ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ชี้ค่าเงินบาทนิ่งจึงไม่ต้องเข้าไปดูแล ขณะที่ ก.คลังเผยเงินบาทแข็งค่าขึ้นส่งผลให้มีเงินทุน
ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย 5.5 หมื่นล้านบาท ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงทิศทางของค่าเงิน
บาทวานนี้ (17 ม.ค.49) ซึ่งเปิดตลาดที่ระดับ 39.69 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลงจากวันก่อนหน้าที่เปิด
ตลาดที่ระดับ 39.49 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ว่าเป็นค่าเงินที่อยู่ในระดับที่เรียบร้อยดีแล้ว ซึ่งเงินทุนไหลเข้ามาใน
ช่วง 2 วันนับตั้งแต่เปิดตลาดในสัปดาห์นี้ก็เริ่มไหลเข้ามาชะลอตัวลงเข้าสู่ภาวะปกติ จึงไม่ต้องเข้าไปดูแลเรื่องค่า
เงินแล้ว ขณะที่ ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า หลังเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ.ปรับค่า
แข็งขึ้น ได้ส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าโดยตรงเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แล้วจำนวน 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็น
ระดับสูงเมื่อเทียบกับทั้งปีที่ผ่านมา โดยมียอดเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 1.8 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ เงินบาทเริ่มปรับค่าแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. นับจากวันที่ 30 ธ.ค.48 และจนถึงวันที่ 13 ม.ค.49
มีการปรับค่าแข็งขึ้นแล้วจำนวนร้อยละ 3.7 หรือจากระดับ 41.00 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. มาอยู่ที่ 39.49
บาทต่อดอลลาร์ สรอ. (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์)
2. ธปท.สำรองเงินสดไว้รองรับการใช้จ่ายช่วงตรุษจีน 1.96 แสนล้านบาท นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์
รองผู้ว่าการสายบริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้สำรองเงินสดไว้เพื่อรองรับการ
ใช้จ่ายในช่วงตรุษจีนที่จะมาถึงในปลายเดือนนี้จำนวน 196,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าที่สำรองเงินสดไว้ใน
ช่วงตรุษจีนเป็นจำนวนมากถึง 369,000 ล้านบาท สาเหตุที่ ธปท.สำรองธนบัตรน้อยลงกว่าปีก่อนหน้าอย่างมากนั้น
เนื่องจากที่ผ่านมามีการเบิกใช้ธนบัตรจริงน้อยกว่าที่ ธปท.สำรองไว้จำนวนมาก โดยในช่วงตรุษจีนของปีก่อนหน้า มี
การเบิกใช้เงินสดจริงเพียงแค่ 100,000 ล้านบาท จากที่สำรองไว้ถึง 369,000 ล้านบาท และในช่วงปีใหม่ที่ผ่าน
มามีการเบิกใช้เงินสดจำนวน 160,000 ล้านบาท จากที่สำรองเงินไว้ถึง 252,000 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าตรุษจีน
ปีนี้จะมีการเบิกใช้เงินสดจริงจำนวน 124,000 ล้านบาท และนอกจากการเบิกจ่ายเงินสดที่น้อยกว่าเงินสดที่สำรอง
ไว้แล้ว การใช้จ่ายเงินผ่านช่องทางบัตรเครดิตก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การสำรองเงินสดในปีนี้น้อยลงกว่าปีที่ผ่าน
มาคาดว่าคนใช้จ่ายน้อยลง เนื่องจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็ยังมีจำนวนสูง (กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์, บ้านเมือง,
แนวหน้า, ข่าวสด)
3. ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ 30 พ.ย.48 คิดเป็นร้อยละ 45.89 ของจีดีพี ผอ.สำนักงานบริหาร
หนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ 30 พ.ย.48 มีจำนวน 3,258,947 ล้านบาท หรือร้อยละ
45.89 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) จำแนกได้เป็นหนี้ต่างประเทศ 591,997 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.17
และหนี้ในประเทศ 2,666,949 ล้านบาท หรือร้อยละ 81.83 และเป็นหนี้ระยะยาว 2,657,271 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 81.54 และหนี้ระยะสั้น 601,676 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.46 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง (กรุงเทพธุรกิจ,
โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, มติชน)
4. ราคาทองคำตลาดโลกพุ่งสูงสุดในรอบ 25 ปีส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวสูงขึ้นใกล้
เคียงระดับสูงสุดเดิมเมื่อเดือน ธ.ค.48 ประธานกรรมการ บ.แม่ทองสุก โกลด์สมิท จำกัด และ รองเลขาธิการ
สมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำรูปพรรณ และทองคำแท่งในประเทศวานนี้ (17 ม.ค.49)
ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อน 100 บาท โดยราคาทองคำแท่งซื้อขายบาทละ 10,550 บาท ส่วนราคาทองคำรูปพรรณ
ซื้อขายบาทละ 10,850 บาท เนื่องจากราคาทองคำในตลาดโลกมีการสร้างสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 25 ปี มาอยู่ที่
ระดับ 563 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จึงส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศกลับไปแตะระดับใกล้เคียงกับราคาสูงสุดเดิมเมื่อ
ช่วงเดือน ธ.ค.48 ทั้งนี้ ราคาทองคำในประเทศน่าจะสูงกว่าระดับราคาดังกล่าว แต่เนื่องจากเงินบาทแข็งค่า ทำ
ให้ราคาทองคำในประเทศไม่ปรับตัวสูงขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ)
5. ก.พลังงานคาดว่ามีความเป็นไปได้จะปรับค่าเอฟทีเดือน ก.พ.-พ.ค.49 ขึ้นไปอยู่ในระดับ 32
สตางค์ต่อหน่วย รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ในการคำนวณค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่เดือน ก.พ.-พ.ค.49 นี้
มีความเป็นไปได้ที่ค่าเอฟทีจะต้องมีการปรับขึ้นไปอยู่ในระดับ 32 สตางค์ต่อหน่วย ดังนั้น ก.พลังงานจึง
ต้องเร่งพิจารณาหาแนวทางลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าของประเทศให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะ
ในส่วนของผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อย หรือผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 100-150 หน่วยต่อเดือน ซึ่งอาจจะต้องใช้วิธีการเกลี่ยค่า
ไฟฟ้า แต่จะเป็นวิธีใดขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าจะเป็นผู้ดูแล (โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษเดือน ธ.ค.48 ลดลงอยู่ที่ระดับเป้าหมายร้อยละ 2.0 รายงาน
จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 17 ม.ค.49 สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้
บริโภคที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ในเดือน ธ.ค.48 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเมื่อเทียบต่อปีลดลงมาอยู่ในระดับที่ ธ.กลาง
อังกฤษตั้งเป้าหมายไว้คือร้อยละ 2.0 และอยู่ในระดับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ เทียบกับร้อยละ 2.1 ใน
เดือน พ.ย. และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.48 โดยอัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 นับ
ตั้งแต่พุ่งขึ้นถึงระดับร้อยละ 2.5 ในเดือน ก.ย. ทำให้มีการคาดการณ์กันว่าแรงกดดันจากดัชนีราคาผู้บริโภคได้ผ่าน
พ้นไปแล้วและ ธ.กลางอังกฤษอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจากร้อยละ 4.5 ในปัจจุบัน ทั้งนี้ แรงกดดันของดัชนี
ราคาผู้บริโภคลดลงดีและเร็วกว่าที่ ธ.กลางอังกฤษคาดการณ์ไว้ว่าจะไม่ลดลงอยู่ในระดับเป้าหมายจนถึงไตรมาส 2
ของปีนี้ รวมทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์และการใช้จ่ายผู้บริโภคก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ ผู้ว่าการ ธ.กลาง
อังกฤษ กล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ดี อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ตลาดอสังหาริม
ทรัพย์ฟื้นตัวและมีเสถียรภาพน่าพอใจ (รอยเตอร์)
2. ราคาบ้านของอังกฤษในเดือน ธ.ค.48 เพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.47 รายงาน
จากลอนดอนเมื่อ 18 ม.ค.49 The Royal Institution of Chartered Surveyors เปิดเผยผลการ
สำรวจราคาบ้านของอังกฤษในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน ธ.ค.48 ว่า เพิ่มขึ้นที่ระดับ +8 จากระดับ + 4 ในช่วง 3
เดือนสิ้นสุดเดือน พ.ย.48 นับเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สองและเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.47
สาเหตุจากยอดขายบ้านที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลคริสมาสต์ โดยยอดขายบ้านในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน ธ.ค.48
เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีที่ระดับ 24.9 จากระดับ 23 ในเดือนก่อนหน้า รวมถึงการที่ผู้ตอบแบบสอบถามมีความ
คาดหวังที่เพิ่มขึ้นว่าราคาบ้านจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในปี 49 ซึ่งเป็นมุมมองที่ดีต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือน เม.ย.47
แสดงถึงทิศทางการฟื้นตัวที่ชัดเจนของตลาดบ้านอังกฤษ นอกจากนี้ จากผลการสำรวจพบว่า บ้านที่พร้อมเข้าสู่ตลาดมี
จำนวนเพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค. และจำนวนผู้ซื้อที่แสดงความต้องการซื้อบ้านมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นับ
เป็นการเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 42 อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้ตอบแบบสอบถามบางส่วนแสดง
ความกังวลว่าจำนวนบ้านเพื่อขาย อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการซื้อบ้านที่เพิ่มขึ้น (รอยเตอร์)
3. หนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธ.พ. ขนาดใหญ่ของจีนในปี 48 ลดลง รายงานจากเชียงไฮ้ เมื่อ
วันที่ 18 ม.ค. 49 ทางการจีนเปิดเผยว่า อัตราส่วนหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (non-performing loan - NPL)
ของธ.พ. ขนาดใหญ่ของจีนซึ่งรวมถึง Industrial and Commercial Bank of China , Bank of China ,
China Construction Bank และ Agricultural Bank of China ลดลงเหลือเพียงตัวเลขหลัก
เดียวเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากธพ. ต่างๆดังกล่าวได้ปรับปรุงสัดส่วนสินเชื่อในพอร์ทการลงทุน ทั้งนี้เมื่อปี 48
NPL จากธพ.ขนาดใหญ่ดังกล่าวลดลงประมาณ 498.5 พัน ล. หยวน (61.8 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) จากปี 47
ส่งผลให้อัตราส่วน NPL ลดลงร้อยละ 4.32 อย่างไรก็ตามมิได้มีรายงานตัวเลข NPL รวมของธพ.ทั้งระบบ
ของปี 48 แต่อย่างใด โดยเมื่อปลายปีที่แล้วกลุ่มธพ.มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 37 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีก่อน
หน้าร้อยละ 18.4 มีเงินฝากเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.2 อยู่ที่ระดับ 4.4 ล้านล้านหยวน และสินเชื่อเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8
อยู่ที่ระดับ 2.5 ล้านล้านหยวน (รอยเตอร์)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคญี่ปุ่นในเดือน ธ.ค.48 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 15 ปี รายงานจาก
โตเกียวเมื่อ 17 ม.ค.49 The Cabinet Office เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคญี่ปุ่น
(Consumer sentiment index) ในไตรมาสที่ 4 ปี 48 สิ้นสุดเดือน ธ.ค. (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ว่า อยู่ที่
ระดับ 48.2 เพิ่มขึ้น 3.4 จุดจากไตรมาสก่อนหน้า (เดือน ก.ย.) และเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 15 นับตั้งแต่
เดือน มิ.ย.34 ซึ่งดัชนีอยู่ที่ระดับ 48.7 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยที่มีแนวโน้มสดใสจำนวนมาก อาทิเช่น
การเพิ่มโบนัสของบริษัทต่างๆ ในช่วงฤดูหนาว และราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นต้น สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้
บริโภคก่อนปรับฤดูกาลอยู่ที่ระดับ 46.5 ลดลง 1.7 จุดจากเดือนก่อนหน้า อนึ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เป็น
ดัชนีที่ใช้ชี้วัดมุมมองของผู้บริโภคเกี่ยวกับมาตรฐานการครองชีพ รายได้ สถานการณ์ด้านแรงงาน และความสามารถ
ในการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าคงทน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 18 ม.ค. 49 17 ม.ค. 49 31 ม.ค. 48 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.726 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.5575/39.8441 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.20453 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 750.73/ 21.49 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,300/10,400 10,450/10,550 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 59.67 58.3 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 11 ม.ค. 49 26.84*/24.29* 26.84*/24.29* 19.69/14.59 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ชี้ค่าเงินบาทนิ่งจึงไม่ต้องเข้าไปดูแล ขณะที่ ก.คลังเผยเงินบาทแข็งค่าขึ้นส่งผลให้มีเงินทุน
ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย 5.5 หมื่นล้านบาท ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงทิศทางของค่าเงิน
บาทวานนี้ (17 ม.ค.49) ซึ่งเปิดตลาดที่ระดับ 39.69 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลงจากวันก่อนหน้าที่เปิด
ตลาดที่ระดับ 39.49 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ว่าเป็นค่าเงินที่อยู่ในระดับที่เรียบร้อยดีแล้ว ซึ่งเงินทุนไหลเข้ามาใน
ช่วง 2 วันนับตั้งแต่เปิดตลาดในสัปดาห์นี้ก็เริ่มไหลเข้ามาชะลอตัวลงเข้าสู่ภาวะปกติ จึงไม่ต้องเข้าไปดูแลเรื่องค่า
เงินแล้ว ขณะที่ ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า หลังเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ.ปรับค่า
แข็งขึ้น ได้ส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าโดยตรงเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แล้วจำนวน 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็น
ระดับสูงเมื่อเทียบกับทั้งปีที่ผ่านมา โดยมียอดเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 1.8 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ เงินบาทเริ่มปรับค่าแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. นับจากวันที่ 30 ธ.ค.48 และจนถึงวันที่ 13 ม.ค.49
มีการปรับค่าแข็งขึ้นแล้วจำนวนร้อยละ 3.7 หรือจากระดับ 41.00 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. มาอยู่ที่ 39.49
บาทต่อดอลลาร์ สรอ. (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์)
2. ธปท.สำรองเงินสดไว้รองรับการใช้จ่ายช่วงตรุษจีน 1.96 แสนล้านบาท นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์
รองผู้ว่าการสายบริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้สำรองเงินสดไว้เพื่อรองรับการ
ใช้จ่ายในช่วงตรุษจีนที่จะมาถึงในปลายเดือนนี้จำนวน 196,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าที่สำรองเงินสดไว้ใน
ช่วงตรุษจีนเป็นจำนวนมากถึง 369,000 ล้านบาท สาเหตุที่ ธปท.สำรองธนบัตรน้อยลงกว่าปีก่อนหน้าอย่างมากนั้น
เนื่องจากที่ผ่านมามีการเบิกใช้ธนบัตรจริงน้อยกว่าที่ ธปท.สำรองไว้จำนวนมาก โดยในช่วงตรุษจีนของปีก่อนหน้า มี
การเบิกใช้เงินสดจริงเพียงแค่ 100,000 ล้านบาท จากที่สำรองไว้ถึง 369,000 ล้านบาท และในช่วงปีใหม่ที่ผ่าน
มามีการเบิกใช้เงินสดจำนวน 160,000 ล้านบาท จากที่สำรองเงินไว้ถึง 252,000 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าตรุษจีน
ปีนี้จะมีการเบิกใช้เงินสดจริงจำนวน 124,000 ล้านบาท และนอกจากการเบิกจ่ายเงินสดที่น้อยกว่าเงินสดที่สำรอง
ไว้แล้ว การใช้จ่ายเงินผ่านช่องทางบัตรเครดิตก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การสำรองเงินสดในปีนี้น้อยลงกว่าปีที่ผ่าน
มาคาดว่าคนใช้จ่ายน้อยลง เนื่องจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็ยังมีจำนวนสูง (กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์, บ้านเมือง,
แนวหน้า, ข่าวสด)
3. ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ 30 พ.ย.48 คิดเป็นร้อยละ 45.89 ของจีดีพี ผอ.สำนักงานบริหาร
หนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ 30 พ.ย.48 มีจำนวน 3,258,947 ล้านบาท หรือร้อยละ
45.89 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) จำแนกได้เป็นหนี้ต่างประเทศ 591,997 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.17
และหนี้ในประเทศ 2,666,949 ล้านบาท หรือร้อยละ 81.83 และเป็นหนี้ระยะยาว 2,657,271 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 81.54 และหนี้ระยะสั้น 601,676 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.46 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง (กรุงเทพธุรกิจ,
โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, มติชน)
4. ราคาทองคำตลาดโลกพุ่งสูงสุดในรอบ 25 ปีส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวสูงขึ้นใกล้
เคียงระดับสูงสุดเดิมเมื่อเดือน ธ.ค.48 ประธานกรรมการ บ.แม่ทองสุก โกลด์สมิท จำกัด และ รองเลขาธิการ
สมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำรูปพรรณ และทองคำแท่งในประเทศวานนี้ (17 ม.ค.49)
ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อน 100 บาท โดยราคาทองคำแท่งซื้อขายบาทละ 10,550 บาท ส่วนราคาทองคำรูปพรรณ
ซื้อขายบาทละ 10,850 บาท เนื่องจากราคาทองคำในตลาดโลกมีการสร้างสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 25 ปี มาอยู่ที่
ระดับ 563 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จึงส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศกลับไปแตะระดับใกล้เคียงกับราคาสูงสุดเดิมเมื่อ
ช่วงเดือน ธ.ค.48 ทั้งนี้ ราคาทองคำในประเทศน่าจะสูงกว่าระดับราคาดังกล่าว แต่เนื่องจากเงินบาทแข็งค่า ทำ
ให้ราคาทองคำในประเทศไม่ปรับตัวสูงขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ)
5. ก.พลังงานคาดว่ามีความเป็นไปได้จะปรับค่าเอฟทีเดือน ก.พ.-พ.ค.49 ขึ้นไปอยู่ในระดับ 32
สตางค์ต่อหน่วย รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ในการคำนวณค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่เดือน ก.พ.-พ.ค.49 นี้
มีความเป็นไปได้ที่ค่าเอฟทีจะต้องมีการปรับขึ้นไปอยู่ในระดับ 32 สตางค์ต่อหน่วย ดังนั้น ก.พลังงานจึง
ต้องเร่งพิจารณาหาแนวทางลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าของประเทศให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะ
ในส่วนของผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อย หรือผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 100-150 หน่วยต่อเดือน ซึ่งอาจจะต้องใช้วิธีการเกลี่ยค่า
ไฟฟ้า แต่จะเป็นวิธีใดขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าจะเป็นผู้ดูแล (โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษเดือน ธ.ค.48 ลดลงอยู่ที่ระดับเป้าหมายร้อยละ 2.0 รายงาน
จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 17 ม.ค.49 สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้
บริโภคที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ในเดือน ธ.ค.48 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเมื่อเทียบต่อปีลดลงมาอยู่ในระดับที่ ธ.กลาง
อังกฤษตั้งเป้าหมายไว้คือร้อยละ 2.0 และอยู่ในระดับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ เทียบกับร้อยละ 2.1 ใน
เดือน พ.ย. และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.48 โดยอัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 นับ
ตั้งแต่พุ่งขึ้นถึงระดับร้อยละ 2.5 ในเดือน ก.ย. ทำให้มีการคาดการณ์กันว่าแรงกดดันจากดัชนีราคาผู้บริโภคได้ผ่าน
พ้นไปแล้วและ ธ.กลางอังกฤษอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจากร้อยละ 4.5 ในปัจจุบัน ทั้งนี้ แรงกดดันของดัชนี
ราคาผู้บริโภคลดลงดีและเร็วกว่าที่ ธ.กลางอังกฤษคาดการณ์ไว้ว่าจะไม่ลดลงอยู่ในระดับเป้าหมายจนถึงไตรมาส 2
ของปีนี้ รวมทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์และการใช้จ่ายผู้บริโภคก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ ผู้ว่าการ ธ.กลาง
อังกฤษ กล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ดี อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ตลาดอสังหาริม
ทรัพย์ฟื้นตัวและมีเสถียรภาพน่าพอใจ (รอยเตอร์)
2. ราคาบ้านของอังกฤษในเดือน ธ.ค.48 เพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.47 รายงาน
จากลอนดอนเมื่อ 18 ม.ค.49 The Royal Institution of Chartered Surveyors เปิดเผยผลการ
สำรวจราคาบ้านของอังกฤษในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน ธ.ค.48 ว่า เพิ่มขึ้นที่ระดับ +8 จากระดับ + 4 ในช่วง 3
เดือนสิ้นสุดเดือน พ.ย.48 นับเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สองและเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.47
สาเหตุจากยอดขายบ้านที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลคริสมาสต์ โดยยอดขายบ้านในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน ธ.ค.48
เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีที่ระดับ 24.9 จากระดับ 23 ในเดือนก่อนหน้า รวมถึงการที่ผู้ตอบแบบสอบถามมีความ
คาดหวังที่เพิ่มขึ้นว่าราคาบ้านจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในปี 49 ซึ่งเป็นมุมมองที่ดีต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือน เม.ย.47
แสดงถึงทิศทางการฟื้นตัวที่ชัดเจนของตลาดบ้านอังกฤษ นอกจากนี้ จากผลการสำรวจพบว่า บ้านที่พร้อมเข้าสู่ตลาดมี
จำนวนเพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค. และจำนวนผู้ซื้อที่แสดงความต้องการซื้อบ้านมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นับ
เป็นการเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 42 อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้ตอบแบบสอบถามบางส่วนแสดง
ความกังวลว่าจำนวนบ้านเพื่อขาย อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการซื้อบ้านที่เพิ่มขึ้น (รอยเตอร์)
3. หนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธ.พ. ขนาดใหญ่ของจีนในปี 48 ลดลง รายงานจากเชียงไฮ้ เมื่อ
วันที่ 18 ม.ค. 49 ทางการจีนเปิดเผยว่า อัตราส่วนหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (non-performing loan - NPL)
ของธ.พ. ขนาดใหญ่ของจีนซึ่งรวมถึง Industrial and Commercial Bank of China , Bank of China ,
China Construction Bank และ Agricultural Bank of China ลดลงเหลือเพียงตัวเลขหลัก
เดียวเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากธพ. ต่างๆดังกล่าวได้ปรับปรุงสัดส่วนสินเชื่อในพอร์ทการลงทุน ทั้งนี้เมื่อปี 48
NPL จากธพ.ขนาดใหญ่ดังกล่าวลดลงประมาณ 498.5 พัน ล. หยวน (61.8 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) จากปี 47
ส่งผลให้อัตราส่วน NPL ลดลงร้อยละ 4.32 อย่างไรก็ตามมิได้มีรายงานตัวเลข NPL รวมของธพ.ทั้งระบบ
ของปี 48 แต่อย่างใด โดยเมื่อปลายปีที่แล้วกลุ่มธพ.มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 37 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีก่อน
หน้าร้อยละ 18.4 มีเงินฝากเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.2 อยู่ที่ระดับ 4.4 ล้านล้านหยวน และสินเชื่อเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8
อยู่ที่ระดับ 2.5 ล้านล้านหยวน (รอยเตอร์)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคญี่ปุ่นในเดือน ธ.ค.48 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 15 ปี รายงานจาก
โตเกียวเมื่อ 17 ม.ค.49 The Cabinet Office เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคญี่ปุ่น
(Consumer sentiment index) ในไตรมาสที่ 4 ปี 48 สิ้นสุดเดือน ธ.ค. (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ว่า อยู่ที่
ระดับ 48.2 เพิ่มขึ้น 3.4 จุดจากไตรมาสก่อนหน้า (เดือน ก.ย.) และเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 15 นับตั้งแต่
เดือน มิ.ย.34 ซึ่งดัชนีอยู่ที่ระดับ 48.7 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยที่มีแนวโน้มสดใสจำนวนมาก อาทิเช่น
การเพิ่มโบนัสของบริษัทต่างๆ ในช่วงฤดูหนาว และราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นต้น สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้
บริโภคก่อนปรับฤดูกาลอยู่ที่ระดับ 46.5 ลดลง 1.7 จุดจากเดือนก่อนหน้า อนึ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เป็น
ดัชนีที่ใช้ชี้วัดมุมมองของผู้บริโภคเกี่ยวกับมาตรฐานการครองชีพ รายได้ สถานการณ์ด้านแรงงาน และความสามารถ
ในการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าคงทน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 18 ม.ค. 49 17 ม.ค. 49 31 ม.ค. 48 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.726 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.5575/39.8441 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.20453 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 750.73/ 21.49 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,300/10,400 10,450/10,550 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 59.67 58.3 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 11 ม.ค. 49 26.84*/24.29* 26.84*/24.29* 19.69/14.59 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--