1. การผลิต
ในปี 2547 (มค.-พย.) ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2546 ประมาณร้อยละ 12.9 ในขณะที่มีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 55.6 เป็นร้อยละ 59.4 ในปี 2547 (ตารางที่ 1) แม้ว่าจะเกิดปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลต่อการผลิต การบริโภค และการส่งออก เช่น การระบาดของโรคไข้หวัดนกที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมการผลิตไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง การขาดแคลนวัตถุดิบสับปะรด การประกาศการเก็บภาษีทุ่มตลาดสินค้ากุ้งของสหรัฐฯ และการเข้มงวดในการตรวจสอบสารตกค้างในอาหารนำเข้าของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ยังมีปัญหาการเพิ่มขึ้นของค่าระวางเรือและค่าขนส่งอันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก อย่างไรก็ตามจากภาวะการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและตลาดภายในประเทศที่ยังคงมีอัตราดอกเบี้ยทรงตัวในระดับต่ำ กลับส่งผลต่อการบริโภคและการลงทุนในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาในภาพรวมปรากฎว่ามีการขยายตัวของกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ร้อยละ 5.8 สอดคล้องกับการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในรูปปริมาณและมูลค่าของวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูป เช่น สัตว์น้ำแช่เย็นแช่แข็งและกึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ ปลาทูน่า กุ้ง และสัตว์น้ำอื่นๆ ปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 พืชน้ำมันและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กากถั่วเหลือง เมล็ดถั่วเหลือง ปริมาณนำเข้าลดลงร้อยละ 18.6 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเพื่อส่งออกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปปศุสัตว์ ผลิตลดลงร้อยละ 23.9 ส่งผลโดยตรงต่ออาหารสัตว์ มีการผลิตลดลงร้อยละ 24.2 ประมง ลดลงร้อยละ 8.4 ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ลดลงร้อยละ 3.8 และผลิตภัณฑ์แปรรูปผักผลไม้มีการผลิตลดลงร้อยละ 6.4 และจากนโยบายของภาครัฐในกาสนับสนุนโครงการครัวไทยสู่ครัวโลกทำให้ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสและสมุนไพร เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1
2. การตลาด
1) ตลาดในประเทศ ในปี 2547 (มค.-พย.) ความต้องการของตลาดภายในประเทศสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 สินค้าที่มีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 น้ำมันพืช ร้อยละ 3.2 ผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ 3.9 ขนมปัง และผลิตภัณฑ์ประเภทอบ ร้อยละ 18.2 ในขณะที่สินค้าที่จำหน่ายลดลง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปปศุสัตว์ ร้อยละ 5 ผักผลไม้ ร้อยละ 39.6 ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ร้อยละ 9.7 และอาหารสัตว์ ร้อยละ 25.9 ส่วนใหญ่ระดับราคาสินค้าอาหารเพิ่มขึ้นตามระดับต้นทุนด้านการขนส่ง ประกอบกับการระบาดของไข้หวัดนกทำให้การบริโภคอาหารประเภทเนื้อสัตว์ลดลง โดยหันไปบริโภคสินค้าประมงหรือสัตว์น้ำแทน ซึ่งส่งผลต่อการผลิตและการจำหน่ายอาหารสัตว์ที่เป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องลดลงตามไปด้วย แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังคงขยายตัวดี ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวในระดับต่ำทำให้การบริโภคอาหารโดยรวมยังคงมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น (ตารางที่ 3)
2) ตลาดต่างประเทศ
การส่งออก
ในปี 2547 ภาวะการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหารมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ร้อยละ 9.0 หรือมีการส่งออกเป็นมูลค่า 10,278.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สินค้าอาหารส่วนใหญ่สามารถส่งออกในมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.2 เป็นผลจากการผลักดันระดับราคาในตลาดโลก และสามารถส่งออกได้มากเป็นประวัติการณ์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.7 จากการเปิดตลาดจีนเพิ่มขึ้นตามข้อตกลงการทำเขตการค้าเสรี ผลไม้กระป๋องและแปรรูป โดยเฉพาะสับปะรดกระป๋อง แม้ว่าปริมาณการส่งออกจะลดลง แต่ระดับราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มูลค่าการส่งออกโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 สินค้าประมง (ไม่รวมกระป๋องและแปรรูป) มีมูลค่าไม่แตกต่างจากปี 2546 ส่วนอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 ส่วนใหญ่เป็นผลจากระดับราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับสินค้าอาหารที่ส่งออกลดลง ได้แก่ น้ำตาลทรายและกากน้ำตาล มูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 10.4 เนื่องจากการปรับตัวของระดับราคาตลาดโลกที่ตกต่ำลง ส่วนหนึ่งมาจากการอุดหนุนการส่งออกของสหภาพยุโรป ซึ่งในอนาคตราคาอาจปรับตัวสูงขึ้นได้เนื่องจาก องค์การการค้าโลกได้ประกาศให้สหภาพยุโรปยกเลิกการอุดหนุน และผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ โดยเฉพาะไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ไม่สามารถส่งออกได้จากผลกระทบการระบาดของโรคไข้หวัดนก ซึ่งส่งผลทางจิตวิทยากับประเทศนำเข้าหลัก คือ ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ประกาศห้ามนำเข้าจนกว่าจะสามารถกำจัดได้หมด แต่ก็ได้นำเข้าไก่แปรรูปทดแทน ทั้งนี้มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.5 โดยภาพรวมทั้งหมวดปศุสัตว์ลดลงร้อยละ 44.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน
3. สรุปและแนวโน้ม
แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมอาหารปี 2548 คาดว่าทั้งภาคการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหารจะยังคงเพิ่มขึ้นจากปี 2547 โดยมีปัจจัยต่างๆ สนับสนุนดังนี้
- การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจไทยและของโลกมีแนวโน้มขยายในลักษณะทรงตัว ซึ่งจะเป็นการ กระตุ้นให้เกิดการบริโภคสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้นด้วย
- การเร่งผลักดันโครงการครัวไทยสู่โลกของรัฐบาลให้มีผลอย่างเป็นรูปธรรม จะทำให้การส่งออกวัตถุดิบประเภทอาหารทะเล ปศุสัตว์ ผัก ผลไม้ เครื่องเทศและสมุนไพร เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- การได้คืนสิทธิ GSP ในสินค้ากุ้งจากสหภาพยุโรป และการประกาศการตอบโต้การทุ่มตลาดของสหรัฐในสินค้ากุ้งที่ต่ำกว่าการคาดการณ์และต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง ประกอบกับผลความเสียหายจากคลื่นสึนามิ อาจจะทำให้ไทยได้รับการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีการทุ่มตลาดในอัตราดังกล่าว ส่งผลทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าประเภทนี้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามหากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรายังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอาจส่งผลทำให้มูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทลดลงได้ ประกอบกับปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบทางการเกษตรจากปัญหาภัยแล้ง และการบูรณะสภาพแวดล้อม สังคมและปัจจัยพื้นฐานหลังเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้ อาจส่งผลต่อเนื่องต่อภาคการผลิต การบริโภค และการส่งออกไม่ขยายตัวตามเป้าหมาย
แนวโน้มของอุตสาหกรรมอาหารในปี 2548 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีดังนี้
1) สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋อง เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง และอาหารทะเลแปรรูปมีแนวโน้มผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้น จากปัจจัยด้านต่างประเทศ คือ การได้คืนสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร GSP จาก สหภาพยุโรป ประกอบกับสินค้ากุ้งมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากการประกาศผลการฟ้องเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดในประเทศสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่คาดการณ์และคู่แข่ง จะส่งผลต่อปริมาณการผลิตและการส่งออกกุ้งไทยได้เพิ่มขึ้น
2) สินค้าพืชผักผลไม้แปรรูป สับปะรดกระป๋องและผลิตภัณฑ์ ซึ่งไทยมีส่วนแบ่งในตลาดโลกกว่า ร้อยละ 30 มีแนวโน้มผลิตและส่งออกชะลอตัว เนื่องจากผลกระทบจากภัยแล้งที่คาดว่าจะรุนแรง ทำให้ ผลผลิตลดลง
3) สินค้าปศุสัตว์แปรรูป มูลค่ากว่าร้อยละ 70 ของหมวดนี้ คือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง มีแนวโน้มที่จะผลิตและส่งออกในปริมาณและมูลค่าที่ชะลอตัวมากขึ้น และหันไปผลิตในลักษณะไก่แปรรูป โดยเฉพาะไก่ต้มสุกและไก่พร้อมรับประทาน เช่น ไก่คาราเกะ และไก่ปรุงสำเร็จ เพื่อส่งออกในตลาดหลัก คือ สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ทดแทนไก่แช่เย็นแช่แข็งที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไข้หวัดนก และความกังวลที่จะระบาดไปยังผู้บริโภค
4) สินค้าแปรรูปจากธัญพืชและแป้ง มีแนวโน้มการผลิตลดลง เนื่องจากวัตถุดิบได้รับผลกระทบจากภาวะความแห้งแล้ง ซึ่งคาดว่าผลผลิตจะลดลงประมาณร้อยละ 10-20 โดยเฉพาะมันสำปะหลังที่เกษตรกรต้องขุดก่อนกำหนด เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาความแห้งแล้ง และความกังวลของผู้ประกอบการในเรื่องการเพิ่มระดับราคาประกันหัวมันสำปะหลังสด ที่รัฐบาลกำหนดไว้สูงถึงกิโลกรัมละ 1.50 บาท จะส่งผลทำให้ต้นทุนการผลิตแป้งและมันอัดเม็ดเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับประเทศคู่แข่ง เช่น อินโดนีเซีย และเวียตนาม และอาจต้องสูญเสียตลาดไปบางส่วนได้
5) สินค้าอื่นๆ เช่น สมุนไพรและเครื่องปรุงรส มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความสนใจกับอาหารเพื่อสุขภาพ ประกอบกับการประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติรู้จักและบริโภคอาหารไทยเพิ่มขึ้น ส่วนสินค้าน้ำตาลทราย คาดว่าจะสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นหลังจากการเจรจากับประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย และการที่องค์การการค้าโลกประกาศผลการไต่สวนกรณีการอุดหนุนการส่งออกของสหภาพยุโรป อาจทำให้ระดับราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกเพิ่มขึ้นในอนาคต
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
ในปี 2547 (มค.-พย.) ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2546 ประมาณร้อยละ 12.9 ในขณะที่มีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 55.6 เป็นร้อยละ 59.4 ในปี 2547 (ตารางที่ 1) แม้ว่าจะเกิดปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลต่อการผลิต การบริโภค และการส่งออก เช่น การระบาดของโรคไข้หวัดนกที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมการผลิตไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง การขาดแคลนวัตถุดิบสับปะรด การประกาศการเก็บภาษีทุ่มตลาดสินค้ากุ้งของสหรัฐฯ และการเข้มงวดในการตรวจสอบสารตกค้างในอาหารนำเข้าของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ยังมีปัญหาการเพิ่มขึ้นของค่าระวางเรือและค่าขนส่งอันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก อย่างไรก็ตามจากภาวะการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและตลาดภายในประเทศที่ยังคงมีอัตราดอกเบี้ยทรงตัวในระดับต่ำ กลับส่งผลต่อการบริโภคและการลงทุนในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาในภาพรวมปรากฎว่ามีการขยายตัวของกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ร้อยละ 5.8 สอดคล้องกับการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในรูปปริมาณและมูลค่าของวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูป เช่น สัตว์น้ำแช่เย็นแช่แข็งและกึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ ปลาทูน่า กุ้ง และสัตว์น้ำอื่นๆ ปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 พืชน้ำมันและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กากถั่วเหลือง เมล็ดถั่วเหลือง ปริมาณนำเข้าลดลงร้อยละ 18.6 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเพื่อส่งออกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปปศุสัตว์ ผลิตลดลงร้อยละ 23.9 ส่งผลโดยตรงต่ออาหารสัตว์ มีการผลิตลดลงร้อยละ 24.2 ประมง ลดลงร้อยละ 8.4 ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ลดลงร้อยละ 3.8 และผลิตภัณฑ์แปรรูปผักผลไม้มีการผลิตลดลงร้อยละ 6.4 และจากนโยบายของภาครัฐในกาสนับสนุนโครงการครัวไทยสู่ครัวโลกทำให้ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสและสมุนไพร เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1
2. การตลาด
1) ตลาดในประเทศ ในปี 2547 (มค.-พย.) ความต้องการของตลาดภายในประเทศสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 สินค้าที่มีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 น้ำมันพืช ร้อยละ 3.2 ผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ 3.9 ขนมปัง และผลิตภัณฑ์ประเภทอบ ร้อยละ 18.2 ในขณะที่สินค้าที่จำหน่ายลดลง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปปศุสัตว์ ร้อยละ 5 ผักผลไม้ ร้อยละ 39.6 ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ร้อยละ 9.7 และอาหารสัตว์ ร้อยละ 25.9 ส่วนใหญ่ระดับราคาสินค้าอาหารเพิ่มขึ้นตามระดับต้นทุนด้านการขนส่ง ประกอบกับการระบาดของไข้หวัดนกทำให้การบริโภคอาหารประเภทเนื้อสัตว์ลดลง โดยหันไปบริโภคสินค้าประมงหรือสัตว์น้ำแทน ซึ่งส่งผลต่อการผลิตและการจำหน่ายอาหารสัตว์ที่เป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องลดลงตามไปด้วย แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังคงขยายตัวดี ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวในระดับต่ำทำให้การบริโภคอาหารโดยรวมยังคงมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น (ตารางที่ 3)
2) ตลาดต่างประเทศ
การส่งออก
ในปี 2547 ภาวะการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหารมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ร้อยละ 9.0 หรือมีการส่งออกเป็นมูลค่า 10,278.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สินค้าอาหารส่วนใหญ่สามารถส่งออกในมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.2 เป็นผลจากการผลักดันระดับราคาในตลาดโลก และสามารถส่งออกได้มากเป็นประวัติการณ์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.7 จากการเปิดตลาดจีนเพิ่มขึ้นตามข้อตกลงการทำเขตการค้าเสรี ผลไม้กระป๋องและแปรรูป โดยเฉพาะสับปะรดกระป๋อง แม้ว่าปริมาณการส่งออกจะลดลง แต่ระดับราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มูลค่าการส่งออกโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 สินค้าประมง (ไม่รวมกระป๋องและแปรรูป) มีมูลค่าไม่แตกต่างจากปี 2546 ส่วนอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 ส่วนใหญ่เป็นผลจากระดับราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับสินค้าอาหารที่ส่งออกลดลง ได้แก่ น้ำตาลทรายและกากน้ำตาล มูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 10.4 เนื่องจากการปรับตัวของระดับราคาตลาดโลกที่ตกต่ำลง ส่วนหนึ่งมาจากการอุดหนุนการส่งออกของสหภาพยุโรป ซึ่งในอนาคตราคาอาจปรับตัวสูงขึ้นได้เนื่องจาก องค์การการค้าโลกได้ประกาศให้สหภาพยุโรปยกเลิกการอุดหนุน และผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ โดยเฉพาะไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ไม่สามารถส่งออกได้จากผลกระทบการระบาดของโรคไข้หวัดนก ซึ่งส่งผลทางจิตวิทยากับประเทศนำเข้าหลัก คือ ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ประกาศห้ามนำเข้าจนกว่าจะสามารถกำจัดได้หมด แต่ก็ได้นำเข้าไก่แปรรูปทดแทน ทั้งนี้มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.5 โดยภาพรวมทั้งหมวดปศุสัตว์ลดลงร้อยละ 44.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน
3. สรุปและแนวโน้ม
แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมอาหารปี 2548 คาดว่าทั้งภาคการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหารจะยังคงเพิ่มขึ้นจากปี 2547 โดยมีปัจจัยต่างๆ สนับสนุนดังนี้
- การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจไทยและของโลกมีแนวโน้มขยายในลักษณะทรงตัว ซึ่งจะเป็นการ กระตุ้นให้เกิดการบริโภคสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้นด้วย
- การเร่งผลักดันโครงการครัวไทยสู่โลกของรัฐบาลให้มีผลอย่างเป็นรูปธรรม จะทำให้การส่งออกวัตถุดิบประเภทอาหารทะเล ปศุสัตว์ ผัก ผลไม้ เครื่องเทศและสมุนไพร เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- การได้คืนสิทธิ GSP ในสินค้ากุ้งจากสหภาพยุโรป และการประกาศการตอบโต้การทุ่มตลาดของสหรัฐในสินค้ากุ้งที่ต่ำกว่าการคาดการณ์และต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง ประกอบกับผลความเสียหายจากคลื่นสึนามิ อาจจะทำให้ไทยได้รับการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีการทุ่มตลาดในอัตราดังกล่าว ส่งผลทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าประเภทนี้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามหากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรายังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอาจส่งผลทำให้มูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทลดลงได้ ประกอบกับปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบทางการเกษตรจากปัญหาภัยแล้ง และการบูรณะสภาพแวดล้อม สังคมและปัจจัยพื้นฐานหลังเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้ อาจส่งผลต่อเนื่องต่อภาคการผลิต การบริโภค และการส่งออกไม่ขยายตัวตามเป้าหมาย
แนวโน้มของอุตสาหกรรมอาหารในปี 2548 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีดังนี้
1) สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋อง เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง และอาหารทะเลแปรรูปมีแนวโน้มผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้น จากปัจจัยด้านต่างประเทศ คือ การได้คืนสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร GSP จาก สหภาพยุโรป ประกอบกับสินค้ากุ้งมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากการประกาศผลการฟ้องเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดในประเทศสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่คาดการณ์และคู่แข่ง จะส่งผลต่อปริมาณการผลิตและการส่งออกกุ้งไทยได้เพิ่มขึ้น
2) สินค้าพืชผักผลไม้แปรรูป สับปะรดกระป๋องและผลิตภัณฑ์ ซึ่งไทยมีส่วนแบ่งในตลาดโลกกว่า ร้อยละ 30 มีแนวโน้มผลิตและส่งออกชะลอตัว เนื่องจากผลกระทบจากภัยแล้งที่คาดว่าจะรุนแรง ทำให้ ผลผลิตลดลง
3) สินค้าปศุสัตว์แปรรูป มูลค่ากว่าร้อยละ 70 ของหมวดนี้ คือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง มีแนวโน้มที่จะผลิตและส่งออกในปริมาณและมูลค่าที่ชะลอตัวมากขึ้น และหันไปผลิตในลักษณะไก่แปรรูป โดยเฉพาะไก่ต้มสุกและไก่พร้อมรับประทาน เช่น ไก่คาราเกะ และไก่ปรุงสำเร็จ เพื่อส่งออกในตลาดหลัก คือ สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ทดแทนไก่แช่เย็นแช่แข็งที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไข้หวัดนก และความกังวลที่จะระบาดไปยังผู้บริโภค
4) สินค้าแปรรูปจากธัญพืชและแป้ง มีแนวโน้มการผลิตลดลง เนื่องจากวัตถุดิบได้รับผลกระทบจากภาวะความแห้งแล้ง ซึ่งคาดว่าผลผลิตจะลดลงประมาณร้อยละ 10-20 โดยเฉพาะมันสำปะหลังที่เกษตรกรต้องขุดก่อนกำหนด เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาความแห้งแล้ง และความกังวลของผู้ประกอบการในเรื่องการเพิ่มระดับราคาประกันหัวมันสำปะหลังสด ที่รัฐบาลกำหนดไว้สูงถึงกิโลกรัมละ 1.50 บาท จะส่งผลทำให้ต้นทุนการผลิตแป้งและมันอัดเม็ดเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับประเทศคู่แข่ง เช่น อินโดนีเซีย และเวียตนาม และอาจต้องสูญเสียตลาดไปบางส่วนได้
5) สินค้าอื่นๆ เช่น สมุนไพรและเครื่องปรุงรส มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความสนใจกับอาหารเพื่อสุขภาพ ประกอบกับการประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติรู้จักและบริโภคอาหารไทยเพิ่มขึ้น ส่วนสินค้าน้ำตาลทราย คาดว่าจะสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นหลังจากการเจรจากับประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย และการที่องค์การการค้าโลกประกาศผลการไต่สวนกรณีการอุดหนุนการส่งออกของสหภาพยุโรป อาจทำให้ระดับราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกเพิ่มขึ้นในอนาคต
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-