต่ว่ามันก็จำเป็นที่จะต้องมีจุดเริ่มต้นที่เป็นสมมติฐานบางอย่าง อย่างที่ผมเคยบอกว่า ถ้าเกิดมันมีเงื่อนไขก่อนกันหมดในเรื่องสาระของเรื่องมันก็คงจะเกิดการพูดจากันได้ยาก
ผู้ดำเนินรายการ : ไม่ได้คุยกันซักทีถ้ามีเงื่อนไข
คุณอภิสิทธิ์ : แต่ว่าเรื่องนี้ผมก็ต้องยืนยันว่า เงื่อนไขเดียวที่เราพูดถึงในขณะนี้ก็คือว่า ถ้าจะพูดคุยกันในเรื่องสาระ จะอย่างไรก็ตามต้องเป็นกระบวนการที่เปิดเผย ถ้าไม่เปิดเผยเนี่ยผมว่าอันตราย เพราะว่าสมมติพูดคุยกันแล้วไม่เปิดเผย ไปปิดห้องคุยกันเนี่ย แล้วก็ตกลงกันไม่ได้ สมมตินะครับ คงนึกภาพออกนะครับทั้งสองท่าน ตกลงกันไม่ได้ ทีนี้สงครามข่าวสารตามกันมาเลย ฝ่ายนั้นอย่างงี้ ฝ่ายนี้อย่างงั้น เพราะตกลงกันไม่ได้ แทนที่จะทำให้ปรองดองกัน จะยิ่งแตกแยกกัน แต่ว่าถ้าเปิดเผยเนี่ย ผมเชื่อในดุลยพินิจ และความรู้สึกของคนไทยที่จะเป็นสักขีพยาน ถ้าหากว่าในเวทีที่ไปพูดคุยกันเปิดเผยเนี่ย ไม่มีเหตุไม่มีผล ใครก้าวร้าวหยาบคายเนี่ย ผมว่าในที่สุดประชาชนก็จะไม่เข้าข้าง ถ้าเกิดเราไปไล่กันด้วยเหตุ ด้วยผล เอาความจริงมาพูดกัน ผมยังมองว่ามันเป็นแนวทางที่ดี
ผู้ดำเนินรายการ : ใช้วิธีบันทึกเทปไว้เป็นหลักฐานได้ไม๊ โดยที่ไม่ต้องเปิดเวทีสาธารณะ ไม่ต้องถ่ายทอดแต่บันทึกเทปไว้ ถ้ามีปัญหาภายหลังก็เอาเทปมาอ้างอิงครับ
คุณอภิสิทธิ์ : แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรครับ ถ้าหากมันขัดแย้งกัน เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วผมไม่เห็นว่ามันจะน่ากลัวเลยนี่ครับ ทำไมจะต้องกลัวการเปิดเผย ผมเรียนว่าในอดีต ผมย้อนประวัตินิดหนึ่ง สมัยหนึ่งก็มีกลุ่มผู้ชุมนุม สมัยนั้นเป็นกลุ่มเกษตรกร มาร้องเรียนอยู่ที่กระทรวงเกษตรฯ สมัยรัฐบาลชวน ในที่สุดวิธีที่ดีที่สุดที่หาคำตอบได้คือการเขาเรียกว่าเปิดให้สื่อมวลชนเข้าไปเป็นสักขีพยานในการเจรจา และก็น่ารักมากทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็พูดคุยกันแบบ ใช้เหตุใช้ผลตรงไปตรงมา ผมว่าดูถูกคนกันเกินไปนะครับถ้าไปบอกว่าเราจะต้องเจรจากันแล้วมีกล้องทีวีแล้วทุกคนก็จะไม่พูดกันเอง จะพูดกับกล้องอะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่หรอกครับ แต่ว่ามันเป็นความอุ่นใจอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เราพูดทุกอย่างด้วยเหตุด้วยผล มันจะเป็นที่รับรู้ชัดเจน ตรงกัน พร้อมกัน
ผู้ดำเนินรายการ : คุณอภิสิทธิ์คะตอนนี้เวลาไปพบประชาชน มีเสียงสะท้อนมาทางคุณอภิสิทธิ์เป็นอย่างไรบ้าง เพราะว่า มันก็มีส่วนหนึ่งที่บอกว่า ผิดหวังพรรคประชาธิปัตย์ไม่ลงเลือกตั้ง อะไรอย่างนี้
คุณอภิสิทธิ์ : มันก็มีอีกเยอะที่บอกว่าอย่าถอยนะครับ มันธรรมดาครับ คือคำว่า ผิดหวังที่ไม่ลงเลือกตั้งก็มี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งก็จะมีผู้สนับสนุนเรา อยากเลือกจะให้ทำอย่างไร แต่ว่าพูดถึงว่าสิ่งที่เราทำนั้นทำไปเพื่ออะไร กลุ่มนี้ไม่มีปัญหาเลย อีกส่วนหนึ่งคือกลุ่มที่ไม่สนับสนุนเรา ก็พูดก็สะท้อน ผมก็ยอมรับว่ามี มันก็ธรรมดา ขณะนี้ผมก็ต้องบอกว่าความแตกต่างทางความคิดมีมาก คนรักคุณทักษิณก็เยอะ คนที่รับคนทักษิณไม่ได้ก็เยอะ คนชอบพรรคประชาธิปัตย์ก็มี คนไม่ชอบก็มี แต่ว่าทุกอย่างผมคิดว่ามันต้องคลี่คลายกันด้วยเหตุ ด้วยผล
ผู้ดำเนินรายการ : คือบางคนอาจจะเป็นแฟนเหนียวแน่น ที่บอกว่าถ้าช่วงนี้พรรคประชาธิปัตย์ ลงเลือกตั้งเนี่ย ในกรุงเทพฯ คิดว่าได้เยอะ ไทยรักไทยเนี่ยไม่น่าได้
คุณอภิสิทธิ์ : ผมก็ยืนยันเลยนะครับว่า ผมเองโดยส่วนตัวก็มีความมั่นใจว่าเที่ยวนี้ ส.ส. เราจะได้เพิ่มอยู่แล้ว ปัญหาวันนี้ก็มีอยู่ว่าเราจะทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองด้วยวิธีการไหน เพิ่มจำนวน ส.ส. เข้าไปแต่ว่าระบบของบ้านเมืองเรามันถูกยึดไปแล้วไม่มีการตรวจสอบได้อย่างจริงจัง กับการที่บอกว่าต้องมายืนอยู่ข้างนอกเพื่อนำไปสู่การผลักดันไปสู่การปฏิรูปการเมือง อะไรจะเป็นประโยชน์กว่ากัน และผมคิดว่า ผมคิดง่าย ๆ อย่างนี้ครับว่า ก่อนที่เราจะตัดสินใจเนี่ย เราไม่ได้ยินพรรคไทยรักไทยขานรับเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง ตอนสมัยที่แล้วเนี่ย พรรคไทยรักไทย ก็เป็นพรรคเดียวที่ปฏิเสธเรื่องแก้มาตรา 213 และพรรคไทยรักไทยก็มีเสียงข้างมาก มากพอที่จะตัดสินใจเรื่องรัฐธรรมนูญได้เลย ตามลำพังด้วยซ้ำ เราก็เคลื่อนไหวกับพรรคฝ่ายค้านร่วมต่าง ๆ มาเป็นปี ไม่ได้รับการตอบสนอง แต่ว่าเราตัดสินใจไปเป็นครั้งแรก ท่านนายกฯ ต้องขานรับประกาศกลางสนามหลวงเลย เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นตัวหนึ่งที่บ่งบอกแล้วว่าสิ่งที่เราทำไปเนี่ย อย่างน้อยก็กำลังขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย แต่ว่าในขณะนี้แน่นอนว่าคนก็เป็นห่วงว่าจะมีปัญหาอะไรระหว่างทางไม๊ แต่ว่าผมก็ยังค่อนข้างมีความสบายใจที่ว่าหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ปฏิบัติตนได้เหมาะสม วันอังคารที่ผ่านมาเราเห็นการเคลื่อนจำนวนคนเป็นแสนและไม่มีความรุนแรง ต้องชมทั้งผู้ชุมนุมที่เป็นระเบียบมีวินัย ต้องชมทั้งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เขาดูแล และเข้าใจดีว่า ดีที่สุดอย่าให้มันเกิดปัญหาความรุนแรงอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็เห็นภาพไม๊ครับ วันนั้นมีนักวิ่งมาสนับสนุนท่านนายกฯ มาเจอพวกผู้ชุมนุมขับไล่ท่านนายกฯ และยังมีภาพเขากอดกันเลย
ผู้ดำเนินรายการ : มีภาพคุณรัตนพล
คุณอภิสิทธิ์ : นั่นแหละครับ ถ้าหากทุกคนตั้งสติอยู่ และยึดมั่นว่าปฏิบัติตามกฎหมายไม่เอาความรุนแรง เราก็ต้องช่วยกันคิดต่อเนื่องต่อไปว่า จะหาทางออกให้กับสังคมได้อย่างไร
ผู้ดำเนินรายการ : ตอนนี้มันก็จะมีเสียงสะท้อนว่าถ้ายืดเยื้อมาก เศรษฐกิจจะแย่ บางคนก็ประเมินว่าไตรมาส 2 ไตรมาส 3 เละแน่
คุณอภิสิทธิ์ : ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากยืดเยื้อหรอกครับ ถามจริง ๆ เถอะว่า ทั้งผู้ชุมนุมฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายคัดค้านต่าง ๆ ลำบากทั้งนั้นแหละครับ และบรรยากาศที่เป็นอย่างนี้วันนี้ก็เห็นมาเตือนว่าจะทำให้เครียด เพราะฉะนั้นโดยหลักแล้วคงไม่อยากให้ยืดเยื้อ แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องของการที่จะหาทางออก แต่ถ้าเรายังไม่ยอมรับว่าปัญหาอยู่ตรงไหนเราคิดแต่เพียงว่าขอให้เรื่องมันจบไปเนี่ย วันข้างหน้าเราจะเจ็บกว่านี้ ทีนี้ผมเรียนอย่างนี้มันเปรียบเหมือนกับว่าขณะนี้มีความค้นพบเนื้อร้ายแล้ว อันนี้ก็ต้องขอบคุณคุณเปลว สีเงิน เขียนเอาไว้ ผมว่าตรงมาก พบเนื้อร้ายแล้ว แต่ว่าถ้าเรามาคิดว่าการจะตัดเนื้อร้ายแล้วมันยุ่งยาก ถามว่าเราก็บอกว่าเอาเป็นว่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ แล้ววันที่เนื้อร้ายนั้นมันลุกลามจนทำลายทุกอย่างในตัวเรา เราไม่เจ็บปวดเลย แต่ว่าถ้าเมื่อเจอเนื้อร้ายแล้วมันมีความยุ่งยากในการตัดมันก็ต้องตัด ถูกไม๊ครับ ฉันใดฉันนั้น อันนี้ก็ต้องขอบคุณคุณเปลว สีเงิน เพราะว่าเป็นคนเปรียบเทียบอันนี้ขึ้นมาแล้วผมเห็นว่าตรง ถ้าเกิดเราสามารถที่จะทำตรงนี้ได้ ผมว่ามันก็จะเป็นคำตอบที่ทำให้เราไม่ย้อนกลับไปอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้
ผู้ดำเนินรายการ : เอาละครับคุณอภิสิทธิ์ สวัสดี ครับ / ค่ะ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 มี.ค. 2549--จบ--
คุณอภิสิทธิ์ : สวัสดีครับ
ผู้ดำเนินรายการ : เรื่องล่าสุดที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาแถลงเมื่อวานนี้ ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างมั่นใจในหลักฐานถึงกับเอ่ยชื่อแกนนำสำคัญของพรรคไทยรักไทย ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการไปจ้างผู้สมัครพรรคเล็กพรรคน้อยลงมา ตรงนี้อยากให้คุณอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงว่าจุดยืนของพรรคเป็นอย่างไรในเรื่องนี้
คุณอภิสิทธิ์ : สิ่งที่เราเป็นห่วงมาโดยตลอดอย่างที่ได้เรียนก็คือ ปัญหาเรื่องของความเป็นกลาง ปัญหาเรื่องของการใช้อำนาจรัฐเข้าไปแทรกแซงต่าง ๆ โดยรัฐบาลของคุณทักษิณ และสิ่งที่เป็นปัญหาแต่เพียงว่าในกรณีที่เราพูดกันอยู่ในขณะนี้ก็คือเรื่องของ กกต. และกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ในสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่ได้มีการเปิดรับสมัครและเราพบว่ามีพรรคการเมืองต่าง ๆ จำนวนมากส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งและเราสงสัยในเรื่องของคุณสมบัติ ก็ได้เข้าไปตรวจสอบ อันนี้ก็ต้องเรียนว่าทางท่านประธานกกต. ก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจนกระทั่งจะเห็นว่าผลที่ออกมาก็คือว่า ทางผู้สมัครที่ถูกตัดสิทธิ์ไปหลายร้อยคน แล้วก็จากเดิมซึ่งมีการเลือกตั้ง 400 เขตและก็คิดว่า จะมีเขตที่ไม่มีผู้เข้าแข่งขัน 130 เขตและเมื่อจริง ๆ ไปตรวจสอบดูก็พบว่ามันมีผู้สมัครที่ต้องถูกตัดสิทธิ์จำนวนมากและในที่สุด กกต. ก็วินิจฉัยไปเบื้องต้นก็คือมันขึ้นไป สองร้อยเจ็ดสิบกว่าเขต แต่ว่าแน่นอนคนเหล่านี้ก็ยังมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะร้องศาลฎีกา ที่จะพิจารณาภายใน 4 — 5 วันข้างหน้าต่อไป แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า กระบวนการที่คนเป็นจำนวนหลายร้อยนี้ที่มาสมัครรับเลือกตั้งโดยที่ขาดคุณสมบัติมันไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ และในที่สุดสิ่งที่เราจากพยานเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ก็คือมีกระบวนการที่จัดทำโดยพรรคการเมืองใหญ่ มีการเอาผู้สมัครหรือผู้ที่ลงสมัครในพื้นที่ต่าง ๆ มาประชุมที่กรุงเทพฯ ในโรงแรมในย่านสะพานควาย แล้วก็พยานหลักฐานที่ได้มีการยืนยันมาเมื่อวานนี้ ที่ท่านเลขาธิการพรรคฯ ได้แถลงข่าวออกไปก็คือมีการจ้างวาน มีการบงการโดยบุคคลสำคัญในพรรคใหญ่ ทีนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดอยู่ตรงนี้ครับ คือระบบหรือกระบวนการที่มาจ้างวานก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็มีคำถามตลอดเวลาว่า คนเหล่านี้ถ้าสงสัย หรือถ้ารู้ว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติหรือไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคต่าง ๆ ครบ 90 วันจะกล้าที่จะเข้าไปสมัครแล้วแล้วขาดคุณสมบัติได้อย่างไร สิ่งที่เราพบก็คือว่า มีการให้ความมั่นใจกับคนเหล่านี้ เรื่องของคุณสมบัติและสมาชิกภาพของพรรคการเมืองต่าง ๆ ไปแก้ไขได้ แล้วก็สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือว่าในกรณีที่มีการแถลงข่าวไปเมื่อวานนี้ หมายความว่ากระบวนการทุจริตตรงนี้สามารถเข้าไปแก้ฐานข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ของกกต.ได้ นั่นหมายความว่าเช่นทะเบียนสมาชิกพรรคซึ่งเก็บไว้ใน กกต. ที่เป็นเอกสารและเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์เนี่ย สามารถมีการดำเนินการเอาชื่อคนที่อยากให้ลงสมัครเนี่ยแต่ยังไม่เป็นสมาชิกพรรคนะครับ ไปสวมแทนสมาชิกที่เป็นอยู่ก่อน โดยไปลบข้อมูลในคอมพิวเตอร์เอาข้อมูลใหม่ใส่เข้าไป รวมถึงไปดึงเอกสารออกมาได้ ตรงนี้มีความหมายสำคัญ 2 อย่างนะครับ ประเด็นแรกคือทำไมเจ้าหน้าที่ กกต. ที่มีส่วนไปเกี่ยวข้องถึงกล้าทำขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยนะครับ ไปเอาข้อมูลมายอมให้มีการแก้ไขเพื่อตรงนี้ พูดตรง ๆ ว่าไม่เชื่อว่าคนทีเป็นเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติจะทำของเหล่านี้ ถ้าไม่มีไฟเขียวมาจากที่ใดที่หนึ่ง อันนี้เป็นประเด็นสำคัญ ประเด็นที่ 2 ก็คือว่า แล้วเราถามว่าจะมีความมั่นใจในกระบวนการการเลือกตั้งได้อย่างไร เชื่อไม๊ครับในบางเขตคนของพรรคการเมืองใหญ่ไปบอกด้วยซ้ำว่า อาจจะให้เป็นส.ส.เลยนะ ไม่ใช่แค่สมัครอย่างเดียว แล้วทำให้เป็นส.ส. ได้ด้วย ซึ่งอันนี้แหละครับมันเป็นตัวฟ้องเลยว่า ที่เราพูดตั้งแต่ต้นว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีความมั่นใจ แล้วมันไม่ปกติ มันได้รับการยืนยันมาจากหลายเรื่องแล้วในขณะนี้ แล้วก็หลังจากที่มีการประกาศผู้สมัครไปแล้ว ผมก็คิดว่าบางคนก็มีความรู้สึกกังวล ก็หมายความว่า เลือกตั้งไปแล้วในที่สุดก็จะมีปัญหา ข้อกฎหมายต่าง ๆ ตามมาพอสมควร แล้วก็เงินที่เราใช้ในการเลือกตั้งก็ 2,000 กว่าล้าน อันนี้คือประเด็นที่ผมคิดว่า แม้แต่ท่านนายกฯ เองก็น่าจะต้องกลับมาคิดกันดูตรงนี้บ้างว่า ในที่สุดแล้วที่พยายามพูดว่ามีกติกา มีอะไรต่าง ๆ เนี่ยเป็นกติกา และเป็นการปฏิบัติที่ให้ความมั่นใจในเรื่องการให้ความสุจริต เที่ยงธรรม ตามกฎ กติกา จริงหรือไม่ และสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นนี้จะมีคำตอบอย่างไร
ผู้ดำเนินรายการ : คุณอภิสิทธิ์คะ แต่ช่วงนี้หลาย ๆ คนก็มักจะถามว่าจะเป็นอย่างไรกันต่อ สถานการณ์จะยืดเยื้อต่อไปอีกนานแค่ไหน ฝ่ายค้านจะทำอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์จะตัดสินใจอย่างไร มาในนาทีนี้คุณอภิสิทธิ์มีอะไรในใจ เป็น Agenda อะไรในใจหรือยังคะ
คุณอภิสิทธิ์ : ในขณะนี้ถ้าถามถึงในส่วนของพรรค ที่จริงพรรคก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากนะครับ เพราะว่าการตัดสินใจไป ซึ่งผมก็ยืนยันว่าเป็นการตัดสินใจเพื่อฟ้องให้เห็นว่าระบบต่าง ๆ เป็นปัญหาจริง ๆ และขณะนี้ข้อมูลต่างๆ ก็บ่งชี้ว่ามันมีปัญหาจริง ๆ จุดยืนของเราก็คือจะทำอย่างไรจะขับเคลื่อนไปสู่การปฏิรูปการเมือง แต่ว่าจะปฏิรูปการเมืองได้มันก็ไปเกี่ยวพันกับอีกหลาย ๆ ฝ่าย เมื่อมันเกี่ยวพันกับอีกหลาย ๆ ฝ่ายเนี่ย ก็จะต้องดูว่าแต่ละฝ่ายจะทำอย่างไร เมื่อวานนี้ที่พีเน็ตเชิญไป เราก็ส่งคนของเราไป ก็มันยังไม่ครบทุกฝ่าย ก็หวังว่าจะมีการมาพูดมาคุยกันในทุกเวทีที่พยายามจะพูดคุยกันหรือว่าอย่างน้อยก็คือมาร่วมกันหาทางออก
ผู้ดำเนินรายการ : แต่ว่าวันนี้ยังมองไม่เห็นเลยว่า จะเจอกันได้อย่างไร คปอ.ก็คิดไปอย่าง พีเน็ตก็คิดไปอีกอย่างหนึ่ง รัฐบาลอยากไป คปอ. พันธมิตรกับฝ่ายค้านอยากไปพีเน็ตมากกว่า อะไรอย่างนี้
คุณอภิสิทธิ์ : จริง ๆ ในส่วนของคปอ. เราก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ แต่ว่าเวลานี้ปัญหาเรื่อง คปอ. ต้องไปแก้ไขกัน เพราะว่าตอนนี้กลุ่มพันธมิตรปฏิเสธแล้ว ซึ่งผมยังไม่ชัดเจนว่าเหตุผลต่าง ๆ เป็นอย่างไร แต่ว่ากระบวนการของ คปอ. ผมก็เห็นใจทางอธิการซึ่งทำงานอยู่ ก็มีปัญหาอยู่พอสมควร
ผู้ดำเนินรายการ : เห็นว่าอย่างไรก็ตามท่านจะพยายามต่อไป
คุณอภิสิทธิ์ : ผมก็คิดว่าทุกคนพยายามจะช่วยกัน แต่ว่ามันก็จำเป็นที่จะต้องมีจุดเริ่มต้นที่เป็นสมมติฐานบางอย่าง อย่างที่ผมเคยบอกว่า ถ้าเกิดมันมีเงื่อนไขก่อนกันหมดในเรื่องสาระของเรื่องมันก็คงจะเกิดการพูดจากันได้ยาก
ผู้ดำเนินรายการ : ไม่ได้คุยกันซักทีถ้ามีเงื่อนไข
คุณอภิสิทธิ์ : แต่ว่าเรื่องนี้ผมก็ต้องยืนยันว่า เงื่อนไขเดียวที่เราพูดถึงในขณะนี้ก็คือว่า ถ้าจะพูดคุยกันในเรื่องสาระ จะอย่างไรก็ตามต้องเป็นกระบวนการที่เปิดเผย ถ้าไม่เปิดเผยเนี่ยผมว่าอันตราย เพราะว่าสมมติพูดคุยกันแล้วไม่เปิดเผย ไปปิดห้องคุยกันเนี่ย แล้วก็ตกลงกันไม่ได้ สมมตินะครับ คงนึกภาพออกนะครับทั้งสองท่าน ตกลงกันไม่ได้ ทีนี้สงครามข่าวสารตามกันมาเลย ฝ่ายนั้นอย่างงี้ ฝ่ายนี้อย่างงั้น เพราะตกลงกันไม่ได้ แทนที่จะทำให้ปรองดองกัน จะยิ่งแตกแยกกัน แต่ว่าถ้าเปิดเผยเนี่ย ผมเชื่อในดุลยพินิจ และความรู้สึกของคนไทยที่จะเป็นสักขีพยาน ถ้าหากว่าในเวทีที่ไปพูดคุยกันเปิดเผยเนี่ย ไม่มีเหตุไม่มีผล ใครก้าวร้าวหยาบคายเนี่ย ผมว่าในที่สุดประชาชนก็จะไม่เข้าข้าง ถ้าเกิดเราไปไล่กันด้วยเหตุ ด้วยผล เอาความจริงมาพูดกัน ผมยังมองว่ามันเป็นแนวทางที่ดี
ผู้ดำเนินรายการ : ใช้วิธีบันทึกเทปไว้เป็นหลักฐานได้ไม๊ โดยที่ไม่ต้องเปิดเวทีสาธารณะ ไม่ต้องถ่ายทอดแต่บันทึกเทปไว้ ถ้ามีปัญหาภายหลังก็เอาเทปมาอ้างอิงครับ
คุณอภิสิทธิ์ : แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรครับ ถ้าหากมันขัดแย้งกัน เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วผมไม่เห็นว่ามันจะน่ากลัวเลยนี่ครับ ทำไมจะต้องกลัวการเปิดเผย ผมเรียนว่าในอดีต ผมย้อนประวัตินิดหนึ่ง สมัยหนึ่งก็มีกลุ่มผู้ชุมนุม สมัยนั้นเป็นกลุ่มเกษตรกร มาร้องเรียนอยู่ที่กระทรวงเกษตรฯ สมัยรัฐบาลชวน ในที่สุดวิธีที่ดีที่สุดที่หาคำตอบได้คือการเขาเรียกว่าเปิดให้สื่อมวลชนเข้าไปเป็นสักขีพยานในการเจรจา และก็น่ารักมากทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็พูดคุยกันแบบ ใช้เหตุใช้ผลตรงไปตรงมา ผมว่าดูถูกคนกันเกินไปนะครับถ้าไปบอกว่าเราจะต้องเจรจากันแล้วมีกล้องทีวีแล้วทุกคนก็จะไม่พูดกันเอง จะพูดกับกล้องอะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่หรอกครับ แต่ว่ามันเป็นความอุ่นใจอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เราพูดทุกอย่างด้วยเหตุด้วยผล มันจะเป็นที่รับรู้ชัดเจน ตรงกัน พร้อมกัน
ผู้ดำเนินรายการ : คุณอภิสิทธิ์คะตอนนี้เวลาไปพบประชาชน มีเสียงสะท้อนมาทางคุณอภิสิทธิ์เป็นอย่างไรบ้าง เพราะว่า มันก็มีส่วนหนึ่งที่บอกว่า ผิดหวังพรรคประชาธิปัตย์ไม่ลงเลือกตั้ง อะไรอย่างนี้
คุณอภิสิทธิ์ : มันก็มีอีกเยอะที่บอกว่าอย่าถอยนะครับ มันธรรมดาครับ คือคำว่า ผิดหวังที่ไม่ลงเลือกตั้งก็มี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งก็จะมีผู้สนับสนุนเรา อยากเลือกจะให้ทำอย่างไร แต่ว่าพูดถึงว่าสิ่งที่เราทำนั้นทำไปเพื่ออะไร กลุ่มนี้ไม่มีปัญหาเลย อีกส่วนหนึ่งคือกลุ่มที่ไม่สนับสนุนเรา ก็พูดก็สะท้อน ผมก็ยอมรับว่ามี มันก็ธรรมดา ขณะนี้ผมก็ต้องบอกว่าความแตกต่างทางความคิดมีมาก คนรักคุณทักษิณก็เยอะ คนที่รับคนทักษิณไม่ได้ก็เยอะ คนชอบพรรคประชาธิปัตย์ก็มี คนไม่ชอบก็มี แต่ว่าทุกอย่างผมคิดว่ามันต้องคลี่คลายกันด้วยเหตุ ด้วยผล
ผู้ดำเนินรายการ : คือบางคนอาจจะเป็นแฟนเหนียวแน่น ที่บอกว่าถ้าช่วงนี้พรรคประชาธิปัตย์ ลงเลือกตั้งเนี่ย ในกรุงเทพฯ คิดว่าได้เยอะ ไทยรักไทยเนี่ยไม่น่าได้
คุณอภิสิทธิ์ : ผมก็ยืนยันเลยนะครับว่า ผมเองโดยส่วนตัวก็มีความมั่นใจว่าเที่ยวนี้ ส.ส. เราจะได้เพิ่มอยู่แล้ว ปัญหาวันนี้ก็มีอยู่ว่าเราจะทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองด้วยวิธีการไหน เพิ่มจำนวน ส.ส. เข้าไปแต่ว่าระบบของบ้านเมืองเรามันถูกยึดไปแล้วไม่มีการตรวจสอบได้อย่างจริงจัง กับการที่บอกว่าต้องมายืนอยู่ข้างนอกเพื่อนำไปสู่การผลักดันไปสู่การปฏิรูปการเมือง อะไรจะเป็นประโยชน์กว่ากัน และผมคิดว่า ผมคิดง่าย ๆ อย่างนี้ครับว่า ก่อนที่เราจะตัดสินใจเนี่ย เราไม่ได้ยินพรรคไทยรักไทยขานรับเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง ตอนสมัยที่แล้วเนี่ย พรรคไทยรักไทย ก็เป็นพรรคเดียวที่ปฏิเสธเรื่องแก้มาตรา 213 และพรรคไทยรักไทยก็มีเสียงข้างมาก มากพอที่จะตัดสินใจเรื่องรัฐธรรมนูญได้เลย ตามลำพังด้วยซ้ำ เราก็เคลื่อนไหวกับพรรคฝ่ายค้านร่วมต่าง ๆ มาเป็นปี ไม่ได้รับการตอบสนอง แต่ว่าเราตัดสินใจไปเป็นครั้งแรก ท่านนายกฯ ต้องขานรับประกาศกลางสนามหลวงเลย เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นตัวหนึ่งที่บ่งบอกแล้วว่าสิ่งที่เราทำไปเนี่ย อย่างน้อยก็กำลังขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย แต่ว่าในขณะนี้แน่นอนว่าคนก็เป็นห่วงว่าจะมีปัญหาอะไรระหว่างทางไม๊ แต่ว่าผมก็ยังค่อนข้างมีความสบายใจที่ว่าหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ปฏิบัติตนได้เหมาะสม วันอังคารที่ผ่านมาเราเห็นการเคลื่อนจำนวนคนเป็นแสนและไม่มีความรุนแรง ต้องชมทั้งผู้ชุมนุมที่เป็นระเบียบมีวินัย ต้องชมทั้งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เขาดูแล และเข้าใจดีว่า ดีที่สุดอย่าให้มันเกิดปัญหาความรุนแรงอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็เห็นภาพไม๊ครับ วันนั้นมีนักวิ่งมาสนับสนุนท่านนายกฯ มาเจอพวกผู้ชุมนุมขับไล่ท่านนายกฯ และยังมีภาพเขากอดกันเลย
ผู้ดำเนินรายการ : มีภาพคุณรัตนพล
คุณอภิสิทธิ์ : นั่นแหละครับ ถ้าหากทุกคนตั้งสติอยู่ และยึดมั่นว่าปฏิบัติตามกฎหมายไม่เอาความรุนแรง เราก็ต้องช่วยกันคิดต่อเนื่องต่อไปว่า จะหาทางออกให้กับสังคมได้อย่างไร
ผู้ดำเนินรายการ : ตอนนี้มันก็จะมีเสียงสะท้อนว่าถ้ายืดเยื้อมาก เศรษฐกิจจะแย่ บางคนก็ประเมินว่าไตรมาส 2 ไตรมาส 3 เละแน่
คุณอภิสิทธิ์ : ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากยืดเยื้อหรอกครับ ถามจริง ๆ เถอะว่า ทั้งผู้ชุมนุมฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายคัดค้านต่าง ๆ ลำบากทั้งนั้นแหละครับ และบรรยากาศที่เป็นอย่างนี้วันนี้ก็เห็นมาเตือนว่าจะทำให้เครียด เพราะฉะนั้นโดยหลักแล้วคงไม่อยากให้ยืดเยื้อ แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องของการที่จะหาทางออก แต่ถ้าเรายังไม่ยอมรับว่าปัญหาอยู่ตรงไหนเราคิดแต่เพียงว่าขอให้เรื่องมันจบไปเนี่ย วันข้างหน้าเราจะเจ็บกว่านี้ ทีนี้ผมเรียนอย่างนี้มันเปรียบเหมือนกับว่าขณะนี้มีความค้นพบเนื้อร้ายแล้ว อันนี้ก็ต้องขอบคุณคุณเปลว สีเงิน เขียนเอาไว้ ผมว่าตรงมาก พบเนื้อร้ายแล้ว แต่ว่าถ้าเรามาคิดว่าการจะตัดเนื้อร้ายแล้วมันยุ่งยาก ถามว่าเราก็บอกว่าเอาเป็นว่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ แล้ววันที่เนื้อร้ายนั้นมันลุกลามจนทำลายทุกอย่างในตัวเรา เราไม่เจ็บปวดเลย แต่ว่าถ้าเมื่อเจอเนื้อร้ายแล้วมันมีความยุ่งยากในการตัดมันก็ต้องตัด ถูกไม๊ครับ ฉันใดฉันนั้น อันนี้ก็ต้องขอบคุณคุณเปลว สีเงิน เพราะว่าเป็นคนเปรียบเทียบอันนี้ขึ้นมาแล้วผมเห็นว่าตรง ถ้าเกิดเราสามารถที่จะทำตรงนี้ได้ ผมว่ามันก็จะเป็นคำตอบที่ทำให้เราไม่ย้อนกลับไปอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้
ผู้ดำเนินรายการ : เอาละครับคุณอภิสิทธิ์ สวัสดี ครับ / ค่ะ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 มี.ค. 2549--จบ--