รองโฆษกปชป.เสนอ “สุรยุทธ์” ปรับครม.อีกรอบ ตั้งรองนายกฯเพิ่มอีก 2 คุมความมั่นคง-สังคม ระบุแค่ “อุ๋ย”กับ “โฆสิต” ไม่พอ เพราะมองแค่มุมเดียว แต่ปัญหาของปท.ซับซ้อนและรุนแรงขึ้น ทั้งภาคใต้-หวยบนดิน-กระจายอำนาจ ชี้ถ้าไม่เร่งหามือดีมาอุดรูรั่ว จะเข้ารกเข้าพงไปใหญ่ เตือนรบ.เฉพาะกาลไม่มีเวลา “ฮันนี่มูน”
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช ให้สัมภาษณ์เรียกร้องให้พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเสนอให้เพิ่มตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายสังคม เพื่อกำกับดูแลงานทั้งสองด้านอย่างชัดเจน เนื่องจากที่ผ่านมามีรองนายกรัฐมนตรีมีเพียง 2 คน ต้องรับผิดชอบงานล้นมือและเกินความสามารถในการกำกับดูแล จนทำให้เกิดความผิดพลาด และหย่อนประสิทธิภาพ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลและเสียโอกาสในการแก้ไขปัญหาของชาติ ขณะที่ปัญหาทั้งสองด้านดังกล่าวมีความรุนแรงและสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
นายอภิชาต กล่าวว่า จากการปรับครม.เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเพิ่มรัฐมนตรีเข้าไปอีก 2 ตำแหน่งเป็นเพียงการหาคนไปช่วยแบ่งเบาและสนองแนวทางการทำงานของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่านั้น ไม่ได้มียุทธศาสตร์ใหม่แต่อย่างใด ขณะที่มาถึงวันนี้เห็นแล้วว่าภารกิจของรัฐบาลมีมากจนล้นมือ ปัญหาของประเทศมีความสลับซับซ้อนมากกว่ารัฐบาลชุดที่แล้วๆมา แต่ละเรื่องที่ประดังเข้ามาล้วนแต่ท้าทายต่อรัฐบาลนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหตุร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้, กรณีหวยบนดิน หรือ การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ฯลฯ แต่ละเรื่องต้องการผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้าไปแก้ไขให้เห็นผลโดยเร็ว นายกรัฐมนตรีจึงจะต้องปรับการทำงานให้กระชับและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สำหรับตำแหน่งรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงนั้น มีความจำเป็นมากขึ้น เพราะสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น มีเพียงนายกรัฐมนตรีที่ออกหน้าตั้งรับอยู่คนเดียวซึ่งเสี่ยงอย่างมาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ยังไม่มีศักยภาพโดดเด่นพอที่จะเข้าไปคลี่คลายปัญหา ขณะที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคมช. ในฐานะผบ.ทบ.และผู้อำนวยการกอ.รมน. ก็ไม่มีตำแหน่งในครม. อีกทั้งจากการออกสมุดปกขาวของคมช.เมื่อเร็วๆนี้ก็ตีกรอบตัวเองไว้ชัดเจนว่า คมช.ทั้ง6 คนมีหน้าที่เพียงเป็นผู้บังคับบัญชาในเหล่าทัพเท่านั้น ส่วนการบริหารประเทศให้เป็นหน้าที่ของ ครม. ซึ่งมีอำนาจที่กว้างขวางกว่า
“ส่วนตำแหน่งรองนายกฯฝ่ายสังคม วันนี้ก็ไม่ชัดว่าเป็นใคร ทั้งหม่อมอุ๋ย ทั้งนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ แม้จะคุมกระทรวงด้านสังคมด้วย ก็ล้วนแต่ถนัดด้านเศรษฐกิจ เมื่อมาเจอเรื่องหนักๆอย่างกรณีหวยบนดิน เรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือกรณี อสมท. ซึ่งมีหลายมิติก็ใช้แต่มุมมองด้านเศรษฐกิจ จนละเลยมิติด้านสังคมกลายเป็นปัญหาหนักอยู่ในขณะนี้ นายกฯต้องรีบหามือดีด้านสังคมที่มีประสบการณ์และความเข้าใจมาอุดรูรั่ว ถ่วงดุลตรงนี้ไว้ ก่อนที่จะเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่” นายอภิชาต กล่าว
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า การขยักตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ไม่ตั้งให้เต็มตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยอ้างว่าเพียงเท่าที่มีอยู่ก็ทำงานได้แล้ว จะได้ไม่ต้องเปลืองงบประมาณไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้อง เพราะเห็นอยู่แล้วว่า ผลงานยังไม่เข้าตาประชาชน รัฐมนตรีส่วนใหญ่แม้จะเป็นข้าราชการเก่า แต่เมื่อมารับผิดชอบงานทางการเมืองก็มีสภาพเป็นมือใหม่หัดขับ ทำงานรูทีน ไม่กล้าตัดสินใจ อย่าลืมว่ารัฐบาลเฉพาะกาลที่ขีดเส้นอายุตัวเองไว้เพียง1 ปี นั้นไม่มีเวลาฮันนี่มูน เข้ามาทำงานเพียง 1 เดือนเศษ ประชาชนก็เรียกหาผลงานกันแล้ว ถ้าไม่รีบปรับตัวจะน่าห่วงมาก
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 พ.ย. 2549--จบ--
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช ให้สัมภาษณ์เรียกร้องให้พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเสนอให้เพิ่มตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายสังคม เพื่อกำกับดูแลงานทั้งสองด้านอย่างชัดเจน เนื่องจากที่ผ่านมามีรองนายกรัฐมนตรีมีเพียง 2 คน ต้องรับผิดชอบงานล้นมือและเกินความสามารถในการกำกับดูแล จนทำให้เกิดความผิดพลาด และหย่อนประสิทธิภาพ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลและเสียโอกาสในการแก้ไขปัญหาของชาติ ขณะที่ปัญหาทั้งสองด้านดังกล่าวมีความรุนแรงและสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
นายอภิชาต กล่าวว่า จากการปรับครม.เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเพิ่มรัฐมนตรีเข้าไปอีก 2 ตำแหน่งเป็นเพียงการหาคนไปช่วยแบ่งเบาและสนองแนวทางการทำงานของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่านั้น ไม่ได้มียุทธศาสตร์ใหม่แต่อย่างใด ขณะที่มาถึงวันนี้เห็นแล้วว่าภารกิจของรัฐบาลมีมากจนล้นมือ ปัญหาของประเทศมีความสลับซับซ้อนมากกว่ารัฐบาลชุดที่แล้วๆมา แต่ละเรื่องที่ประดังเข้ามาล้วนแต่ท้าทายต่อรัฐบาลนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหตุร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้, กรณีหวยบนดิน หรือ การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ฯลฯ แต่ละเรื่องต้องการผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้าไปแก้ไขให้เห็นผลโดยเร็ว นายกรัฐมนตรีจึงจะต้องปรับการทำงานให้กระชับและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สำหรับตำแหน่งรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงนั้น มีความจำเป็นมากขึ้น เพราะสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น มีเพียงนายกรัฐมนตรีที่ออกหน้าตั้งรับอยู่คนเดียวซึ่งเสี่ยงอย่างมาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ยังไม่มีศักยภาพโดดเด่นพอที่จะเข้าไปคลี่คลายปัญหา ขณะที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคมช. ในฐานะผบ.ทบ.และผู้อำนวยการกอ.รมน. ก็ไม่มีตำแหน่งในครม. อีกทั้งจากการออกสมุดปกขาวของคมช.เมื่อเร็วๆนี้ก็ตีกรอบตัวเองไว้ชัดเจนว่า คมช.ทั้ง6 คนมีหน้าที่เพียงเป็นผู้บังคับบัญชาในเหล่าทัพเท่านั้น ส่วนการบริหารประเทศให้เป็นหน้าที่ของ ครม. ซึ่งมีอำนาจที่กว้างขวางกว่า
“ส่วนตำแหน่งรองนายกฯฝ่ายสังคม วันนี้ก็ไม่ชัดว่าเป็นใคร ทั้งหม่อมอุ๋ย ทั้งนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ แม้จะคุมกระทรวงด้านสังคมด้วย ก็ล้วนแต่ถนัดด้านเศรษฐกิจ เมื่อมาเจอเรื่องหนักๆอย่างกรณีหวยบนดิน เรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือกรณี อสมท. ซึ่งมีหลายมิติก็ใช้แต่มุมมองด้านเศรษฐกิจ จนละเลยมิติด้านสังคมกลายเป็นปัญหาหนักอยู่ในขณะนี้ นายกฯต้องรีบหามือดีด้านสังคมที่มีประสบการณ์และความเข้าใจมาอุดรูรั่ว ถ่วงดุลตรงนี้ไว้ ก่อนที่จะเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่” นายอภิชาต กล่าว
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า การขยักตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ไม่ตั้งให้เต็มตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยอ้างว่าเพียงเท่าที่มีอยู่ก็ทำงานได้แล้ว จะได้ไม่ต้องเปลืองงบประมาณไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้อง เพราะเห็นอยู่แล้วว่า ผลงานยังไม่เข้าตาประชาชน รัฐมนตรีส่วนใหญ่แม้จะเป็นข้าราชการเก่า แต่เมื่อมารับผิดชอบงานทางการเมืองก็มีสภาพเป็นมือใหม่หัดขับ ทำงานรูทีน ไม่กล้าตัดสินใจ อย่าลืมว่ารัฐบาลเฉพาะกาลที่ขีดเส้นอายุตัวเองไว้เพียง1 ปี นั้นไม่มีเวลาฮันนี่มูน เข้ามาทำงานเพียง 1 เดือนเศษ ประชาชนก็เรียกหาผลงานกันแล้ว ถ้าไม่รีบปรับตัวจะน่าห่วงมาก
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 พ.ย. 2549--จบ--