วันนี้ (11 ก.ค.2549) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวในกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้ออกมาพูดกับข้าราชการในช่วงที่ผ่านมาว่า พรรค ปชป.ได้นำคำปราศรัยของนายกฯที่มีต่อข้าราชการเกือบทั้งหมดไปวิเคราะห์ก็พบว่า คำพูดของท่านนายกฯในการมอบนโยบายให้กับข้าราชการในช่วงที่ผ่านมมานั้นเป็นคำพูดที่เข้าลักษณะพูดอย่างทำอย่าง เพราะหลายคำพูดหลายนโยบายที่ท่านนายกฯสั่งการไปยังข้าราชการชี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่า ท่านายกฯเองก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามนั้นหรือท่านเองกลับมีส่วนที่ปฏิบัติที่ตรงกันข้ามกับที่ท่านพยายามให้โอวาทหรือให้คำชี้แนะชี้นำต่อข้าราชการซึ่งเป็นมือเป็นไม้ของรัฐบาลในการทำงานพฤติกรรมพูดอย่างทำอย่างของท่านนายกฯที่ชี้แจงกับข้าราชการในช่วงที่ผ่านมานั้นมีอยู่ 5 ด้านด้วยกัน
ด้านแรก ท่านนายกฯบอกว่ามีคนที่ไม่รู้หน้าที่ของตัวเองไม่ทำหน้าที่ของตัวเองหลายคนไม่มีอำนาจหน้าที่แต่ชอบไปสั่งการในเรื่องของคนอื่น ตนคิดว่าการที่ท่านนายกฯพยายามเรียกร้องให้ข้าราชการรู้หน้าที่ของตนเองนั้น สิ่งที่ตนอยากจะถามท่านนายกฯ ก็คือว่า ท่านนายกฯได้ทำอะไรที่นอกเหนือหน้าที่ของตนเองหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ที่นายกฯไปแทรงแซงสื่อของรัฐหรือไม่หรือเคยไปพยายามที่จะไปแทรกแซงองค์กรอิสระไม่ให้ทำหน้าที่อย่างมีอิสระที่แท้จริงหรือไม่อย่างไรเพราะถ้าตราบใดที่ท่านนายกฯหรือคนใดของรัฐบาลนี้ยังไม่สามารถที่จะรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองก็ป่วยการที่จะไปบอกล่าวข้าราชการรู้จักหน้าที่ของตัวเอง อันนั้นเป็น พฤติกรรมพูดอย่างทำอย่างของท่านนายกฯในประการแรก
ประการที่ 2 ท่านนายกฯบอกว่าพวกเราขาดความเคารพในระบอบประชาธิปไตยคำพูดของท่านนายกฯในส่วนนี้ดูเหมือนว่าท่านเคารพระบอบประชาธิปไตย ตนคิดว่าการที่คนขาดความเคารพในระบอบประชาธิปไตยมากที่สุดของประเทศไทยคนหนี่งคือ ท่านนายกรัฐมนตรีนั้นเอง เพราะท่านนายกฯเองนั้นเป็นผู้พูดด้วยตัวท่านเองว่า “ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่อำนาจ” เพราะฉะนั้นการใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือก็คือการเคารพในระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตยนั้นไม่ควรนำมาใช้เป็นเครื่องมือนำไปสู่อำนาจเท่านั้น ประชาธิปไตยควรจะเป็นเป้าหมายของผู้นำประเทศในการนำพาองคาพยพของประเทศทั้งหมดให้นำไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแม้จริงจึงจะเรียกได้ว่าเราเคารพในระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ท่านนายกฯพูดถึงว่า เราขาดความเคารพในระบอบประชาธิปไตยก็อยากให้นายกฯร้อนดัวเองในเรื่องนี้ด้วย
ประการที่ 3 ที่บ่งบอกถึงพฤติกรรมพูดอย่างทำอย่างของท่านนายกฯก็คือ ท่านนายกฯบอกว่า ข้าราชการต้องเป็นหลักของประเทศ ตนคิดว่าท่านนายกฯกำลังบอกให้ข้าราชการเป็นหลักของประเทศ แต่บุคคลที่ทำให้ข้าราชการไม่สามารถเป็นหลักของประเทศได้ก็คือ ตัวท่านนายกฯ เพราะในเมื่อหลายครั้งหลายหนในกรณีท่านทำให้ข้าราชการต้องทำตัวเปรียบเสมือนพนักงานบริษัทของท่านนายกฯมากกว่าที่จะเป็นข้าราชการอย่างที่ควรจะเป็นข้าราชการหลายหน่วยงานโดยเฉพาะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายๆท่านต้องทำงานรับใช้บุคคลระดับสูงในรัฐบาลนี้เป็นการส่วนตัวมากกว่าที่จะทำงานตามหลักการที่ถูกต้องเพราะถูกรับคำสั่งโดยไม่ชอบธรรมหลายครั้งหลายกรณีทั้งทางตรงและทางอ้อมจากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองของเราเพราะฉะนั้น คำพูดที่ท่านนายกฯพยายามที่จะสั่งสอนให้โอกวาทชี้แนะข้าราชการให้ทำตัวเป็นหลักของประเทศนั้น ตนคิดว่าคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าตราบใดที่ท่านนายกฯยังประพฤติตนตรงข้ามกับสิ่งที่ท่านพูดมา
ประการที่4 ที่บ่งบอกถึงพฤติกรรมพูดอย่างทำอย่างของท่านนายกฯก็คือ ท่านนายกฯบอกว่า “มันจะต้งอมีกติกาที่เป็นสากล กติกาที่ต้องยอมเมื่อเรายอมรับแล้วเราก็ต้องยอมรับในกติกานั้น” ฟังก็ดูเหมือนดีเห็นเช่นเดียวกันถ้าทุกคนในประเทศนี้จะทำตามนี้ได้ แต่ปรากฎว่า คนที่มาสั่งสอนให้คนอื่นทำตามกติกานั้น โดยเฉพาะท่านนายกฯ หลายครั้งเราพบว่าท่านนายกฯนั้นหรือคนในรัฐบาลชุดนี้นั้นได้เข้าไปแทรกแซงควที่ควบคุมกติกาในองค์กรอิสระ ยกตัวอย่างเช่น ในศาลรัฐธรรมนูญก็ดี ใน กกต.ก็ดี เราพบว่าหลายครั้งหลายกรณีมีเสียงครหานินทาค่อนข้างมากถึงการทำหน้าที่ของอค์กรอิสระที่ไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่การสรรหาบุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระปรากฎว่ามีความพยายามที่จะไม่ปฏิบัติตามกติกาเป็นจำนวนมาก มีการบล็อกโหวตอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งแน่นอนที่สุดวิธีการอย่างนี้ ก็คือ วิธีการที่ไม่ทำตามกติกา ซึ่งถามว่าคนที่ได้ประโยชน์ในเรื่องนี้คือใคร คนที่ได้ประโยชน์ในเรื่องนี้คือผู้มีอำนาจของบ้านเมือง เพราะฉะนั้นเมื่อองค์กรอิสระไม่ได้มีอิสระอย่างแท้จริงองค์กรอิสระก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆต่อพี่น้องประชาชนตามเจตนารมณ์ของ รธน.เพราะฉะนั้น ตนจึงอยากจะตั้งคำถามว่า ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ไม่ใช่หรือที่ทำลายกติกามาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นท่านนายกฯไปอบรมข้าราชการไม่ละเมิดกติกา ให้ยอมรับกติกาและยอมรับกติกาจะเกิดขึ้นได้อย่างไรเมื่อตัวผู้นำเองก็เป็นผู้ปฏิบัติไม่ยอมรับกติกาอยู่ตลอดเวลา
ที่ร้ายที่สุดคือข้อที่ 5 ท่านนายกฯบอกกับข้าราชการว่า “ใครมาแอบสั่งข้าราชการอย่าปฏิบัติ”ถือว่าไม่ถูกต้อง ตนคิดว่าคนที่แอบสั่งข้าราชการให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมหาประโยชน์โดยมิชอบก็ดีทุจริตเชิงนโยบายก็ดีผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราในช่วง 4 — 5 ปีที่ผ่านมาอยากให้ท่านนายกฯกลับย้อนไปถามคนในรัฐบาลของท่านหรือถามตัวท่านเองว่า คนรอบข้างท่านหรือตัวท่านเองเคยมีส่วนการสั่งการข้าราชการให้ปฏิบัติในบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เพราะถ้าตราบใดที่ท่านหรือคนรอบข้างท่านหรือคนที่มีตำแหน่งใหญ่โตในรัฐบาลยังไปสั่งการให้ข้าราชการทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมหลายอย่างท่านนายกฯจะมาบอกให้ข้าราชการว่า ใครมาแอบสั่งข้าราชการให้แอบปฏิบัติถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็คงไม่มีข้าราชการคนไหนที่ไปฟังนายกฯในเรื่องเหล่านี้เพราะฉะนั้นที่ผมยกมาทั้งหมดนี้ก็คือ พฤติกรรม 5 พฤติกรรมแบบพูดอย่างทำอย่างของนายกฯและของรัฐบาลนี้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เป็นคำถามอยากจะถามไปยังท่านนายกฯให้ช่วยตอบให้ช่วยชี้แจงว่า ท่านไดให้โอวาทสั่งการข้าราชการในเรื่องต่างๆเหล่านี้นั้น่านหวังผลเพื่อให้ข้าราชการปฏิบัติตามนั้นหรือท่านหวังผลเพื่อจะสร้างภาพตัวท่านเองให้ดูดีมากกว่า
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 11 ก.ค. 2549--จบ--
ด้านแรก ท่านนายกฯบอกว่ามีคนที่ไม่รู้หน้าที่ของตัวเองไม่ทำหน้าที่ของตัวเองหลายคนไม่มีอำนาจหน้าที่แต่ชอบไปสั่งการในเรื่องของคนอื่น ตนคิดว่าการที่ท่านนายกฯพยายามเรียกร้องให้ข้าราชการรู้หน้าที่ของตนเองนั้น สิ่งที่ตนอยากจะถามท่านนายกฯ ก็คือว่า ท่านนายกฯได้ทำอะไรที่นอกเหนือหน้าที่ของตนเองหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ที่นายกฯไปแทรงแซงสื่อของรัฐหรือไม่หรือเคยไปพยายามที่จะไปแทรกแซงองค์กรอิสระไม่ให้ทำหน้าที่อย่างมีอิสระที่แท้จริงหรือไม่อย่างไรเพราะถ้าตราบใดที่ท่านนายกฯหรือคนใดของรัฐบาลนี้ยังไม่สามารถที่จะรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองก็ป่วยการที่จะไปบอกล่าวข้าราชการรู้จักหน้าที่ของตัวเอง อันนั้นเป็น พฤติกรรมพูดอย่างทำอย่างของท่านนายกฯในประการแรก
ประการที่ 2 ท่านนายกฯบอกว่าพวกเราขาดความเคารพในระบอบประชาธิปไตยคำพูดของท่านนายกฯในส่วนนี้ดูเหมือนว่าท่านเคารพระบอบประชาธิปไตย ตนคิดว่าการที่คนขาดความเคารพในระบอบประชาธิปไตยมากที่สุดของประเทศไทยคนหนี่งคือ ท่านนายกรัฐมนตรีนั้นเอง เพราะท่านนายกฯเองนั้นเป็นผู้พูดด้วยตัวท่านเองว่า “ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่อำนาจ” เพราะฉะนั้นการใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือก็คือการเคารพในระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตยนั้นไม่ควรนำมาใช้เป็นเครื่องมือนำไปสู่อำนาจเท่านั้น ประชาธิปไตยควรจะเป็นเป้าหมายของผู้นำประเทศในการนำพาองคาพยพของประเทศทั้งหมดให้นำไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแม้จริงจึงจะเรียกได้ว่าเราเคารพในระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ท่านนายกฯพูดถึงว่า เราขาดความเคารพในระบอบประชาธิปไตยก็อยากให้นายกฯร้อนดัวเองในเรื่องนี้ด้วย
ประการที่ 3 ที่บ่งบอกถึงพฤติกรรมพูดอย่างทำอย่างของท่านนายกฯก็คือ ท่านนายกฯบอกว่า ข้าราชการต้องเป็นหลักของประเทศ ตนคิดว่าท่านนายกฯกำลังบอกให้ข้าราชการเป็นหลักของประเทศ แต่บุคคลที่ทำให้ข้าราชการไม่สามารถเป็นหลักของประเทศได้ก็คือ ตัวท่านนายกฯ เพราะในเมื่อหลายครั้งหลายหนในกรณีท่านทำให้ข้าราชการต้องทำตัวเปรียบเสมือนพนักงานบริษัทของท่านนายกฯมากกว่าที่จะเป็นข้าราชการอย่างที่ควรจะเป็นข้าราชการหลายหน่วยงานโดยเฉพาะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายๆท่านต้องทำงานรับใช้บุคคลระดับสูงในรัฐบาลนี้เป็นการส่วนตัวมากกว่าที่จะทำงานตามหลักการที่ถูกต้องเพราะถูกรับคำสั่งโดยไม่ชอบธรรมหลายครั้งหลายกรณีทั้งทางตรงและทางอ้อมจากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองของเราเพราะฉะนั้น คำพูดที่ท่านนายกฯพยายามที่จะสั่งสอนให้โอกวาทชี้แนะข้าราชการให้ทำตัวเป็นหลักของประเทศนั้น ตนคิดว่าคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าตราบใดที่ท่านนายกฯยังประพฤติตนตรงข้ามกับสิ่งที่ท่านพูดมา
ประการที่4 ที่บ่งบอกถึงพฤติกรรมพูดอย่างทำอย่างของท่านนายกฯก็คือ ท่านนายกฯบอกว่า “มันจะต้งอมีกติกาที่เป็นสากล กติกาที่ต้องยอมเมื่อเรายอมรับแล้วเราก็ต้องยอมรับในกติกานั้น” ฟังก็ดูเหมือนดีเห็นเช่นเดียวกันถ้าทุกคนในประเทศนี้จะทำตามนี้ได้ แต่ปรากฎว่า คนที่มาสั่งสอนให้คนอื่นทำตามกติกานั้น โดยเฉพาะท่านนายกฯ หลายครั้งเราพบว่าท่านนายกฯนั้นหรือคนในรัฐบาลชุดนี้นั้นได้เข้าไปแทรกแซงควที่ควบคุมกติกาในองค์กรอิสระ ยกตัวอย่างเช่น ในศาลรัฐธรรมนูญก็ดี ใน กกต.ก็ดี เราพบว่าหลายครั้งหลายกรณีมีเสียงครหานินทาค่อนข้างมากถึงการทำหน้าที่ของอค์กรอิสระที่ไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่การสรรหาบุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระปรากฎว่ามีความพยายามที่จะไม่ปฏิบัติตามกติกาเป็นจำนวนมาก มีการบล็อกโหวตอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งแน่นอนที่สุดวิธีการอย่างนี้ ก็คือ วิธีการที่ไม่ทำตามกติกา ซึ่งถามว่าคนที่ได้ประโยชน์ในเรื่องนี้คือใคร คนที่ได้ประโยชน์ในเรื่องนี้คือผู้มีอำนาจของบ้านเมือง เพราะฉะนั้นเมื่อองค์กรอิสระไม่ได้มีอิสระอย่างแท้จริงองค์กรอิสระก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆต่อพี่น้องประชาชนตามเจตนารมณ์ของ รธน.เพราะฉะนั้น ตนจึงอยากจะตั้งคำถามว่า ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ไม่ใช่หรือที่ทำลายกติกามาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นท่านนายกฯไปอบรมข้าราชการไม่ละเมิดกติกา ให้ยอมรับกติกาและยอมรับกติกาจะเกิดขึ้นได้อย่างไรเมื่อตัวผู้นำเองก็เป็นผู้ปฏิบัติไม่ยอมรับกติกาอยู่ตลอดเวลา
ที่ร้ายที่สุดคือข้อที่ 5 ท่านนายกฯบอกกับข้าราชการว่า “ใครมาแอบสั่งข้าราชการอย่าปฏิบัติ”ถือว่าไม่ถูกต้อง ตนคิดว่าคนที่แอบสั่งข้าราชการให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมหาประโยชน์โดยมิชอบก็ดีทุจริตเชิงนโยบายก็ดีผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราในช่วง 4 — 5 ปีที่ผ่านมาอยากให้ท่านนายกฯกลับย้อนไปถามคนในรัฐบาลของท่านหรือถามตัวท่านเองว่า คนรอบข้างท่านหรือตัวท่านเองเคยมีส่วนการสั่งการข้าราชการให้ปฏิบัติในบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เพราะถ้าตราบใดที่ท่านหรือคนรอบข้างท่านหรือคนที่มีตำแหน่งใหญ่โตในรัฐบาลยังไปสั่งการให้ข้าราชการทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมหลายอย่างท่านนายกฯจะมาบอกให้ข้าราชการว่า ใครมาแอบสั่งข้าราชการให้แอบปฏิบัติถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็คงไม่มีข้าราชการคนไหนที่ไปฟังนายกฯในเรื่องเหล่านี้เพราะฉะนั้นที่ผมยกมาทั้งหมดนี้ก็คือ พฤติกรรม 5 พฤติกรรมแบบพูดอย่างทำอย่างของนายกฯและของรัฐบาลนี้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เป็นคำถามอยากจะถามไปยังท่านนายกฯให้ช่วยตอบให้ช่วยชี้แจงว่า ท่านไดให้โอวาทสั่งการข้าราชการในเรื่องต่างๆเหล่านี้นั้น่านหวังผลเพื่อให้ข้าราชการปฏิบัติตามนั้นหรือท่านหวังผลเพื่อจะสร้างภาพตัวท่านเองให้ดูดีมากกว่า
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 11 ก.ค. 2549--จบ--