ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ระบุเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินในไตรมาส 2 ปี 49 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 1.1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ
ชะลอตัวลง ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)
ของสถาบันการเงินในไตรมาส 2 ของปีนี้ว่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งเป็นไปตามที่ ธปท. และ ธพ.ได้คาดการณ์
ไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ เอ็นพีแอลสถาบันการเงินเดือน มิ.ย.49 มีจำนวน 484,701.70 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.2 ของสินเชื่อ เพิ่มขึ้นจากเดือน
มี.ค.ที่อยู่ที่ระดับ 473,000.81 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.97 หรือเพิ่มขึ้น 11,700.89 ล้านบาท สำหรับเป้าหมายลดเอ็นพีแอลให้เหลือร้อยละ
2.0 ภายในกลางปี 50 นั้น จะลดลงตามเป้าหมายที่วางไว้ได้หรือไม่ ต้องคอยดูแนวโน้มเอ็นพีแอลต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อน (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, บ้านเมือง, มติชน, แนวหน้า)
2. ธปท.ร่วมมือกับ สปป.ลาวเพื่อประโยชน์ต่อการค้าและการลงทุน รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว เมื่อ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อ
ดำรงกรอบความร่วมมือในบันทึกความเข้าใจที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ปี 46 เพื่อประโยชน์ต่อการค้าการลงทุนของทั้ง 2 ประเทศ โดยในปีนี้ ธปท.ได้
ลงนามความตกลงกับ ธ.กลางในอินโดจีนเป็นฉบับที่ 3 ประกอบด้วย กัมพูชา เวียดนาม และลาว (มติชน)
3. ก.คลังเตรียมศึกษาการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ ธ.ทหารไทย รมว.คลัง เปิดเผยว่า 1 ใน 2 แนวทางที่ ก.คลังศึกษาเรื่องการซื้อหุ้น
เพิ่มทุนของ ธ.ทหารไทย คือ กองทุนรวมวายุภักษ์ จะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มในสัดส่วนที่ ก.คลังต้องซื้อทั้งหมดประมาณ 3,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่
ระหว่างการหารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ ส่วนแนวทางที่ 2 นั้นยังไม่สามารถ
เปิดเผยได้ ขณะที่ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การเพิ่มทุนของ ธ.ทหารไทยเป็นเรื่องที่
ธนาคารสามารถจัดการได้เอง ไม่จำเป็นต้องเข้ามาหารือกับ ธปท. โดยจะสามารถเพิ่มทุนได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้นเดิมและผู้ถือหุ้นรายใหม่ว่า
ต้องการลงทุนในหุ้นของธนาคารหรือไม่ และขึ้นกับกรรมการและผู้ถือหุ้นของธนาคารว่าจะอนุมัติการเพิ่มทุนอย่างไร (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, เดลินิวส์, แนวหน้า)
4. ตลท.คาดกำไรของ บจ.ในปีนี้อาจโตได้ในระดับร้อยละ 10 เท่านั้น ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(ตลท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ทำให้ บจ.มีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น
ประกอบกับการลงทุนของภาคเอกชนที่ชะลอลงจากปัจจัยทางการเมือง อาจทำให้กำไรของ บจ.ในปีนี้โตได้ในระดับร้อยละ 10 เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่า
ที่เคยประมาณการไว้ที่ร้อยละ 20 (กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์)
5. ผลกำไรจากเงินลงทุนของ ธพ.ในครึ่งแรกปี 49 ลดลงร้อยละ 41 จากการรวบรวมข้อมูลผลประกอบการของกลุ่ม ธพ.ที่แจ้งมา
ยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งรายงานผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปีนี้ ในส่วนของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยพบว่า จากตัวเลข
ผลประกอบการงวดสิ้นสุด 30 มิ.ย.49 ธพ.14 แห่งมีกำไรจากเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 1.69 พัน ล.บาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ
40.82 จาก 2.86 พัน ล.บาท แต่ในจำนวนดังกล่าวมี 5 ธนาคารที่มีกำไรเพิ่มขึ้น โดยธนาคารที่มีกำไรจากเงินลงทุนลดลงสูงสุด ได้แก่
ธ.สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) รองลงมา คือ ธ.ทหารไทย ธ.ยูโอบี รัตนสิน ธ.ธนชาต ธ.นครหลวงไทย ธ.กรุงเทพ
ธ.กสิกรไทย ธ.ไทยธนาคาร และ ธ.ไทยพาณิชย์ (กรุงเทพธุรกิจ)
6. นักลงทุนต่างประเทศห่วงสถานการณ์การเมืองไทย ประธานหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจ
ความเห็นของหอการค้าต่างประเทศ 27 หอการค้า มีสมาชิก 9,000 บริษัท พบว่า นักลงทุนมีความเป็นห่วงสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่ชัดเจน
ในไทย เนื่องจากมีรัฐบาลรักษาการยาวนาน ส่งผลให้เกิดการชะลอโครงการสำคัญโดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจคท์ ทำให้หลายประเทศ
สงสัยว่า จะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ รวมทั้งไม่สามารถตัดสินใจจัดทำ งปม.รายจ่ายประจำปี 50 ทำให้เกิดความชะงักงัน ซึ่งทำให้โครงการต่าง ๆ
ชะลอออกไปกว่า 3-5 เดือน และทำให้การเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ต้องหยุดชะงัก ส่งผลกระทบเชิงลบต่อไทย นอกจากนี้นักลงทุน
ยังเป็นห่วงเรื่องแรงงานไทยที่มีฝีมือน้อยลง โดยเฉพาะวิศวกรและโปรแกรมเมอร์ ขณะเดียวกันค่าจ้างแรงงานไทยก็สูงกว่า เมื่อเทียบกับประเทศ
คู่แข่ง เช่น เวียดนาม และรัฐบาลไทยจัดสรรเงิน งปม.ในการวิจัยและพัฒนาค่อนข้างน้อย ดังนั้น รัฐบาลควรเพิ่ม งปม.ให้ได้ประมาณร้อยละ
1 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) เพื่อสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน เวียดนาม และอินเดียได้ เนื่องจากมีนักลงทุนต่างประเทศ
ได้ย้ายฐานการผลิตออกจากไทย เช่น ซีเกท เป็นต้น (เดลินิวส์, บ้านเมือง, สยามรัฐ, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังภาวะเงินเฟ้อในแถบเอเซียจะชะลอลง รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 49 นาย
Rob Subbaraman นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Lehman Brothers เปิดเผยว่า ในเดือน มิ.ย. ภาวะเงินเฟ้อของประเทศส่วนใหญ่ในเอเซีย
ชะลอตัวลง ทำให้คาดว่าภาวะเงินเฟ้อช่วงครึ่งหลังปีนี้จะชะลอลงอย่างต่อเนื่อง จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค หลังจากที่ภาวะเงินเฟ้อ
ในช่วงครึ่งแรกปีนี้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเซียได้เปิดเผยตัวเลขภาวะเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ไว้ รวมทั้งคาดว่าการเติบโต
ทางเศรษฐกิจจะชะลอลงส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลง แม้ว่าบางประเทศอาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และฮ่องกง ภาวะเงินเฟ้อในเดือน มิ.ย.
จะเร่งตัวขึ้นก็ตาม แต่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าในอนาคตจะบรรเทาลงอยู่ในระดับปานกลาง ยกเว้นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ในเอเซียซึ่งได้แก่
จีน และอินเดีย และหากไม่นับรวมราคาน้ำมัน เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง และจะยังคงอยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ไปอีกในช่วงครึ่งหลังปีนี้หาก
เศรษฐกิจในภูมิภาคชะลอตัวลง ทั้งนี้ Lehman Brothers ได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเซียยกเว้น
ญี่ปุ่นในปีนี้ลงอยู่ที่ร้อยละ 7.2 เท่ากับเมื่อปีที่แล้ว จากประมาณการเดิมที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 7.4 นักวิเคราะห์กล่าวว่าภาวะเงินเฟ้อใน
ภูมิภาคเอเซียใกล้ถึงจุดสูงสุด ดังนั้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคน่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวลง(รอยเตอร์)
2. การควบคุมการขยายตัวด้านการลงทุนของจีนเป็นนโยบายเร่งด่วนเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ สำนักข่าว Xinhua
เปิดเผยคำกล่าวของประธานาธิบดีจีน (Hu Jintao) เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี โดยจะมี
การควบคุมการขยายตัวของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากความร้อนแรงของภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ เป็นการกล่าว
หลังจากที่ ธ.กลางจีนประกาศปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของ ธพ. เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 5 สัปดาห์ ซึ่งเป็นความพยายามล่าสุด
ในการลดความร้อนแรงของการขยายตัวด้านการลงทุนที่เกรงกันว่าจะก่อให้เกิดความไม่สมดุลของภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีจีนได้
กล่าวในการประชุม ครม.ที่ผ่านมาเกี่ยวกับปัญหาและความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินนโยบายที่สำคัญ ซึ่งได้แก่การที่รัฐบาลต้องควบคุมสินเชื่อ
และจำกัดขอบเขตการขยายตัวด้านการลงทุนในอุตสาหกรรม อนึ่ง เศรษฐกิจจีนในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 49 ขยายตัวเหนือความคาดหมายร้อยละ
11.3 เทียบต่อปี โดยมีสาเหตุหลักจากการขยายตัวของการลงทุนและการส่งออก ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนในช่วงครึ่งแรกของปีขยาย
ตัวร้อยละ 29.8 เทียบต่อปี ขณะที่ยอดเกินดุลการค้าในช่วง 6 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 55 เทียบต่อปี (รอยเตอร์)
3. จีดีพีของเกาหลีใต้ในไตรมาส 2 ปีนี้ขยายตัวต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี รายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่
25 ก.ค.49 ธ.กลางเกาหลีใต้คาดการณ์ว่า ตัวเลขที่ปรับตามฤดูกาลแล้วสำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในช่วงเดือน เม.ย. —
มิ.ย.49 จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.8 (ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่มีการขยายตัวร้อยละ 0.5 ในไตรมาสแรกปี 48)เทียบกับไตรมาสแรก
ที่ขยายตัวร้อยละ 1.2 ขณะที่ค่าเฉลี่ยของผลสำรวจความคิดเห็นสำนักข่าวรอยเตอร์ที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 0.9 โดยการลงทุนในภาคการก่อสร้าง
ลดลงอย่างมากเหลือร้อยละ 3.9 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่มีการขยายตัวร้อยละ 6.3 ในไตรมาส 2 ปี 41 ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่เป็น
ปัจจัยสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งนี้ ภาคการก่อสร้างที่อ่อนตัวลงค่อนข้างอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยและมีความ
สำคัญอย่างยิ่งต่อการบริโภคภายในประเทศ ทั้งนี้ การใช้จ่ายในภาคการก่อสร้างคิดเป็น 1 ใน 5 ของจีดีพีรายปีของเกาหลีใต้ และเป็นภาค
เศรษฐกิจที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากผู้ดำเนินธุรกิจก่อสร้างต้องอาศัยเงินกู้ในช่วงที่โครงการยังอยู่ในระหว่าง
การก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางคนยังคงคาดการณ์ว่า ธ.กลางเกาหลีใต้อาจจะปรับขึ้นเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยเรียกเก็บข้ามคืน
อย่างน้อย 1 ครั้ง ในปีนี้ หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 4 ครั้ง นับตั้งแต่เดือน ต.ค.48 เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และหาก
เทียบต่อปีจีดีพีในไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ 5.3 สูงกว่าปีก่อน เทียบกับค่าเฉลี่ยที่คาดการณ์กันไว้ที่ร้อยละ 5.5 ขณะที่ก่อนหน้านี้ทั้ง
ธ.กลางเกาหลีใต้และ ก.คลัง ได้ปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจลงสำหรับช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อย่างไรก็ตาม ธ.กลางเกาหลีใต้ยังคง
ประมาณการเติบโตทางเศรษฐิจของทั้งปี 49 ไว้ที่ร้อยละ 5.0 ขณะที่ ก.คลังปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.1 (รอยเตอร์)
4. คาดว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.49 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ
24 ก.ค.49 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.49
จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 เทียบต่อเดือน สู’งสุดนับตั้งแต่ที่ขยายตัวร้อยละ 18.2 ในแดือน ก.พ.49 โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่
2 หลังจากที่เคยชะลอตัวในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบต่อปี คาดว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 สูงกว่าเดือน
ก่อนหน้าซึ่งขยายตัวร้อยละ 10.6 โดยมีสาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตผลิตภัณฑ์ยาและอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ทางการสิงคโปร์จะเปิดเผย
ข้อมูลอย่างเป็นทางการในวันพุธนี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 25 ก.ค. 49 24 ก.ค. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อม
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.008 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.8213/38.1130 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.14563 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 683.76/ 14.79 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,100/11,200 11,100/11,200 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 69.61 68.44 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 11 ก.ค. 49 30.19*/27.94* 30.19*/27.94* 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ระบุเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินในไตรมาส 2 ปี 49 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 1.1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ
ชะลอตัวลง ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)
ของสถาบันการเงินในไตรมาส 2 ของปีนี้ว่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งเป็นไปตามที่ ธปท. และ ธพ.ได้คาดการณ์
ไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ เอ็นพีแอลสถาบันการเงินเดือน มิ.ย.49 มีจำนวน 484,701.70 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.2 ของสินเชื่อ เพิ่มขึ้นจากเดือน
มี.ค.ที่อยู่ที่ระดับ 473,000.81 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.97 หรือเพิ่มขึ้น 11,700.89 ล้านบาท สำหรับเป้าหมายลดเอ็นพีแอลให้เหลือร้อยละ
2.0 ภายในกลางปี 50 นั้น จะลดลงตามเป้าหมายที่วางไว้ได้หรือไม่ ต้องคอยดูแนวโน้มเอ็นพีแอลต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อน (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, บ้านเมือง, มติชน, แนวหน้า)
2. ธปท.ร่วมมือกับ สปป.ลาวเพื่อประโยชน์ต่อการค้าและการลงทุน รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว เมื่อ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อ
ดำรงกรอบความร่วมมือในบันทึกความเข้าใจที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ปี 46 เพื่อประโยชน์ต่อการค้าการลงทุนของทั้ง 2 ประเทศ โดยในปีนี้ ธปท.ได้
ลงนามความตกลงกับ ธ.กลางในอินโดจีนเป็นฉบับที่ 3 ประกอบด้วย กัมพูชา เวียดนาม และลาว (มติชน)
3. ก.คลังเตรียมศึกษาการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ ธ.ทหารไทย รมว.คลัง เปิดเผยว่า 1 ใน 2 แนวทางที่ ก.คลังศึกษาเรื่องการซื้อหุ้น
เพิ่มทุนของ ธ.ทหารไทย คือ กองทุนรวมวายุภักษ์ จะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มในสัดส่วนที่ ก.คลังต้องซื้อทั้งหมดประมาณ 3,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่
ระหว่างการหารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ ส่วนแนวทางที่ 2 นั้นยังไม่สามารถ
เปิดเผยได้ ขณะที่ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การเพิ่มทุนของ ธ.ทหารไทยเป็นเรื่องที่
ธนาคารสามารถจัดการได้เอง ไม่จำเป็นต้องเข้ามาหารือกับ ธปท. โดยจะสามารถเพิ่มทุนได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้นเดิมและผู้ถือหุ้นรายใหม่ว่า
ต้องการลงทุนในหุ้นของธนาคารหรือไม่ และขึ้นกับกรรมการและผู้ถือหุ้นของธนาคารว่าจะอนุมัติการเพิ่มทุนอย่างไร (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, เดลินิวส์, แนวหน้า)
4. ตลท.คาดกำไรของ บจ.ในปีนี้อาจโตได้ในระดับร้อยละ 10 เท่านั้น ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(ตลท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ทำให้ บจ.มีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น
ประกอบกับการลงทุนของภาคเอกชนที่ชะลอลงจากปัจจัยทางการเมือง อาจทำให้กำไรของ บจ.ในปีนี้โตได้ในระดับร้อยละ 10 เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่า
ที่เคยประมาณการไว้ที่ร้อยละ 20 (กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์)
5. ผลกำไรจากเงินลงทุนของ ธพ.ในครึ่งแรกปี 49 ลดลงร้อยละ 41 จากการรวบรวมข้อมูลผลประกอบการของกลุ่ม ธพ.ที่แจ้งมา
ยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งรายงานผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปีนี้ ในส่วนของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยพบว่า จากตัวเลข
ผลประกอบการงวดสิ้นสุด 30 มิ.ย.49 ธพ.14 แห่งมีกำไรจากเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 1.69 พัน ล.บาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ
40.82 จาก 2.86 พัน ล.บาท แต่ในจำนวนดังกล่าวมี 5 ธนาคารที่มีกำไรเพิ่มขึ้น โดยธนาคารที่มีกำไรจากเงินลงทุนลดลงสูงสุด ได้แก่
ธ.สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) รองลงมา คือ ธ.ทหารไทย ธ.ยูโอบี รัตนสิน ธ.ธนชาต ธ.นครหลวงไทย ธ.กรุงเทพ
ธ.กสิกรไทย ธ.ไทยธนาคาร และ ธ.ไทยพาณิชย์ (กรุงเทพธุรกิจ)
6. นักลงทุนต่างประเทศห่วงสถานการณ์การเมืองไทย ประธานหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจ
ความเห็นของหอการค้าต่างประเทศ 27 หอการค้า มีสมาชิก 9,000 บริษัท พบว่า นักลงทุนมีความเป็นห่วงสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่ชัดเจน
ในไทย เนื่องจากมีรัฐบาลรักษาการยาวนาน ส่งผลให้เกิดการชะลอโครงการสำคัญโดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจคท์ ทำให้หลายประเทศ
สงสัยว่า จะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ รวมทั้งไม่สามารถตัดสินใจจัดทำ งปม.รายจ่ายประจำปี 50 ทำให้เกิดความชะงักงัน ซึ่งทำให้โครงการต่าง ๆ
ชะลอออกไปกว่า 3-5 เดือน และทำให้การเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ต้องหยุดชะงัก ส่งผลกระทบเชิงลบต่อไทย นอกจากนี้นักลงทุน
ยังเป็นห่วงเรื่องแรงงานไทยที่มีฝีมือน้อยลง โดยเฉพาะวิศวกรและโปรแกรมเมอร์ ขณะเดียวกันค่าจ้างแรงงานไทยก็สูงกว่า เมื่อเทียบกับประเทศ
คู่แข่ง เช่น เวียดนาม และรัฐบาลไทยจัดสรรเงิน งปม.ในการวิจัยและพัฒนาค่อนข้างน้อย ดังนั้น รัฐบาลควรเพิ่ม งปม.ให้ได้ประมาณร้อยละ
1 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) เพื่อสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน เวียดนาม และอินเดียได้ เนื่องจากมีนักลงทุนต่างประเทศ
ได้ย้ายฐานการผลิตออกจากไทย เช่น ซีเกท เป็นต้น (เดลินิวส์, บ้านเมือง, สยามรัฐ, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังภาวะเงินเฟ้อในแถบเอเซียจะชะลอลง รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 49 นาย
Rob Subbaraman นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Lehman Brothers เปิดเผยว่า ในเดือน มิ.ย. ภาวะเงินเฟ้อของประเทศส่วนใหญ่ในเอเซีย
ชะลอตัวลง ทำให้คาดว่าภาวะเงินเฟ้อช่วงครึ่งหลังปีนี้จะชะลอลงอย่างต่อเนื่อง จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค หลังจากที่ภาวะเงินเฟ้อ
ในช่วงครึ่งแรกปีนี้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเซียได้เปิดเผยตัวเลขภาวะเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ไว้ รวมทั้งคาดว่าการเติบโต
ทางเศรษฐกิจจะชะลอลงส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลง แม้ว่าบางประเทศอาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และฮ่องกง ภาวะเงินเฟ้อในเดือน มิ.ย.
จะเร่งตัวขึ้นก็ตาม แต่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าในอนาคตจะบรรเทาลงอยู่ในระดับปานกลาง ยกเว้นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ในเอเซียซึ่งได้แก่
จีน และอินเดีย และหากไม่นับรวมราคาน้ำมัน เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง และจะยังคงอยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ไปอีกในช่วงครึ่งหลังปีนี้หาก
เศรษฐกิจในภูมิภาคชะลอตัวลง ทั้งนี้ Lehman Brothers ได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเซียยกเว้น
ญี่ปุ่นในปีนี้ลงอยู่ที่ร้อยละ 7.2 เท่ากับเมื่อปีที่แล้ว จากประมาณการเดิมที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 7.4 นักวิเคราะห์กล่าวว่าภาวะเงินเฟ้อใน
ภูมิภาคเอเซียใกล้ถึงจุดสูงสุด ดังนั้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคน่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวลง(รอยเตอร์)
2. การควบคุมการขยายตัวด้านการลงทุนของจีนเป็นนโยบายเร่งด่วนเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ สำนักข่าว Xinhua
เปิดเผยคำกล่าวของประธานาธิบดีจีน (Hu Jintao) เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี โดยจะมี
การควบคุมการขยายตัวของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากความร้อนแรงของภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ เป็นการกล่าว
หลังจากที่ ธ.กลางจีนประกาศปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของ ธพ. เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 5 สัปดาห์ ซึ่งเป็นความพยายามล่าสุด
ในการลดความร้อนแรงของการขยายตัวด้านการลงทุนที่เกรงกันว่าจะก่อให้เกิดความไม่สมดุลของภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีจีนได้
กล่าวในการประชุม ครม.ที่ผ่านมาเกี่ยวกับปัญหาและความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินนโยบายที่สำคัญ ซึ่งได้แก่การที่รัฐบาลต้องควบคุมสินเชื่อ
และจำกัดขอบเขตการขยายตัวด้านการลงทุนในอุตสาหกรรม อนึ่ง เศรษฐกิจจีนในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 49 ขยายตัวเหนือความคาดหมายร้อยละ
11.3 เทียบต่อปี โดยมีสาเหตุหลักจากการขยายตัวของการลงทุนและการส่งออก ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนในช่วงครึ่งแรกของปีขยาย
ตัวร้อยละ 29.8 เทียบต่อปี ขณะที่ยอดเกินดุลการค้าในช่วง 6 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 55 เทียบต่อปี (รอยเตอร์)
3. จีดีพีของเกาหลีใต้ในไตรมาส 2 ปีนี้ขยายตัวต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี รายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่
25 ก.ค.49 ธ.กลางเกาหลีใต้คาดการณ์ว่า ตัวเลขที่ปรับตามฤดูกาลแล้วสำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในช่วงเดือน เม.ย. —
มิ.ย.49 จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.8 (ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่มีการขยายตัวร้อยละ 0.5 ในไตรมาสแรกปี 48)เทียบกับไตรมาสแรก
ที่ขยายตัวร้อยละ 1.2 ขณะที่ค่าเฉลี่ยของผลสำรวจความคิดเห็นสำนักข่าวรอยเตอร์ที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 0.9 โดยการลงทุนในภาคการก่อสร้าง
ลดลงอย่างมากเหลือร้อยละ 3.9 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่มีการขยายตัวร้อยละ 6.3 ในไตรมาส 2 ปี 41 ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่เป็น
ปัจจัยสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งนี้ ภาคการก่อสร้างที่อ่อนตัวลงค่อนข้างอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยและมีความ
สำคัญอย่างยิ่งต่อการบริโภคภายในประเทศ ทั้งนี้ การใช้จ่ายในภาคการก่อสร้างคิดเป็น 1 ใน 5 ของจีดีพีรายปีของเกาหลีใต้ และเป็นภาค
เศรษฐกิจที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากผู้ดำเนินธุรกิจก่อสร้างต้องอาศัยเงินกู้ในช่วงที่โครงการยังอยู่ในระหว่าง
การก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางคนยังคงคาดการณ์ว่า ธ.กลางเกาหลีใต้อาจจะปรับขึ้นเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยเรียกเก็บข้ามคืน
อย่างน้อย 1 ครั้ง ในปีนี้ หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 4 ครั้ง นับตั้งแต่เดือน ต.ค.48 เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และหาก
เทียบต่อปีจีดีพีในไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ 5.3 สูงกว่าปีก่อน เทียบกับค่าเฉลี่ยที่คาดการณ์กันไว้ที่ร้อยละ 5.5 ขณะที่ก่อนหน้านี้ทั้ง
ธ.กลางเกาหลีใต้และ ก.คลัง ได้ปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจลงสำหรับช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อย่างไรก็ตาม ธ.กลางเกาหลีใต้ยังคง
ประมาณการเติบโตทางเศรษฐิจของทั้งปี 49 ไว้ที่ร้อยละ 5.0 ขณะที่ ก.คลังปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.1 (รอยเตอร์)
4. คาดว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.49 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ
24 ก.ค.49 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.49
จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 เทียบต่อเดือน สู’งสุดนับตั้งแต่ที่ขยายตัวร้อยละ 18.2 ในแดือน ก.พ.49 โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่
2 หลังจากที่เคยชะลอตัวในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบต่อปี คาดว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 สูงกว่าเดือน
ก่อนหน้าซึ่งขยายตัวร้อยละ 10.6 โดยมีสาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตผลิตภัณฑ์ยาและอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ทางการสิงคโปร์จะเปิดเผย
ข้อมูลอย่างเป็นทางการในวันพุธนี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 25 ก.ค. 49 24 ก.ค. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อม
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.008 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.8213/38.1130 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.14563 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 683.76/ 14.79 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,100/11,200 11,100/11,200 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 69.61 68.44 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 11 ก.ค. 49 30.19*/27.94* 30.19*/27.94* 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--