1. การผลิต
ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2549 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 5.1 และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 15.1 แม้ว่าโดยรวมจะได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลต่อการผลิต การบริโภค และการส่งออก เช่น ปัญหาการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันที่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่าขนส่ง ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและปัญหาแรงงานต่างด้าว และการขาดแคลนวัตถุดิบจากภัยธรรมชาติ รวมถึงการประกาศติดฉลากสินค้ารูปแบบใหม่ๆ ของประเทศผู้ นำเข้า และการบังคับใช้มาตรฐานสุขอนามัยและสวัสดิภาพสัตว์ของสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตามมีปัจจัยบวกที่ ส่งผลดีต่อการผลิตเพื่อส่งออกของไทย ได้แก่ การได้คืนสิทธิ GSP จากสหภาพยุโรป การทบทวนการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันสินค้ากุ้งของสหรัฐฯ และการระบาดของเชื้อวัวบ้าและไข้หวัดนก เป็นต้น สำหรับการผลิตในแต่ละกลุ่ม สรุปได้ดังนี้
ปศุสัตว์ การระบาดของโรคไข้หวัดนกในประเทศเริ่มคลี่คลาย ในขณะที่เริ่มมีการระบาดในบางประเทศของทวีปแอฟริกาและยุโรป ส่งผลต่อภาพรวมของกลุ่ม ทำให้การผลิตในไตรมาสที่ 1 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 24.2 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนลดลงร้อยละ 3.2 สินค้าที่สำคัญ คือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง
เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 23.9 แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 2.5 นอกจากนี้การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มีการขยายตัวตามแนวโน้มของตลาดส่งออกที่หันมานำเข้าไก่แปรรูปมากขึ้น และจากโอกาสการเปิดตลาดตามข้อตกลง FTA กับประเทศต่างๆ ทำให้อัตราภาษีของไก่แปรรูปมีการลดได้เร็วกว่าไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง
ผักผลไม้แปรรูป ในไตรมาสที่ 1 มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนและปีก่อนร้อยละ 21.3 และ 36.2 โดยสินค้าสำคัญ คือ สับปะรดกระป๋องมีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนและปีก่อน ร้อยละ 5.1 และ 50.2 เนื่องจากผลผลิตในปีก่อนได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่
เพาะปลูก ส่งผลให้ผลผลิตในช่วงฤดูกาลของปี 2549 กลับเพิ่มขึ้นมาก อาจส่งผลต่อระดับราคาที่ปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาสถัดไป ส่วนน้ำผักและผลไม้มีการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้น เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่มที่กำลังได้รับความนิยมจากทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างสูง โดยเฉพาะน้ำผักและผลไม้พร้อมดื่ม และนมเปรี้ยวรสผักและผลไม้ต่างๆ
น้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ ธัญพืชและแป้ง และน้ำมันพืช มีการผลิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
ร้อยละ 8.7 17.4 และ 2.7 เนื่องจากวัตถุดิบมีปริมาณเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเลื่อนการเก็บเกี่ยวจากช่วงปลายปีมาช่วงไตรมาสนี้ โดยเฉพาะน้ำตาลทรายมีการเลื่อนการตัดอ้อยเข้าโรงงาน เนื่องจากมีการพิจารณาปรับราคาในประเทศขึ้นตามต้นทุนการผลิตและระดับราคาในตลาดโลก ส่วนมันสำปะหลังมีการขยายพื้นที่ปลูกทั้งในเขตพื้นที่ปลูกเดิมและพื้นที่ปลูกใหม่ตามนโยบายส่งเสริมการผลิตพลังงานทดแทนจากพืช เช่น เอทานอล และไบโอดีเซล
ประมง ถึงแม้จะมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการผลิตในช่วงไตรมาสที่ 1 คือ สหรัฐฯ ยังคงเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดสินค้ากุ้งโดยเฉลี่ยร้อยละ 5.5 และให้ผู้ส่งออกต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันในมูลค่ากุ้งร้อยละ 100 และภาษีทุ่มตลาด ซึ่งทางการไทยอยู่ระหว่างยื่นฟ้องต่อ WTO เนื่องจากเป็นการเรียกเก็บซ้ำซ้อน คาดว่าผลการพิจารณาจะออกภายใน 1 ปี ประกอบกับท่าทีทางการสหรัฐฯ เริ่มจะทบทวนว่าจะยกเลิกการวางหลักทรัพย์ฯ ดังกล่าว และจากภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เรือประมงไม่สามารถออกทะเลได้ ส่งผลต่อปริมาณสัตว์น้ำที่เข้าสู่ตลาดลดลง อย่างไรก็ตามการประกาศคืนสิทธิ์ GSP ในสินค้าประมงของสหภาพยุโรป ทำให้สินค้าในภาพรวมของกลุ่มมีการผลิตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 3.3 จากการผลิตเพิ่มขึ้นของกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 18.4 และปลาทูน่ากระป๋องร้อยละ 13.7
นอกจากนี้การผลิตในสินค้าหมวดอื่นๆ ได้แก่ หมวดผลิตภัณฑ์นม มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.1 และหมวดอาหารสัตว์ มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและตลาดภายในประเทศ ส่งผลต่อการบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนใน
อุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งพิจารณาได้จากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในรูปปริมาณและมูลค่าของวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปในกลุ่มสัตว์น้ำแช่เย็นแช่แข็งและกึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ ปลาทูน่า กุ้ง และสัตว์น้ำอื่นๆ โดยปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.6 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.2 ซึ่งได้รับผลดีจากการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงนี้ นอกจากนี้มีการขยายการลงทุนตั้ง/ขยายโรงงานเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมนมและผลิตภัณฑ์ และ อุตสาหกรรมเครื่องปรุงรส
2. การตลาด
- การจำหน่ายในประเทศ
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 ภาวะการจำหน่ายในประเทศโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนและปีก่อน ร้อยละ 3.8 และ 11.4 (ไม่รวมน้ำตาล) เนื่องจากเป็นช่วงที่มีงานเทศกาลทั้งปีใหม่ และตรุษจีน ทำให้ความต้องการบริโภคอาหารเพิ่มขึ้น โดยสินค้าในกลุ่มปศุสัตว์มีปริมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปีก่อน กลุ่มผลิตภัณฑ์นม ธัญพืชและแป้ง และอาหารสัตว์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.8, 15.2 และ 12.6 ตามลำดับ สำหรับสินค้าอาหารที่มีการจำหน่ายในประเทศลดลง ได้แก่ หมวดประมง ร้อยละ 3.5 ผักผลไม้ ร้อยละ 8.8 น้ำมันพืช ร้อยละ 0.5 และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ร้อยละ 12.1
นอกจากนี้การคาดการณ์การประกาศราคาน้ำตาลทรายที่ปรับราคาตามตลาดโลกและการเรียกร้องของผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมน้ำตาลทราย ทำให้เกิดการกักตุน ชะลอการจำหน่าย และลักลอบส่งออกน้ำตาลทรายในราคาที่สูงกว่าที่รัฐประกาศ ทำให้ปริมาณการจำหน่ายน้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ ลดลงร้อยละ 17.9
- การส่งออก
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 ปริมาณการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมข้าว) มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 19.5 แต่ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 6.6 ส่วนมูลค่าการส่งออกลดลงจาก ไตรมาสก่อนร้อยละ 7.7 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 15.3 ทั้งนี้สินค้าอาหารส่วนใหญ่สามารถส่งออกในมูลค่าที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าในกลุ่มอาหารทะเลแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปในภาพรวมมูลค่าส่งออกขยายตัวร้อยละ 22.4 สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เช่น กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 20.6 ปลาทูน่ากระป๋อง ร้อยละ 30.6 และปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 43.5 เป็นผลจากการคืนสิทธิ์ GSP ของสหภาพยุโรป และการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งจากสหรัฐฯ ในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง ประกอบกับประเทศสหรัฐฯ ประสบปัญหาแหล่งประมงยังไม่เข้าสู่สภาพปกติจากการได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ สำหรับสินค้าในกลุ่มผัก ผลไม้แปรรูป พบว่าในภาพรวมมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกประเภทสินค้าประมาณร้อยละ 5.0-29.3 เป็นผลจากระดับราคาที่เพิ่มขึ้น และเป็นผลจากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับจีน ตลอดจนการผลักดันการควบคุมการผลิตที่เน้นคุณภาพและตรวจสอบสารตกค้างอย่างเข้มงวด และการที่สหรัฐฯ เปิดให้นำเข้าผลไม้สด 6 ชนิด (มังคุด เงาะ ลิ้นจี่ ลำไย มะม่วง และสับปะรด) ที่ผ่านการฉายรังสีได้ในส่วนของสินค้าปศุสัตว์มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการส่งออกจากไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง เป็นไก่แปรรูป เช่น ไก่ทอดเป็นชิ้น (คาราเกะ) ไก่เสียบไม้ย่าง (เทอริยากิ) และชิ้นส่วนไก่อื่นๆ ทอดและแปรรูป ทำให้ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 และ 19.0 ตามลำดับ ประกอบกับสหภาพยุโรปหันมานำเข้าไก่จากไทยแทน บราซิลและยุโรปตะวันออกจากข่าวการระบาดของโรคไข้หวัดนก นอกจากนี้สินค้ากลุ่มธัญพืชและแป้ง ในภาพรวมทั้งปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 35 โดยเพิ่มขึ้นในทุกสินค้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ข้าวมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี ร้อยละ 24.9 และมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 45.6 เนื่องจากมีความกังวลว่าอาจเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับปีก่อน คือ วัตถุดิบขาดแคลนในบางช่วงเวลา ซึ่งจะส่งผลเกิดแรงกดดันให้ผู้นำเข้าเร่งคำสั่งซื้อ เนื่องจากคาดว่าระดับราคาส่งออกจะที่เพิ่มขึ้น สำหรับน้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ การผลิตได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเช่นกัน ประกอบกับความต้องการในตลาดโลกที่ลดระดับลงจากระดับราคาที่เพิ่มขึ้นและการหันไปใช้สินค้าที่ใช้ทดแทนกัน เช่น หัวบีทและข้าวฟ่างหวาน ทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยลดลงร้อยละ 42.6 ส่วนสินค้าอาหารอื่นๆ เช่น นมและผลิตภัณฑ์ สิ่งปรุงรสอาหาร ซุปและอาหารปรุงแต่ง มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงรสอาหารร้อยละ 10 และเครื่องเทศและสมุนไพร ร้อยละ 25 ส่วนนมและผลิตภัณฑ์นม ลดลงร้อยละ 23.3 และซุปและอาหารปรุงแต่ง ลดลงร้อยละ 24.1
- การนำเข้า
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปสำหรับอุตสาหกรรมอาหารมีมูลค่า
ทั้งสิ้น 36,000.6 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 24.3 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 10.1 เป็นผลจากการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการนำเข้าแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยการนำเข้าในแต่ละกลุ่ม มีดังนี้
- กลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (สัดส่วนการนำเข้าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 62 ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าอาหาร) โดยไตรมาสที่ 1 มีมูลค่า 24,211.2 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 26.9 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 8.5 สินค้าสำคัญที่นำเข้าในกลุ่ม คือ ปลาทูน่าสดแช่เย็นแช่แข็ง ไตรมาสที่ 1 มีปริมาณนำเข้า 194,970 ตัน มูลค่า 7,781.0 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 1.9 และ 3.7 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 23.9 และ 45.5 ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ เมล็ดพืชน้ำมัน มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 32.8 และลดลงจากปีก่อนร้อยละ 10.3 และกากพืชน้ำมัน มีการนำเข้าลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 20.5 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 0.2
- กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ไตรมาสที่ 1 มีมูลค่า 11,789.4 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 18.3 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 13.6 สินค้าสำคัญที่นำเข้าในกลุ่ม คือ นมและผลิตภัณฑ์ (นมผงประเภทต่างๆ และเนย) มีปริมาณนำเข้า 37,503 ตัน มูลค่า 2,863.2 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 33.7 และ 38.0 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 9.4 และ 22.4 ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ผักผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักผลไม้ มีมูลค่านำเข้าลดลงจากไตรมาสก่อน ร้อยละ 16.5 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 35.1 ในส่วนเนื้อสัตว์บริโภค มีมูลค่าการนำเข้าลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 18.3 และลดลงจากปีก่อนร้อยละ 17.2 นอกจากนี้สินค้าอื่นๆ ในกลุ่มส่วนใหญ่ที่มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากกว่าร้อยละ 10 โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากการขยายตัวของแฟรนไชส์เบเกอรรี่ของประเทศต่างๆ เช่น มิสเตอร์บัน และโรสตีบอย ของมาเลเซีย อานตี้แอน ของสหรัฐฯ ที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบประเภทแป้งและเครื่องปรุงแต่งรส สี กลิ่น ตามสูตรที่เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทแม่
3. นโยบายและมาตรการภาครัฐ
3.1 รัฐบาลขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้ชาวประมง (น้ำมันม่วง)
ออกไปจนถึงเดือนมีนาคม 2549 และจะพิจารณาเพิ่มเติมอีกเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาโครงการ เนื่องจากต้องพิจารณาแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลก
3.2 การยกเลิกและแก้ไขปรับปรุงมาตรการควบคุมการส่งออก ในส่วนที่เกี่ยวข้อง คือ ระเบียบกระทรวงพาณิชย์ ในเรื่องการส่งออกข้าว ซากสัตว์ สัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การส่งออกคล่องตัวยิ่งขึ้น
3.3 การแต่งตั้งประธานคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ และปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) เป็นประธานกรรมการ กรรมการท่านอื่นอีก 21 ราย โดยมีนายศักดิ์ณรงค์ อุตสาหกุล เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสับปะรดของประเทศ สนับสนุนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ สั่งการและหารือประสานงานหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อการสนับสนุนนโยบายของคณะกรรมการ และติดตามการดำเนินงานยุทธศาสตร์สับปะรดและรายงานให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ
3.4 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนกจากโรงฆ่าชำแหละไก่ โดยได้ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อโรคไข้หวัดนก โดยเฉพาะร้านฆ่าชำแหละและจำหน่ายสัตว์ปีกในเขตสัมพันธวงศ์ ซึ่งอาจจะเป็นสถานที่ๆ เกิดความเสี่ยงต่อการติดต่อของโรคไข้หวัดนกจากไก่ที่นำมาสู่กระบวนการชำแหละได้ ในการนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำคำแนะนำการปรับปรุงร้านฆ่าและชำแหละสัตว์ปีกขั้นพื้นฐาน เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดนกเสนอผ่านคณะกรรมการสาธารณสุขเพื่อออกเป็นคำ แนะนำของคณะกรรมการสาธารณสุข เรื่อง การควบคุมกิจการฆ่าสัตว์ ยกเว้นในสถานที่จำหน่ายอาหาร การเร่ขาย การขายในตลาด และการฆ่าเพื่อบริโภคในครัวเรือน ซึ่งจะเป็นการรักษามาตรฐานการฆ่าและชำแหละไก่อันจะเป็นการลดความเสี่ยงของการเกิดโรค และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคเนื้อไก่ว่ามีความสะอาดปลอดภัยจากโรคติดต่อโดยเฉพาะโรคไข้หวัดนกต่อไป
4. สรุปและแนวโน้ม
แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมอาหารไตรมาสที่ 2 ปี 2549 คาดว่าทั้งภาคการผลิตและการส่งออก
อุตสาหกรรมอาหารจะยังคงทรงตัวหรือหดตัวเล็กน้อย โดยแนวโน้มในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์สำคัญมี ดังนี้
1) สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋อง เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง และอาหารทะเลแปรรูปมีแนวโน้มผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้น จากปัจจัยด้านต่างประเทศ คือ การได้คืนสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร GSP จากสหภาพยุโรป ประกอบกับการยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลกกรณีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดซ้ำซ้อนกับการกำหนดให้ต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันการส่งออกกุ้ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสริมให้ปริมาณการผลิตและการส่งออกกุ้งไทยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าอาหารทะเลแปรรูปได้แก่ การขาดแคลนแรงงาน การลดลงของผลผลิตกุ้งจากปริมาณฟาร์มในประเทศลดลง และการขาดแคลนปริมาณวัตถุดิบอย่างต่อเนื่องจากความสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำที่ลดลง นอกจากนี้ประเด็นราคาน้ำมันยังจะส่งผลต่อต้นทุนการขนส่งและการทำประมง ซึ่งอาจจะรุนแรงขึ้นหากยังไม่สามารถช่วยเหลือโดยการลดราคาน้ำมันได้ในอนาคต
2) สินค้าพืชผักผลไม้แปรรูป สับปะรดกระป๋องและผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้แปรรูปต่างๆ มีแนวโน้มผลิตและส่งออกขยายตัวได้เพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณ แต่ในเชิงมูลค่าอาจจะทรงตัว เนื่องจากราคาสับปะรดมีแนวโน้ม ลดลง จากปริมาณผลผลิตที่คาดว่าจะมีมากขึ้น ประกอบกับประเทศจีนหันมาปลูกลำไยเพิ่มขึ้น และลดการ นำเข้าลำไยอบแห้งจากไทยลง ส่วนการจำหน่ายในประเทศราคาผักจะปรับตัวสูงขึ้นตามฤดูกาลและได้รับผลกระทบจากค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น ส่วนผลไม้หลักๆ เช่น ทุเรียน เงาะ และมังคุด คาดว่าราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากข่าวการอนุญาตให้นำเข้าผลไม้สดที่ผ่านการฉายรังสีของสหรัฐฯ
3) สินค้าปศุสัตว์แปรรูป ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง มีแนวโน้มที่จะผลิตและส่งออกในปริมาณและมูลค่าที่ขยายตัวเล็กน้อย และหันไปผลิตในลักษณะไก่แปรรูป โดยเฉพาะไก่ต้มสุกและไก่พร้อมรับประทาน เช่น ไก่คาราเกะ และไก่ปรุงสำเร็จ เพื่อส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดหลัก คือ สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไข้หวัดนกจากประเทศผู้ผลิตอื่นๆ และความกังวลต่อสารตกค้างที่จะตกไปยังผู้บริโภค ซึ่งไทยยังคงรักษาภาพลักษณ์ของสินค้าไก่ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลในตลาดโลกและมาตรการคุมเข้มต่อการระบาดของโรคดังกล่าวได้
4) สินค้าแปรรูปจากธัญพืชและแป้ง มีแนวโน้มการผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากวัตถุดิบมีมากขึ้น ซึ่งคาดว่า ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-20 จากการกระจายมันสำปะหลังพันธุ์ดีได้เพิ่มขึ้น และระดับราคาจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการแปรรูปมันสำปะหลังมีความกังวลในเรื่องการขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อรองรับทั้งโรงงานเอทานอลและแป้งมันสำปะหลังในช่วงเวลาเดียวกัน และการเพิ่มระดับราคาประกันหัวมันสำปะหลังสดที่อาจทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น
5) สินค้าอื่นๆ เช่น สินค้าน้ำตาลทราย คาดว่าผลผลิตอ้อยจะขยายตัวเล็กน้อยจากการเลื่อนการตัดอ้อยเข้าโรงงานช้ากว่าปีก่อนๆ แต่ในเชิงราคาจะทรงตัวในระดับที่สูงขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากระดับราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลผลิตอ้อยของประเทศที่สำคัญๆ ได้แก่ บราซิล และออสเตรเลีย มีการแบ่งสัดส่วนไปผลิตเป็นเอทานอลมากขึ้น ในขณะที่ราคาในประเทศได้ปรับราคาสูงขึ้น อาจทำให้มีการปรับลดปริมาณการใช้น้ำตาลทรายในภาคอุตสาหกรรมน้ำอัดลมลง
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2549 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 5.1 และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 15.1 แม้ว่าโดยรวมจะได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลต่อการผลิต การบริโภค และการส่งออก เช่น ปัญหาการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันที่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่าขนส่ง ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและปัญหาแรงงานต่างด้าว และการขาดแคลนวัตถุดิบจากภัยธรรมชาติ รวมถึงการประกาศติดฉลากสินค้ารูปแบบใหม่ๆ ของประเทศผู้ นำเข้า และการบังคับใช้มาตรฐานสุขอนามัยและสวัสดิภาพสัตว์ของสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตามมีปัจจัยบวกที่ ส่งผลดีต่อการผลิตเพื่อส่งออกของไทย ได้แก่ การได้คืนสิทธิ GSP จากสหภาพยุโรป การทบทวนการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันสินค้ากุ้งของสหรัฐฯ และการระบาดของเชื้อวัวบ้าและไข้หวัดนก เป็นต้น สำหรับการผลิตในแต่ละกลุ่ม สรุปได้ดังนี้
ปศุสัตว์ การระบาดของโรคไข้หวัดนกในประเทศเริ่มคลี่คลาย ในขณะที่เริ่มมีการระบาดในบางประเทศของทวีปแอฟริกาและยุโรป ส่งผลต่อภาพรวมของกลุ่ม ทำให้การผลิตในไตรมาสที่ 1 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 24.2 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนลดลงร้อยละ 3.2 สินค้าที่สำคัญ คือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง
เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 23.9 แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 2.5 นอกจากนี้การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มีการขยายตัวตามแนวโน้มของตลาดส่งออกที่หันมานำเข้าไก่แปรรูปมากขึ้น และจากโอกาสการเปิดตลาดตามข้อตกลง FTA กับประเทศต่างๆ ทำให้อัตราภาษีของไก่แปรรูปมีการลดได้เร็วกว่าไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง
ผักผลไม้แปรรูป ในไตรมาสที่ 1 มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนและปีก่อนร้อยละ 21.3 และ 36.2 โดยสินค้าสำคัญ คือ สับปะรดกระป๋องมีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนและปีก่อน ร้อยละ 5.1 และ 50.2 เนื่องจากผลผลิตในปีก่อนได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่
เพาะปลูก ส่งผลให้ผลผลิตในช่วงฤดูกาลของปี 2549 กลับเพิ่มขึ้นมาก อาจส่งผลต่อระดับราคาที่ปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาสถัดไป ส่วนน้ำผักและผลไม้มีการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้น เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่มที่กำลังได้รับความนิยมจากทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างสูง โดยเฉพาะน้ำผักและผลไม้พร้อมดื่ม และนมเปรี้ยวรสผักและผลไม้ต่างๆ
น้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ ธัญพืชและแป้ง และน้ำมันพืช มีการผลิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
ร้อยละ 8.7 17.4 และ 2.7 เนื่องจากวัตถุดิบมีปริมาณเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเลื่อนการเก็บเกี่ยวจากช่วงปลายปีมาช่วงไตรมาสนี้ โดยเฉพาะน้ำตาลทรายมีการเลื่อนการตัดอ้อยเข้าโรงงาน เนื่องจากมีการพิจารณาปรับราคาในประเทศขึ้นตามต้นทุนการผลิตและระดับราคาในตลาดโลก ส่วนมันสำปะหลังมีการขยายพื้นที่ปลูกทั้งในเขตพื้นที่ปลูกเดิมและพื้นที่ปลูกใหม่ตามนโยบายส่งเสริมการผลิตพลังงานทดแทนจากพืช เช่น เอทานอล และไบโอดีเซล
ประมง ถึงแม้จะมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการผลิตในช่วงไตรมาสที่ 1 คือ สหรัฐฯ ยังคงเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดสินค้ากุ้งโดยเฉลี่ยร้อยละ 5.5 และให้ผู้ส่งออกต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันในมูลค่ากุ้งร้อยละ 100 และภาษีทุ่มตลาด ซึ่งทางการไทยอยู่ระหว่างยื่นฟ้องต่อ WTO เนื่องจากเป็นการเรียกเก็บซ้ำซ้อน คาดว่าผลการพิจารณาจะออกภายใน 1 ปี ประกอบกับท่าทีทางการสหรัฐฯ เริ่มจะทบทวนว่าจะยกเลิกการวางหลักทรัพย์ฯ ดังกล่าว และจากภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เรือประมงไม่สามารถออกทะเลได้ ส่งผลต่อปริมาณสัตว์น้ำที่เข้าสู่ตลาดลดลง อย่างไรก็ตามการประกาศคืนสิทธิ์ GSP ในสินค้าประมงของสหภาพยุโรป ทำให้สินค้าในภาพรวมของกลุ่มมีการผลิตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 3.3 จากการผลิตเพิ่มขึ้นของกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 18.4 และปลาทูน่ากระป๋องร้อยละ 13.7
นอกจากนี้การผลิตในสินค้าหมวดอื่นๆ ได้แก่ หมวดผลิตภัณฑ์นม มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.1 และหมวดอาหารสัตว์ มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและตลาดภายในประเทศ ส่งผลต่อการบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนใน
อุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งพิจารณาได้จากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในรูปปริมาณและมูลค่าของวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปในกลุ่มสัตว์น้ำแช่เย็นแช่แข็งและกึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ ปลาทูน่า กุ้ง และสัตว์น้ำอื่นๆ โดยปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.6 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.2 ซึ่งได้รับผลดีจากการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงนี้ นอกจากนี้มีการขยายการลงทุนตั้ง/ขยายโรงงานเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมนมและผลิตภัณฑ์ และ อุตสาหกรรมเครื่องปรุงรส
2. การตลาด
- การจำหน่ายในประเทศ
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 ภาวะการจำหน่ายในประเทศโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนและปีก่อน ร้อยละ 3.8 และ 11.4 (ไม่รวมน้ำตาล) เนื่องจากเป็นช่วงที่มีงานเทศกาลทั้งปีใหม่ และตรุษจีน ทำให้ความต้องการบริโภคอาหารเพิ่มขึ้น โดยสินค้าในกลุ่มปศุสัตว์มีปริมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปีก่อน กลุ่มผลิตภัณฑ์นม ธัญพืชและแป้ง และอาหารสัตว์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.8, 15.2 และ 12.6 ตามลำดับ สำหรับสินค้าอาหารที่มีการจำหน่ายในประเทศลดลง ได้แก่ หมวดประมง ร้อยละ 3.5 ผักผลไม้ ร้อยละ 8.8 น้ำมันพืช ร้อยละ 0.5 และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ร้อยละ 12.1
นอกจากนี้การคาดการณ์การประกาศราคาน้ำตาลทรายที่ปรับราคาตามตลาดโลกและการเรียกร้องของผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมน้ำตาลทราย ทำให้เกิดการกักตุน ชะลอการจำหน่าย และลักลอบส่งออกน้ำตาลทรายในราคาที่สูงกว่าที่รัฐประกาศ ทำให้ปริมาณการจำหน่ายน้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ ลดลงร้อยละ 17.9
- การส่งออก
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 ปริมาณการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมข้าว) มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 19.5 แต่ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 6.6 ส่วนมูลค่าการส่งออกลดลงจาก ไตรมาสก่อนร้อยละ 7.7 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 15.3 ทั้งนี้สินค้าอาหารส่วนใหญ่สามารถส่งออกในมูลค่าที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าในกลุ่มอาหารทะเลแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปในภาพรวมมูลค่าส่งออกขยายตัวร้อยละ 22.4 สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เช่น กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 20.6 ปลาทูน่ากระป๋อง ร้อยละ 30.6 และปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 43.5 เป็นผลจากการคืนสิทธิ์ GSP ของสหภาพยุโรป และการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งจากสหรัฐฯ ในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง ประกอบกับประเทศสหรัฐฯ ประสบปัญหาแหล่งประมงยังไม่เข้าสู่สภาพปกติจากการได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ สำหรับสินค้าในกลุ่มผัก ผลไม้แปรรูป พบว่าในภาพรวมมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกประเภทสินค้าประมาณร้อยละ 5.0-29.3 เป็นผลจากระดับราคาที่เพิ่มขึ้น และเป็นผลจากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับจีน ตลอดจนการผลักดันการควบคุมการผลิตที่เน้นคุณภาพและตรวจสอบสารตกค้างอย่างเข้มงวด และการที่สหรัฐฯ เปิดให้นำเข้าผลไม้สด 6 ชนิด (มังคุด เงาะ ลิ้นจี่ ลำไย มะม่วง และสับปะรด) ที่ผ่านการฉายรังสีได้ในส่วนของสินค้าปศุสัตว์มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการส่งออกจากไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง เป็นไก่แปรรูป เช่น ไก่ทอดเป็นชิ้น (คาราเกะ) ไก่เสียบไม้ย่าง (เทอริยากิ) และชิ้นส่วนไก่อื่นๆ ทอดและแปรรูป ทำให้ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 และ 19.0 ตามลำดับ ประกอบกับสหภาพยุโรปหันมานำเข้าไก่จากไทยแทน บราซิลและยุโรปตะวันออกจากข่าวการระบาดของโรคไข้หวัดนก นอกจากนี้สินค้ากลุ่มธัญพืชและแป้ง ในภาพรวมทั้งปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 35 โดยเพิ่มขึ้นในทุกสินค้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ข้าวมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี ร้อยละ 24.9 และมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 45.6 เนื่องจากมีความกังวลว่าอาจเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับปีก่อน คือ วัตถุดิบขาดแคลนในบางช่วงเวลา ซึ่งจะส่งผลเกิดแรงกดดันให้ผู้นำเข้าเร่งคำสั่งซื้อ เนื่องจากคาดว่าระดับราคาส่งออกจะที่เพิ่มขึ้น สำหรับน้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ การผลิตได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเช่นกัน ประกอบกับความต้องการในตลาดโลกที่ลดระดับลงจากระดับราคาที่เพิ่มขึ้นและการหันไปใช้สินค้าที่ใช้ทดแทนกัน เช่น หัวบีทและข้าวฟ่างหวาน ทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยลดลงร้อยละ 42.6 ส่วนสินค้าอาหารอื่นๆ เช่น นมและผลิตภัณฑ์ สิ่งปรุงรสอาหาร ซุปและอาหารปรุงแต่ง มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงรสอาหารร้อยละ 10 และเครื่องเทศและสมุนไพร ร้อยละ 25 ส่วนนมและผลิตภัณฑ์นม ลดลงร้อยละ 23.3 และซุปและอาหารปรุงแต่ง ลดลงร้อยละ 24.1
- การนำเข้า
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปสำหรับอุตสาหกรรมอาหารมีมูลค่า
ทั้งสิ้น 36,000.6 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 24.3 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 10.1 เป็นผลจากการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการนำเข้าแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยการนำเข้าในแต่ละกลุ่ม มีดังนี้
- กลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (สัดส่วนการนำเข้าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 62 ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าอาหาร) โดยไตรมาสที่ 1 มีมูลค่า 24,211.2 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 26.9 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 8.5 สินค้าสำคัญที่นำเข้าในกลุ่ม คือ ปลาทูน่าสดแช่เย็นแช่แข็ง ไตรมาสที่ 1 มีปริมาณนำเข้า 194,970 ตัน มูลค่า 7,781.0 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 1.9 และ 3.7 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 23.9 และ 45.5 ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ เมล็ดพืชน้ำมัน มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 32.8 และลดลงจากปีก่อนร้อยละ 10.3 และกากพืชน้ำมัน มีการนำเข้าลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 20.5 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 0.2
- กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ไตรมาสที่ 1 มีมูลค่า 11,789.4 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 18.3 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 13.6 สินค้าสำคัญที่นำเข้าในกลุ่ม คือ นมและผลิตภัณฑ์ (นมผงประเภทต่างๆ และเนย) มีปริมาณนำเข้า 37,503 ตัน มูลค่า 2,863.2 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 33.7 และ 38.0 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 9.4 และ 22.4 ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ผักผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักผลไม้ มีมูลค่านำเข้าลดลงจากไตรมาสก่อน ร้อยละ 16.5 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 35.1 ในส่วนเนื้อสัตว์บริโภค มีมูลค่าการนำเข้าลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 18.3 และลดลงจากปีก่อนร้อยละ 17.2 นอกจากนี้สินค้าอื่นๆ ในกลุ่มส่วนใหญ่ที่มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากกว่าร้อยละ 10 โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากการขยายตัวของแฟรนไชส์เบเกอรรี่ของประเทศต่างๆ เช่น มิสเตอร์บัน และโรสตีบอย ของมาเลเซีย อานตี้แอน ของสหรัฐฯ ที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบประเภทแป้งและเครื่องปรุงแต่งรส สี กลิ่น ตามสูตรที่เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทแม่
3. นโยบายและมาตรการภาครัฐ
3.1 รัฐบาลขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้ชาวประมง (น้ำมันม่วง)
ออกไปจนถึงเดือนมีนาคม 2549 และจะพิจารณาเพิ่มเติมอีกเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาโครงการ เนื่องจากต้องพิจารณาแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลก
3.2 การยกเลิกและแก้ไขปรับปรุงมาตรการควบคุมการส่งออก ในส่วนที่เกี่ยวข้อง คือ ระเบียบกระทรวงพาณิชย์ ในเรื่องการส่งออกข้าว ซากสัตว์ สัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การส่งออกคล่องตัวยิ่งขึ้น
3.3 การแต่งตั้งประธานคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ และปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) เป็นประธานกรรมการ กรรมการท่านอื่นอีก 21 ราย โดยมีนายศักดิ์ณรงค์ อุตสาหกุล เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสับปะรดของประเทศ สนับสนุนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ สั่งการและหารือประสานงานหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อการสนับสนุนนโยบายของคณะกรรมการ และติดตามการดำเนินงานยุทธศาสตร์สับปะรดและรายงานให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ
3.4 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนกจากโรงฆ่าชำแหละไก่ โดยได้ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อโรคไข้หวัดนก โดยเฉพาะร้านฆ่าชำแหละและจำหน่ายสัตว์ปีกในเขตสัมพันธวงศ์ ซึ่งอาจจะเป็นสถานที่ๆ เกิดความเสี่ยงต่อการติดต่อของโรคไข้หวัดนกจากไก่ที่นำมาสู่กระบวนการชำแหละได้ ในการนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำคำแนะนำการปรับปรุงร้านฆ่าและชำแหละสัตว์ปีกขั้นพื้นฐาน เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดนกเสนอผ่านคณะกรรมการสาธารณสุขเพื่อออกเป็นคำ แนะนำของคณะกรรมการสาธารณสุข เรื่อง การควบคุมกิจการฆ่าสัตว์ ยกเว้นในสถานที่จำหน่ายอาหาร การเร่ขาย การขายในตลาด และการฆ่าเพื่อบริโภคในครัวเรือน ซึ่งจะเป็นการรักษามาตรฐานการฆ่าและชำแหละไก่อันจะเป็นการลดความเสี่ยงของการเกิดโรค และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคเนื้อไก่ว่ามีความสะอาดปลอดภัยจากโรคติดต่อโดยเฉพาะโรคไข้หวัดนกต่อไป
4. สรุปและแนวโน้ม
แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมอาหารไตรมาสที่ 2 ปี 2549 คาดว่าทั้งภาคการผลิตและการส่งออก
อุตสาหกรรมอาหารจะยังคงทรงตัวหรือหดตัวเล็กน้อย โดยแนวโน้มในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์สำคัญมี ดังนี้
1) สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋อง เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง และอาหารทะเลแปรรูปมีแนวโน้มผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้น จากปัจจัยด้านต่างประเทศ คือ การได้คืนสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร GSP จากสหภาพยุโรป ประกอบกับการยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลกกรณีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดซ้ำซ้อนกับการกำหนดให้ต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันการส่งออกกุ้ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสริมให้ปริมาณการผลิตและการส่งออกกุ้งไทยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าอาหารทะเลแปรรูปได้แก่ การขาดแคลนแรงงาน การลดลงของผลผลิตกุ้งจากปริมาณฟาร์มในประเทศลดลง และการขาดแคลนปริมาณวัตถุดิบอย่างต่อเนื่องจากความสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำที่ลดลง นอกจากนี้ประเด็นราคาน้ำมันยังจะส่งผลต่อต้นทุนการขนส่งและการทำประมง ซึ่งอาจจะรุนแรงขึ้นหากยังไม่สามารถช่วยเหลือโดยการลดราคาน้ำมันได้ในอนาคต
2) สินค้าพืชผักผลไม้แปรรูป สับปะรดกระป๋องและผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้แปรรูปต่างๆ มีแนวโน้มผลิตและส่งออกขยายตัวได้เพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณ แต่ในเชิงมูลค่าอาจจะทรงตัว เนื่องจากราคาสับปะรดมีแนวโน้ม ลดลง จากปริมาณผลผลิตที่คาดว่าจะมีมากขึ้น ประกอบกับประเทศจีนหันมาปลูกลำไยเพิ่มขึ้น และลดการ นำเข้าลำไยอบแห้งจากไทยลง ส่วนการจำหน่ายในประเทศราคาผักจะปรับตัวสูงขึ้นตามฤดูกาลและได้รับผลกระทบจากค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น ส่วนผลไม้หลักๆ เช่น ทุเรียน เงาะ และมังคุด คาดว่าราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากข่าวการอนุญาตให้นำเข้าผลไม้สดที่ผ่านการฉายรังสีของสหรัฐฯ
3) สินค้าปศุสัตว์แปรรูป ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง มีแนวโน้มที่จะผลิตและส่งออกในปริมาณและมูลค่าที่ขยายตัวเล็กน้อย และหันไปผลิตในลักษณะไก่แปรรูป โดยเฉพาะไก่ต้มสุกและไก่พร้อมรับประทาน เช่น ไก่คาราเกะ และไก่ปรุงสำเร็จ เพื่อส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดหลัก คือ สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไข้หวัดนกจากประเทศผู้ผลิตอื่นๆ และความกังวลต่อสารตกค้างที่จะตกไปยังผู้บริโภค ซึ่งไทยยังคงรักษาภาพลักษณ์ของสินค้าไก่ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลในตลาดโลกและมาตรการคุมเข้มต่อการระบาดของโรคดังกล่าวได้
4) สินค้าแปรรูปจากธัญพืชและแป้ง มีแนวโน้มการผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากวัตถุดิบมีมากขึ้น ซึ่งคาดว่า ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-20 จากการกระจายมันสำปะหลังพันธุ์ดีได้เพิ่มขึ้น และระดับราคาจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการแปรรูปมันสำปะหลังมีความกังวลในเรื่องการขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อรองรับทั้งโรงงานเอทานอลและแป้งมันสำปะหลังในช่วงเวลาเดียวกัน และการเพิ่มระดับราคาประกันหัวมันสำปะหลังสดที่อาจทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น
5) สินค้าอื่นๆ เช่น สินค้าน้ำตาลทราย คาดว่าผลผลิตอ้อยจะขยายตัวเล็กน้อยจากการเลื่อนการตัดอ้อยเข้าโรงงานช้ากว่าปีก่อนๆ แต่ในเชิงราคาจะทรงตัวในระดับที่สูงขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากระดับราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลผลิตอ้อยของประเทศที่สำคัญๆ ได้แก่ บราซิล และออสเตรเลีย มีการแบ่งสัดส่วนไปผลิตเป็นเอทานอลมากขึ้น ในขณะที่ราคาในประเทศได้ปรับราคาสูงขึ้น อาจทำให้มีการปรับลดปริมาณการใช้น้ำตาลทรายในภาคอุตสาหกรรมน้ำอัดลมลง
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-