ในขณะที่ประเด็นปัญหาทางการเมืองยังได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ข่าวสารปัญหาน้ำท่วมใน ๔๗ จังหวัดที่ประสบอุทกภัยดูจะได้รับการนำเสนอน้อยลง แม้ว่ารัฐบาลจะได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุด คือ คณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) และแม้ว่าจะยังคงมีหน่วยงานต่างๆที่ระดมความช่วยเหลือไปให้พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง จากการติดตามข่าวสารข้อมูล และ จากการเยี่ยมเยียนประชาชนในหลายจังหวัด (กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง) ผมเห็นว่า การจัดระบบการช่วยเหลือฟื้นฟูที่ดี จะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อีกมาก และอาจจะเป็นการเริ่มต้นวางรากฐานวิธีการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในอนาคต ตลอดจนสามารถใช้โอกาสนี้ริเริ่มโครงการใหม่ๆ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน จึงอยากนำเสนอแนวคิดดังต่อไปนี้
๑. การจ่ายเงินชดเชย
๑.๑ การสำรวจความเสียหาย ในหลายพื้นที่ที่ได้สัมผัส แม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่
จมน้ำมาเป็นเวลากว่า ๑ เดือน แต่ก็ยังไม่มีตัวเลขการสำรวจบุคคล และ ครัวเรือนที่ประสบภัยจากหน่วยงานต่างๆที่เป็นข้อยุติ กระทรวงมหาดไทยควรจะเป็นแกนหลักร่วมกับองค์กรท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นๆ สำรวจความเสียหายต่อที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร และความเสียหายทางธุรกิจ ในพื้นที่ๆน้ำท่วมโดยธรรมชาติ หรือ ที่รองรับการผันน้ำ โดยควรจะดำเนินการให้เสร็จภายใน ๑ เดือน เพื่อประโยชน์ในการชดเชยค่าเสียหายโดยเร็ว
๑.๒. การชดเชยค่าเสียหาย คชอ.ควรกำหนดหลักเกณฑ์การชดเชยทันที โดย
ปรับปรุงเกณฑ์การกำหนดวงเงินให้เหมาะสมกับความเสียหาย ทั้งนี้อาจตั้งสมมติฐานล่วงหน้าว่ามีผู้ได้รับความเสียหายประมาณ ๑ ล้านครัวเรือน พื้นที่การเกษตรที่เสียหาย ๓ ล้านไร่ โดยอาจกำหนดงบประมาณรวมที่จะใช้ไว้ที่ ๕,๐๐๐ ล้านบาท รัฐบาลควรปรับเวลาการทำงานในส่วนนี้ โดยเงินชดเชยควรถึงมือประชาชนก่อนสิ้นปี (ขณะนี้รัฐบาลตั้งกรอบเวลาไว้ถึง ๓ เดือนนับจากวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๙)
๒. การฟื้นฟูที่อยู่อาศัย
เป็นเรื่องดีที่นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางการซ่อมแซมบ้านเรือน ว่าให้ปรับปรุง
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพธรรมชาติ การช่วยเหลือที่ดีที่สุด คือ การจ่ายเงินให้นำไปซ่อมแซมบ้าน โดยอาจให้ทหารและหน่วยงานราชการสนับสนุนเรื่องเครื่องจักร บุคลากร และให้กระทรวง ศึกษาธิการระดมนักเรียนอาชีวะ นิสิต นักศึกษา ออกไปช่วยเหลือในเรื่องการซ่อมแซมบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า ตลอดจนให้ความรู้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ
๓. การฟื้นฟูอาชีพและเศรษฐกิจ
๓.๑ เกษตรกร นอกเหนือจากการชดเชยความเสียหายตามพื้นที่แล้ว รัฐบาล
ควรใช้โอกาสนี้สร้างโอกาส และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ภายใต้โครงการความร่วมมือใหม่ๆ เช่น
- ร่วมมือกับร้านค้า ผู้ประกอบการ ตลาดสด รับซื้อผักที่มีราคาแพงเพราะปริมาณการผลิตน้อย จากเกษตรกรผู้ประสบภัยที่ได้รับเมล็ดผักจากรัฐบาล และสามารถเพาะปลูกได้ในเวลาอันสั้นทันทีที่น้ำลด
- จากปริมาณน้ำที่มีมาก ควรเพิ่มเป้าหมายให้พื้นที่ภาคกลางทำนาได้ ๓ ครั้งต่อปี ทดลองการทำ contract farming การจัดปัจจัยการผลิต การนำเอาระบบประกันภัยพืชผล และการประกันรายได้มาใช้กับพื้นที่ในลุ่มน้ำที่ได้รับผลกระทบในปีนี้
ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ มีหลักประกันเกี่ยวกับการประกอบอาชีพใน ๑ ปี
ข้างหน้า
๓.๒ ผู้ใช้แรงงาน การฟื้นฟูสาธารณูปโภค และสถานที่สำคัญต่างๆของชุมชน
ควรเปิดทางให้มีการจ้างงานผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรก
๓.๓ มาตรการเกี่ยวกับหนี้สิน ควรมีมาตรการพิเศษแก้ปัญหาหนี้สินของบุคคลและธุรกิจ โดยรัฐบาลทำข้อตกลงกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ ยกเว้นดอกเบี้ยให้เป็นเวลา ๖ เดือน ยืดหนี้ ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยควรปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้สถาบันเหล่านี้ไปหารายได้เพื่อชดเชยความสูญเสียจากมาตรการนี้ การใช้วิธีนี้จะไม่กระทบต่องบประมาณของรัฐบาลเลยนอกจากนี้ควรมีการยกเว้นภาษีโรงเรือน และภาษีบำรุงท้องที่
๔. มาตรการระยะยาว
หลายพื้นที่ปีนี้ประสบภัยรุนแรงกว่าปี พ.ศ. ๒๕๓๘ และ พ.ศ. ๒๕๔๕ บาง
พื้นที่ที่ประสบภัยไม่เคยน้ำท่วมมาก่อน รัฐบาลควรศึกษาและจัดวางระบบการเฝ้าระวัง และป้องกันตลอดแนวแม่น้ำ มีกลไกการบริหารน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้าและการเกษตรที่ตัดสินใจระบายน้ำจากเขื่อนอย่างเหมาะสมตลอดเวลา ควรมีการสำรวจการสร้างเขื่อนถาวรในหลายพื้นที่ เจรจากับผู้รุกล้ำลำน้ำให้ย้ายที่อยู่อาศัย ตลอดจนรณรงค์ในเรื่องการรักษาป่าไม้อย่างจริงจัง ที่สำคัญควรถือโอกาสลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการทำโครงการขุดลอกคูคลอง และพัฒนาพื้นที่เป็นแก้มลิงให้มากที่สุด
๕. กลไกการบริหาร
การดำเนินการทั้งหมดนี้ รัฐบาลอาจทบทวนการทำงานในรูปของอนุกรรมการ
หลายๆคณะ (รัฐบาลตั้งไว้ ๑๓ คณะ) เพราะจะทำให้ไม่คล่องตัว และอาจมีปัญหาการประสานงาน แต่ควรมีรัฐมนตรีที่ได้รับอำนาจให้มาดูแลโดยเฉพาะ รายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรี และประชาชนทุกสัปดาห์ และควรให้หน่วยงาน เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามาร่วมในกลไกการใช้จ่ายเงิน เพื่อให้การดำเนินการต่างๆเป็นไปอย่างรวดเร็วและโปร่งใส
หากรัฐบาลสามารถดำเนินการช่วยเหลือฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ และสร้างโอกาสใหม่ๆให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ นอกจากจะเป็นความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นทางการเมืองได้อีกด้วย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 พ.ย. 2549--จบ--
๑. การจ่ายเงินชดเชย
๑.๑ การสำรวจความเสียหาย ในหลายพื้นที่ที่ได้สัมผัส แม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่
จมน้ำมาเป็นเวลากว่า ๑ เดือน แต่ก็ยังไม่มีตัวเลขการสำรวจบุคคล และ ครัวเรือนที่ประสบภัยจากหน่วยงานต่างๆที่เป็นข้อยุติ กระทรวงมหาดไทยควรจะเป็นแกนหลักร่วมกับองค์กรท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นๆ สำรวจความเสียหายต่อที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร และความเสียหายทางธุรกิจ ในพื้นที่ๆน้ำท่วมโดยธรรมชาติ หรือ ที่รองรับการผันน้ำ โดยควรจะดำเนินการให้เสร็จภายใน ๑ เดือน เพื่อประโยชน์ในการชดเชยค่าเสียหายโดยเร็ว
๑.๒. การชดเชยค่าเสียหาย คชอ.ควรกำหนดหลักเกณฑ์การชดเชยทันที โดย
ปรับปรุงเกณฑ์การกำหนดวงเงินให้เหมาะสมกับความเสียหาย ทั้งนี้อาจตั้งสมมติฐานล่วงหน้าว่ามีผู้ได้รับความเสียหายประมาณ ๑ ล้านครัวเรือน พื้นที่การเกษตรที่เสียหาย ๓ ล้านไร่ โดยอาจกำหนดงบประมาณรวมที่จะใช้ไว้ที่ ๕,๐๐๐ ล้านบาท รัฐบาลควรปรับเวลาการทำงานในส่วนนี้ โดยเงินชดเชยควรถึงมือประชาชนก่อนสิ้นปี (ขณะนี้รัฐบาลตั้งกรอบเวลาไว้ถึง ๓ เดือนนับจากวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๙)
๒. การฟื้นฟูที่อยู่อาศัย
เป็นเรื่องดีที่นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางการซ่อมแซมบ้านเรือน ว่าให้ปรับปรุง
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพธรรมชาติ การช่วยเหลือที่ดีที่สุด คือ การจ่ายเงินให้นำไปซ่อมแซมบ้าน โดยอาจให้ทหารและหน่วยงานราชการสนับสนุนเรื่องเครื่องจักร บุคลากร และให้กระทรวง ศึกษาธิการระดมนักเรียนอาชีวะ นิสิต นักศึกษา ออกไปช่วยเหลือในเรื่องการซ่อมแซมบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า ตลอดจนให้ความรู้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ
๓. การฟื้นฟูอาชีพและเศรษฐกิจ
๓.๑ เกษตรกร นอกเหนือจากการชดเชยความเสียหายตามพื้นที่แล้ว รัฐบาล
ควรใช้โอกาสนี้สร้างโอกาส และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ภายใต้โครงการความร่วมมือใหม่ๆ เช่น
- ร่วมมือกับร้านค้า ผู้ประกอบการ ตลาดสด รับซื้อผักที่มีราคาแพงเพราะปริมาณการผลิตน้อย จากเกษตรกรผู้ประสบภัยที่ได้รับเมล็ดผักจากรัฐบาล และสามารถเพาะปลูกได้ในเวลาอันสั้นทันทีที่น้ำลด
- จากปริมาณน้ำที่มีมาก ควรเพิ่มเป้าหมายให้พื้นที่ภาคกลางทำนาได้ ๓ ครั้งต่อปี ทดลองการทำ contract farming การจัดปัจจัยการผลิต การนำเอาระบบประกันภัยพืชผล และการประกันรายได้มาใช้กับพื้นที่ในลุ่มน้ำที่ได้รับผลกระทบในปีนี้
ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ มีหลักประกันเกี่ยวกับการประกอบอาชีพใน ๑ ปี
ข้างหน้า
๓.๒ ผู้ใช้แรงงาน การฟื้นฟูสาธารณูปโภค และสถานที่สำคัญต่างๆของชุมชน
ควรเปิดทางให้มีการจ้างงานผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรก
๓.๓ มาตรการเกี่ยวกับหนี้สิน ควรมีมาตรการพิเศษแก้ปัญหาหนี้สินของบุคคลและธุรกิจ โดยรัฐบาลทำข้อตกลงกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ ยกเว้นดอกเบี้ยให้เป็นเวลา ๖ เดือน ยืดหนี้ ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยควรปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้สถาบันเหล่านี้ไปหารายได้เพื่อชดเชยความสูญเสียจากมาตรการนี้ การใช้วิธีนี้จะไม่กระทบต่องบประมาณของรัฐบาลเลยนอกจากนี้ควรมีการยกเว้นภาษีโรงเรือน และภาษีบำรุงท้องที่
๔. มาตรการระยะยาว
หลายพื้นที่ปีนี้ประสบภัยรุนแรงกว่าปี พ.ศ. ๒๕๓๘ และ พ.ศ. ๒๕๔๕ บาง
พื้นที่ที่ประสบภัยไม่เคยน้ำท่วมมาก่อน รัฐบาลควรศึกษาและจัดวางระบบการเฝ้าระวัง และป้องกันตลอดแนวแม่น้ำ มีกลไกการบริหารน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้าและการเกษตรที่ตัดสินใจระบายน้ำจากเขื่อนอย่างเหมาะสมตลอดเวลา ควรมีการสำรวจการสร้างเขื่อนถาวรในหลายพื้นที่ เจรจากับผู้รุกล้ำลำน้ำให้ย้ายที่อยู่อาศัย ตลอดจนรณรงค์ในเรื่องการรักษาป่าไม้อย่างจริงจัง ที่สำคัญควรถือโอกาสลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการทำโครงการขุดลอกคูคลอง และพัฒนาพื้นที่เป็นแก้มลิงให้มากที่สุด
๕. กลไกการบริหาร
การดำเนินการทั้งหมดนี้ รัฐบาลอาจทบทวนการทำงานในรูปของอนุกรรมการ
หลายๆคณะ (รัฐบาลตั้งไว้ ๑๓ คณะ) เพราะจะทำให้ไม่คล่องตัว และอาจมีปัญหาการประสานงาน แต่ควรมีรัฐมนตรีที่ได้รับอำนาจให้มาดูแลโดยเฉพาะ รายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรี และประชาชนทุกสัปดาห์ และควรให้หน่วยงาน เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามาร่วมในกลไกการใช้จ่ายเงิน เพื่อให้การดำเนินการต่างๆเป็นไปอย่างรวดเร็วและโปร่งใส
หากรัฐบาลสามารถดำเนินการช่วยเหลือฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ และสร้างโอกาสใหม่ๆให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ นอกจากจะเป็นความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นทางการเมืองได้อีกด้วย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 พ.ย. 2549--จบ--