วันนี้ (1 ธ.ค. 49) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าจากการที่ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธาน คมช. ได้มอบนโยบายให้กับ กอ.รมน.ว่าเมื่อฟังข้อมูล คตส.รายงานเรื่องการทุจริตของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณแล้วอยากจะร้องไห้ และถ้าปล่อยให้เป็นรัฐบาลต่อไปอีกประเทศชาติจะเหลือแต่กระดูก อยากจะให้ประธาน คมช. ได้นำความจริงเหล่านี้มาตีแผ่ให้ประชาชนได้รับทราบทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ และสื่อสารมวลชนทุกแขนง เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงความเลวร้ายและมหันตภัยจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จึงมีความจำเป็นต้องเข้ายึดอำนาจ มิใช่ทำเพียงสมุดปกขาว เพื่อชี้แจงเท่านั้น สมุดปกขาวเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับองค์กรที่ไม่มีกระบอกเสียงและถูกปิดกั้นทางสื่อ แต่ คมช. และรัฐบาลมีสื่อของรัฐอยู่ในมือ ทำไมไม่ยอมใช้สื่อของรัฐให้เป็นประโยชน์ และขณะเดียวกัน ประธาน คมช. จะต้องกำชับให้ รมต.ในรัฐบาลชุดนี้ ได้ตระหนักถึงภัยและเครือข่ายของรัฐบาลทักษิณ ที่ฝังรากแน่นอยู่ในกระทรวงหรือกรมกองต่าง ๆ เพราะรัฐมนตรี บางคนในรัฐบาลชุดนี้ ยังไม่รู้ถึงภารกิจและหน้าที่ของตนเองในฐานะรัฐบาลเฉพาะกิจเข้ามาฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย กลับคิดแต่โครงการใหญ่ ๆ ทำงานเพื่อสร้างภาพและชื่อเสียงเกียรติยศของตนเองเป็นหลัก ไม่มีเอกภาพในการทำงาน แต่ละกระทรวงใช้นโยบายของเจ้ากระทรวงในการทำงาน จึงเห็นว่า ครม.ชุดนี้ขาดความเป็นเอกภาพในด้านนโยบาย ขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ได้เข้าไปรื้อฟื้นโครงการต่าง ๆ ที่ส่อเค้าไม่ชอบมาพากล โดยสั่งการให้หน่วยงานและบอร์ดรัฐวิสาหกิจสรุปข้อมูลเพื่อส่งให้ คตส.ตรวจสอบต่อไป ซึ่งการเป็นการช่วยกันทำงานในการปราบทุจริตให้เร็วยิ่งขึ้น
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีที่ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ประเทศจีน และให้สัมภาษณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เห็นสัจธรรมทางการเมืองเหมือนตายสองหน และได้เห็นธาตุแท้ของคนหลายคน นั้น ทำให้มีข้อสงสัยว่า ทำไมคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ชอบอ้างตัวเองว่าเป็นลูกศิษย์พระพุทธทาส และ ซึมซับธรรมะของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี กลับมองเห็นสัจธรรม ตอนที่ตนเองหมดอำนาจ ทั้ง ๆ ที่ ก่อนหน้านี้ มีหลายฝ่ายได้ชี้ทางสว่างและให้สติกับ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ยอมรับฟังกลับมองเป็นเรื่องของขาประจำทางการเมือง เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ยึดอำนาจที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายเหลืออดเหลือทนต่อพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงได้ใช้กำลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พฤติกรรมแบบนี้ สุภาษิตหนังจีนเรียกว่า “ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ” จึงขอให้จับตามองความเคลื่อนไหวของอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทยว่า การเดินทางไปเยี่ยม พ.ต.ท.ทักษิณในต่างประเทศนั้น มีวัตถุประสงค์อะไรแอบแฝงหรือไม่เพราะมีกระแสข่าวในพรรคไทยรักไทยว่ามีการจัดให้มีบริษัททัวร์ขึ้นเพื่อให้บริการแก่อดีต ส.ส.ที่ต้องการจะไปเยี่ยม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งในตอนนี้มีอดีต ส.ส. ได้แจ้งความจำนงค์ไว้หลายคนแล้ว เพราะการเดินทางไปเยี่ยม พ.ต.ท.ทักษิณ ในต่างประเทศนั้น นอกจากจะเปรียบเสมือนการเดินทางไปดูใจครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้ว ก็ยังได้ไปร่วมตีกอล์ฟ เดินช็อบปิ้ง และหาอาหารดี ๆ รับประทาน ที่สำคัญ อาจจะมี พ็อคเก็ตมันนี่ ติดกระเป๋ากลับมาก็ได้ เพราะอดีต ส.ส.เหล่านี้หมดสถานะภาพความเป็น ส.ส.แล้ว ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวในพื้นที่ได้ เพราะติดกฎอัยการศึก จึงเปลี่ยนบทบาท จากการทำหน้าที่ ส.ส.มาทำหน้าที่สอพลอแทน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ธ.ค. 2549--จบ--
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีที่ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ประเทศจีน และให้สัมภาษณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เห็นสัจธรรมทางการเมืองเหมือนตายสองหน และได้เห็นธาตุแท้ของคนหลายคน นั้น ทำให้มีข้อสงสัยว่า ทำไมคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ชอบอ้างตัวเองว่าเป็นลูกศิษย์พระพุทธทาส และ ซึมซับธรรมะของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี กลับมองเห็นสัจธรรม ตอนที่ตนเองหมดอำนาจ ทั้ง ๆ ที่ ก่อนหน้านี้ มีหลายฝ่ายได้ชี้ทางสว่างและให้สติกับ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ยอมรับฟังกลับมองเป็นเรื่องของขาประจำทางการเมือง เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ยึดอำนาจที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายเหลืออดเหลือทนต่อพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงได้ใช้กำลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พฤติกรรมแบบนี้ สุภาษิตหนังจีนเรียกว่า “ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ” จึงขอให้จับตามองความเคลื่อนไหวของอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทยว่า การเดินทางไปเยี่ยม พ.ต.ท.ทักษิณในต่างประเทศนั้น มีวัตถุประสงค์อะไรแอบแฝงหรือไม่เพราะมีกระแสข่าวในพรรคไทยรักไทยว่ามีการจัดให้มีบริษัททัวร์ขึ้นเพื่อให้บริการแก่อดีต ส.ส.ที่ต้องการจะไปเยี่ยม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งในตอนนี้มีอดีต ส.ส. ได้แจ้งความจำนงค์ไว้หลายคนแล้ว เพราะการเดินทางไปเยี่ยม พ.ต.ท.ทักษิณ ในต่างประเทศนั้น นอกจากจะเปรียบเสมือนการเดินทางไปดูใจครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้ว ก็ยังได้ไปร่วมตีกอล์ฟ เดินช็อบปิ้ง และหาอาหารดี ๆ รับประทาน ที่สำคัญ อาจจะมี พ็อคเก็ตมันนี่ ติดกระเป๋ากลับมาก็ได้ เพราะอดีต ส.ส.เหล่านี้หมดสถานะภาพความเป็น ส.ส.แล้ว ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวในพื้นที่ได้ เพราะติดกฎอัยการศึก จึงเปลี่ยนบทบาท จากการทำหน้าที่ ส.ส.มาทำหน้าที่สอพลอแทน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ธ.ค. 2549--จบ--