วันนี้(11 ม.ค.49)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าข้อตกลงเขตการค้าเสรี หรือ FTA ซึ่งขณะนี้มีการเจรจาเพื่อจะนำไปสู่การลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย — สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการเจรจาครั้งที่ 6 แต่ครั้งนี้ปรากฏว่ามีผู้คัดค้านยื่น ข้อเสนอ จนกระทั่งเมื่อวานนี้ก็มีหลายเหตุการณ์ซึ่งนำไปสู่การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้คัดค้าน ซึ่งเรื่องของข้อตกลงเขตการค้าเสรี เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะหลังเหตุผลนั้น ตนคิดว่าทุกคนคงจะต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเศรษฐกิจของทุกประเทศต้องการที่จะมีโอกาสในการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจของประเทศอื่น ๆ ในโลกมากขึ้น ถ้าเรามีการค้าขาย ถ้าเรามีการแลกเปลี่ยนการลงทุนมากขึ้น โอกาสของการเติบโตทางเศรษฐกิจก็มีมากขึ้น เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วในระบบเศรษฐกิจเสรีหรือว่าจะเรียกว่าระบบเศรษฐกิจทุนนิยมก็ได้ ความพยายามในการที่จะให้ประเทศต่าง ๆ ค้าขายกันอย่างเสรีมากขึ้น ก็มีมาโดยตลอด องค์กรหลักที่ทำหน้าที่ในการผลักดันให้การค้ามีความเสรีก็คือ องค์กรการค้าโลกซึ่งเป็นองค์กร ที่ตั้งขึ้นมา หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีข้อตกลงทั่วไปที่เรียกว่า แกตต์ หรือจะเป็นองค์กรการค้าโลก หรือ WTO องค์กรเหล่านี้จะเป็นผู้กำหนดกติกาการค้าเสรีสำหรับโลกทั้งโลก ปัจจุบันนี้การเจรจาเพื่อเปิดการค้าเสรีในระดับโลกก็ยังคงดำเนินการไป แต่ว่าปัญหาในการเจรจาการค้าในระดับโลก
ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ตกลงกันยาก เพราะมีสมาชิกหลายประเทศ และที่สำคัญต้องเป็นความเห็นที่เป็นเอกฉันท์ เพราะฉะนั้นระยะหลังหลายประเทศซึ่งอยากจะเร่งในเรื่องของการค้าเสรีก็จึงได้ใช้วิธีการอื่น ๆ ในการผลักดันให้เกิดการค้าเสรีขึ้น เช่น หลายประเทศก็จะรวมกลุ่มกัน ทำเป็นเขตเศรษฐกิจเสรี เขตการค้าเสรีต่าง ๆ
‘เราเห็นการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจอย่างเช่นในยุโรปที่เราเรียกว่า สหภาพยุโรป เราก็มีเขตการค้าเสรีที่เกิดขึ้นในระดับภูมิภาคต่าง ๆ เช่นในอเมริกาเหนือก็มี นาฟต้า (NAFTA) รวมทั้งในอาเซียนของเราเองก็มีการผลักดันเขตการค้าเสรีอาเซียนที่เรียกว่าอาฟต้า (AFTA) แต่เท่านั้นไม่พอครับ’นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า แม้แต่การขับเคลื่อนเรื่องเขตการค้าเสรีระดับภูมิภาค ระยะหลังจะไปค่อนข้างช้า เพราะฉะนั้นในหลายประเทศก็เริ่มไปเจรจากับประเทศคู่ค้า เป็นคู่ ๆ ที่เรียกว่าข้อตกลงทวิภาคี ว่าถ้าเปิดตลาดให้กับประเทศคู่ค้า ประเทศนั้นก็ต้องเปิดตลาดเพื่อแลกเปลี่ยนข้อเสนอกัน เพราะฉะนั้นหลายประเทศเดินหน้าทำเรื่องนี้อย่างมาก ไม่เว้นประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศในอาเซียนอื่น ๆ ในระบบเศรษฐกิจของโลก รัฐบาลเองก็มีแนวคิดในเรื่องนี้ จึงได้มีการผลักดันในเรื่องเขตการค้าเสรีมาเป็นนโยบายและดำเนินการมาในช่วงระยะเวลา 3 — 4 ปีที่ผ่านมา
“ ผมและพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้คัดค้านในเรื่องของการค้าเสรี เราก็มองเห็นว่าถ้าสามารถที่จะเปิดโอกาสให้เศรษฐกิจไทย นักธุรกิจไทย คนไทย สามารถเข้าถึงตลาดอื่น ๆ ได้มากขึ้นหรือแม้กระทั่งเปิดโอกาสให้บางประเทศเข้ามา ส่งสินค้าเข้ามาในประเทศไทย เป็นการกระตุ้นการแข่งขัน สิ่งเหล่านี้ไม่ไช่เรื่องที่ผิด สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แล้วก็เราสามารถที่จะได้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรี” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเวลาที่ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับและไม่ควรปฏิเสธ คือว่ามีทั้งสิ่งที่ได้ประโยชน์และสิ่งที่เสียประโยชน์ เพราะฉะนั้นในทุกข้อตกลง 2 ฝ่ายจะต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน ส่วนปัญหาของประเทศไทย คือ ที่ผ่านมารัฐบาลผลักดันนโยบายและดำเนินการในเรื่องนี้ในลักษณะซึ่งไม่ได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูล หรือรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ข้อตกลงที่คิดว่า ดีที่สุด สำหรับประเทศ และ เพื่อที่ว่าเมื่อลงนามในข้อตกลงแล้ว ประเทศไทยสามารถที่จะมีมาตรการที่จะรองรับข้อตกลงที่เกิดขึ้นเพราะบางกลุ่มก็ต้องมีการเตรียมตัวเพื่อจะได้ประโยชน์สูงกับการที่จะได้ตลาดใหม่เข้ามาและแน่นอนบางกลุ่มที่เสียประโยชน์ ต้องดูแลคนเหล่านั้นว่าจะสามารถมีการปรับตัวได้อย่างไร
“เราจะเห็นได้ชัดกรณีของข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่ได้ทำไปแล้ว คือกรณีของจีน อินเดีย นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย นะครับ ผลปรากฎอย่างหนึ่งก็คือว่าในภาพรวมของการค้ากับประเทศเหล่านี้กลับกลายเป็นว่าหลังจากมีข้อตกลงเหล่านี้ ภาวะการณ์ขาดดุลการค้ากลับมีมากขึ้นซึ่งอันนี้เป็นตัวหนึ่งที่บ่งบอกว่าเราต้องระมัดระวัง การขาดดุลตรงนี้ก็อาจจะเป็นตัวหนึ่งที่สะท้อนความได้เปรียบ เสียเปรียบ ตัวเลขอาจจะมีการโต้แย้งกันบ้าง แต่ว่าอย่างน้อยที่สุด ก็ไม่ได้มีตรงไหนที่มีความชัดเจนว่าตรงไหนที่เราได้ดุลมากขึ้น’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ในหลายกรณีคนที่ได้ประโยชน์กับคนที่เสียประโยชน์ ไม่มีความสมดุลย์กันเท่าไหร่ มีเสียงวิจารณ์กันมาก ว่าคนที่ได้ประโยชน์จากข้อตกลงของเขตการค้าเสรีเหล่านี้อาจจะเป็นคนกลุ่มน้อย ซึ่งอยู่ในธุรกิจซึ่งมีฐานะที่ดีอยู่แล้ว หรือเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถได้ประโยชน์จากข้อตกลงที่ไปทำมา ในขณะที่ผู้เสียประโยชน์ในกรณีของจีน ชัดเจนที่สุดก็คือเกษตรกรภาคเหนือ ที่ปลูกหอม กระเทียม และผู้ที่ต้องแข่งขันกับผลไม้ทั้งหลายที่ต้องนำเข้ามาจากประเทศจีน
‘เราก็จะเห็นว่าได้เข้ามามากมาย คนเหล่านั้นตั้งตัวไม่ทันไม่ได้ทราบมาก่อนว่าจะต้องเจอกับปัญหาที่เกิดจากข้อตกลงเขตการค้าเสรี แล้วก็ไม่ได้มีมาตรการที่รองรับจากภาครัฐที่จะเข้าไปช่วยเหลือที่จะให้คนเหล่านี้มีเวลาหรือมีช่องทาง หรือมีทรัพยากรที่จะปรับตัวถ้าเราเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะเอาผลประโยชน์ของเขาไปแลกกับการที่ได้ตลาดในธุรกิจที่ผูกขาด ตรงนั้นควรจะเป็นบทเรียนของการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีครั้งต่อ ๆ ไป’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่รัฐบาลชุดปัจจุบัน กลับเข้ามารับตำแหน่งอีกครั้งหนึ่งและได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตนได้เป็นคนนำเสนอว่า เรื่อง FTA หรือข้อตกลงเขตการค้าเสรี เราเข้าใจถึงเป้าหมายและประโยชน์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ขณะเดียวกันก็เรียกร้องว่า ดีที่สุดก็คือว่ารัฐบาลจะต้องดูแลว่าการเจรจานั้น ฝ่ายต่าง ๆ ที่มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วม และขณะเดียวกันต้องการที่จะให้มีการเตรียมการมาตรการล่วงหน้า กรณีที่เกิดผลกระทบเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าข้อตกลงเหล่านี้ เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจริง และมีความโปร่งใส เพราะว่าการที่รัฐบาลไปตกลงเพียงฝ่ายเดียว ก็หมายความว่าเลือกได้ที่จะเอาประโยชน์ให้ใคร และให้ใครเสียประโยชน์
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า กรณีของการเจรจากับสหรัฐอเมริกาที่ค่อนข้างจะพิเศษกว่ากรณีอื่น ๆ เพราะการเจรจาของสหรัฐฯ กับประเทศต่าง ๆ หรือข้อตกลงต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ ได้ทำกับประเทศอื่น ๆ จะพบความจริงอย่างหนึ่งว่าข้อเรียกร้องของสหรัฐอเมริกา จะไม่ใช่เรื่องขอให้ลดภาษีในเรื่องของสินค้าต่าง ๆ ในการนำเข้า
ซึ่งเป็นสาระหลักของข้อตกลงเขตการค้าเสรี เพราะข้อตกลงดังกล่าวต้องการให้นักลงทุน นักธุรกิจของเขาสามารถที่จะมาประกอบกิจการต่าง ๆ ในประเทศอย่าง เช่นประเทศไทยได้มากขึ้น และต้องการที่จะคุ้มครองอุตสาหกรรมที่เติบโตของเขา อาจจะเป็นในเรื่องของยา อาจจะเป็นในเรื่องของธุรกิจบันเทิงต่าง ๆ เพราะฉะนั้นก็จะมาเรียกร้องในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา
“ปัญหาตรงนี้จึงเกิดขึ้น หมายถึงว่าเวลาประเทศไทยไปเจรจา ถ้าไปยอมในเงื่อนไขเหล่านี้เราจะต้องมีการกติกาของเรา แก้ไขกฎหมายเช่นถ้าจะไปอนุญาตให้เขามาประกอบกิจการในเรื่องของการเงิน เราก็ต้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน สถาบันการเงินของเรา ที่จะอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจได้ถ้าเราจะไปยอมเขาในเรื่องของการที่จะคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในมาตรฐานที่สูงกว่าที่องค์กรการค้าโลกได้กำหนดเอาไว้ นั่นหมายความว่าเราก็ต้องไปแก้ไขกฎหมาย อาจจะเป็นกฎหมายสิทธิ์บัตร อาจจะเป็นกฎหมายลิขสิทธิ์ อาจจะเป็นกฎหมายเครื่องหมายทางการค้า หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา ประเด็นก็คือว่าการแก้ไขกฎหมายหรือการเปลี่ยนแปลงระบบดังกล่าวนี้ เราไม่อาจไปยินยอมให้เฉพาะกับสหรัฐฯ ได้ จะเห็นภาพว่า เวลาสหรัฐฯ เจรจากับเรา แล้วเราอยากจะไปสมมติว่าส่งสินค้าบางตัวออกไปให้เขาลดภาษีให้เราได้ลดภาษีเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ แต่ถ้าเราแก้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา แก้กฎหมายเรื่องของการประกอบธุรกิจของชาวต่างด้าว เราต้องเปิดให้ทุกประเทศ อันนี้ก็เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลควรจะต้องฉุกคิดว่าการจะไปแลกเปลี่ยนผลประโยชน์อะไร จะคิดง่าย ๆ เฉพาะในส่วนของสหรัฐฯ ไม่ได้แล้วเพราะข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ กินลึกในเรื่องของการเปิดตลาด” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่าผลกระทบในเรื่องของสหรัฐฯ เป็นเรื่องมากกว่าเรื่องของการแลกเปลี่ยนสินค้าเรื่องของสิทธิบัตร สิ่งที่เป็นความห่วงใยของหมู่คนจำนวนมาก ขณะนี้ก็คือเรื่องของการคุ้มครองสิทธิบัตรยา ซึ่งถ้าหากว่าไปคุ้มครองในมาตรฐานที่สูงมาก จะเกิดปัญหาตามมาก็คือว่าคนไทยจะต้องซื้อยาในราคาแพง คนไทยจะไม่มีโอกาสได้ผลิตยาบางตัวในราคาถูกหลังจากที่มีเงื่อนไขที่อนุญาตให้ผลิตสิ่งเหล่านั้นได้
“วันนี้หลายคนเป็นห่วงนะครับ มันไม่ใช่เฉพาะโรคใดโรคหนึ่งนะครับ อย่างเช่นเอดส์ ที่เป็นที่ห่วงใยกันอยู่แล้วแต่เชื่อเหลือเกินว่าแนวโน้มของโรคระบาด หรือโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นมา จะเป็นไข้หวัดนก จะเป็นโรคอื่น ไปจนถึงเรื่องของการคิดค้นวัคซีนหรือยาใหม่ ๆ ถ้าหากเราจะต้องคุ้มครองผู้คิดค้นยาเหล่านี้ให้สิทธิบัตรซึ่งมีการคุ้มครองที่เข้มงวดกว่ามาตรฐานของโลกนั่นหมายความว่าเราก็จะสูญเสียโอกาสและก็จะมีความเสี่ยงที่จะทำให้คนไทยต้องใช้ยาแพง หรือมีปัญหาในเรื่องของการขาดแคลนยาซึ่งเจ้าของสิทธิบัตรจะเป็นผู้ที่ควบคุมได้อย่างนี้เป็นต้น ธุรกิจทางด้านบริการ ธุรกิจทางด้านการเงิน หรือธุรกิจทางด้านอะไรก็ตาม เช่นเดียวกันครับมีคำถามมากมายว่าเรามีความพร้อมหรือไม่ ที่สำคัญก็คือว่าแม้แต่สิ่งที่เราคาดหวังจะได้ เช่น เราอยากจะส่งสินค้าเกษตรออกไปยังสหรัฐอเมริกา เราก็จะพบความจริงอย่างหนึ่งว่าสหรัฐอเมริกาเองนั้นวิธีการที่แข่งขันทำให้สินค้าเกษตรของเขาแข่งขันได้มันไม่ใช่เรื่องของภาษีที่เก็บจากการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศแต่เขามีระบบในเรื่องการอุดหนุนภายในเพราะเขามีงบประมาณมหาศาลที่ทุ่มไปตรงนี้ ซึ่งตรงนั้นเราก็ไปเรียกร้องสหรัฐฯ ให้แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะสหรัฐฯ ถือเป็นเรื่องภายในของเขา เพราะฉะนั้นปัญหาเหล่านี้เป็นข้อห่วงใยที่ยื่นอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ของชาติ ผลประโยชน์ระยะยาว และกลุ่มคนจำนวนมากที่จะได้รับผลกระทบไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ว่าเกษตรกรจะไปแข่งขันได้จริงหรือไม่” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นาย อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังดูอย่างใกล้ชิด ว่ากระบวนการของการทำข้อตกลงของสหรัฐ เนื่องจากมีประเด็นเหล่านี้แล้วเป็นกระบวนการซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 224 กำหนดไว้ว่าหนังสือสัญญาใด ๆ ที่ไปมีผลให้ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะฉะนั้นถ้าดูประเด็นที่คาดว่า ต้องใช้คำว่าคาดว่า เพราะไม่มีใครได้มีโอกาสเห็นชัดเจนว่าสหรัฐฯ เรียกร้องอะไรบ้าง อันนี้ดูจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่สหรัฐฯ ทำกับทุกประเทศแล้วก็เอกสารที่พอจะได้เคยเห็นบ้างจากการเจรจา ประเด็นเหล่านี้นำไปสู่การแก้ไขกฎหมาย แก้ไขพระราชบัญญัติ ก็ต้องนำเข้าสภาตามมาตรา 224 จะไปใช้วิธีการอย่างที่เคยทำกับข้อตกลงอื่น ๆ ไม่ได้ ข้อตกลงเหล่านั้นก็เป็นข้อตกลงซึ่งไม่ได้ผลในทางแก้ไขกฎหมายก็ตามความในมาตรา 224 ก็อาจจะไม่ต้องนำเข้าขอความเห็นชอบจากรัฐสภา น่าสนใจกว่านั้นก็คือว่าในซีกของสหรัฐฯ ในหลายประเทศ เวลาเขาเจรจาเรื่องเหล่านี้เขาจะมีกระบวนการที่ดีมากเช่นสหรัฐฯ เป็นต้น ก่อนจะเริ่มเจรจากับใคร แม้แต่ประเทศไทย ทั้ง ๆ ที่สหรัฐฯ เป็นมหาอำนาจน่าจะได้เปรียบการเจรจา กระบวนการยังต้องผ่านสภาเพื่อบอกว่ากรอบการเจรจาเรื่องอะไรบ้าง
“ทางรัฐบาลอาจจะบอกว่ากฎหมายของเราไม่ได้บังคับ แต่ไม่มีอะไรห้ามไม่ให้รัฐบาลนำเรื่องเหล่านี้มาปรึกษา ผ่านกลไกของรัฐสภาหรือสร้างกลไกอื่น ๆ ในการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบ เราไม่ได้มีความคิดว่าเราทุกคนต้องมารู้ถึงความลับในการเจรจานะครับ แต่ว่าการได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันเป็นการภายในซึ่งเป็นทางฝ่ายอื่น ๆ ประเทศอื่น ๆ เขาทำ เป็นสิ่งที่รัฐบาลน่าจะทำด้วยความโปร่งใส มิเช่นนั้นก็มีข้อกังวลว่ารัฐบาลกำลังไปทำข้อตกลงที่เสียเปรียบ ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ที่ไม่โปร่งใส และอาจจะไปเอื้อประโยชน์ให้คนเพียงกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ดังนั้นขณะนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์และทางฝ่ายค้านเองก็อยากจะเรียกร้องครับ ให้รัฐบาลถ้ายังยืนยันในการที่จะเดินหน้าเจรจาทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับสหรัฐฯ ทำให้ถูกต้อง ทำให้โปร่งใส เปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ เปิดโอกาสให้คนมีส่วนร่วมและที่สำคัญครับ คือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนที่จะไปทำข้อตกลง สหรัฐฯ เขารีบร้อนเพราะว่าในกระบวนการทางการเมืองภายในของเขา ฝ่ายบริหารเขาไปขอใช้อำนาจพิเศษจากสภาเอาไว้ครับ ว่าถ้าสามารถที่จะทำข้อตกลงนี้คือมาตกลงกับเราได้ภายในปีนี้ แล้วเขาเสนอต่อสภาได้ภายในครึ่งปีแรกของปีหน้า จะมีอำนาจพิเศษคือให้สภาพิจารณาข้อตกลงโดยรวม ไม่มีการแก้ไข ไม่อนุญาตให้สภาเข้ามาแก้ไข แต่ถ้าพ้นวันตรงนั้นแล้ว ทางรัฐสภาสหรัฐเองก็สามารถแก้ไขได้ เพราะฉะนั้นฝ่ายบริหารของเขาเองก็ต้องรีบร้อน แต่นั้นเป็นเรื่องภายในของเขาครับ ไม่ควรนำมาเป็นเงื่อนเวลาที่คอยผูกมัดกับไทย และเราก็ควรที่จะยืนยันที่จะเจรจาบนผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เอง วันนี้ก็จะมีผู้แทนของพรรคครับ ที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทางฝ่ายสหรัฐด้วย ผมได้ขอให้ทางท่านส.ส. เกียรติ สิทธีอมร ส.ส.กรณ์ จาติกวนิช คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ได้ไปเจรจาพูดคุยแลกเปลี่ยนในเชิงข้อมูลกับทางสหรัฐฯ แล้วตั้งใจครับว่าหลังจากที่ได้ข้อมูลวันนี้ต้องการที่จะแสดงจุดยืนของพรรคอยากให้สหรัฐฯ ได้รับทราบถึงข้อกังวลของประชาชนคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของกระบวนการของการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะให้ประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับคนไทย และก็ไม่ให้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีไปเอื้อให้คนบางกลุ่ม หรือไปสร้างปัญหาในระยะยาวที่จะไปกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคยา ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร หรือไม่ว่าจะเป็นในอีกหลาย ๆ ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบจากการทำข้อตกลงอันนี้.” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 11 ม.ค. 2549--จบ--
ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ตกลงกันยาก เพราะมีสมาชิกหลายประเทศ และที่สำคัญต้องเป็นความเห็นที่เป็นเอกฉันท์ เพราะฉะนั้นระยะหลังหลายประเทศซึ่งอยากจะเร่งในเรื่องของการค้าเสรีก็จึงได้ใช้วิธีการอื่น ๆ ในการผลักดันให้เกิดการค้าเสรีขึ้น เช่น หลายประเทศก็จะรวมกลุ่มกัน ทำเป็นเขตเศรษฐกิจเสรี เขตการค้าเสรีต่าง ๆ
‘เราเห็นการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจอย่างเช่นในยุโรปที่เราเรียกว่า สหภาพยุโรป เราก็มีเขตการค้าเสรีที่เกิดขึ้นในระดับภูมิภาคต่าง ๆ เช่นในอเมริกาเหนือก็มี นาฟต้า (NAFTA) รวมทั้งในอาเซียนของเราเองก็มีการผลักดันเขตการค้าเสรีอาเซียนที่เรียกว่าอาฟต้า (AFTA) แต่เท่านั้นไม่พอครับ’นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า แม้แต่การขับเคลื่อนเรื่องเขตการค้าเสรีระดับภูมิภาค ระยะหลังจะไปค่อนข้างช้า เพราะฉะนั้นในหลายประเทศก็เริ่มไปเจรจากับประเทศคู่ค้า เป็นคู่ ๆ ที่เรียกว่าข้อตกลงทวิภาคี ว่าถ้าเปิดตลาดให้กับประเทศคู่ค้า ประเทศนั้นก็ต้องเปิดตลาดเพื่อแลกเปลี่ยนข้อเสนอกัน เพราะฉะนั้นหลายประเทศเดินหน้าทำเรื่องนี้อย่างมาก ไม่เว้นประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศในอาเซียนอื่น ๆ ในระบบเศรษฐกิจของโลก รัฐบาลเองก็มีแนวคิดในเรื่องนี้ จึงได้มีการผลักดันในเรื่องเขตการค้าเสรีมาเป็นนโยบายและดำเนินการมาในช่วงระยะเวลา 3 — 4 ปีที่ผ่านมา
“ ผมและพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้คัดค้านในเรื่องของการค้าเสรี เราก็มองเห็นว่าถ้าสามารถที่จะเปิดโอกาสให้เศรษฐกิจไทย นักธุรกิจไทย คนไทย สามารถเข้าถึงตลาดอื่น ๆ ได้มากขึ้นหรือแม้กระทั่งเปิดโอกาสให้บางประเทศเข้ามา ส่งสินค้าเข้ามาในประเทศไทย เป็นการกระตุ้นการแข่งขัน สิ่งเหล่านี้ไม่ไช่เรื่องที่ผิด สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แล้วก็เราสามารถที่จะได้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรี” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเวลาที่ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับและไม่ควรปฏิเสธ คือว่ามีทั้งสิ่งที่ได้ประโยชน์และสิ่งที่เสียประโยชน์ เพราะฉะนั้นในทุกข้อตกลง 2 ฝ่ายจะต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน ส่วนปัญหาของประเทศไทย คือ ที่ผ่านมารัฐบาลผลักดันนโยบายและดำเนินการในเรื่องนี้ในลักษณะซึ่งไม่ได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูล หรือรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ข้อตกลงที่คิดว่า ดีที่สุด สำหรับประเทศ และ เพื่อที่ว่าเมื่อลงนามในข้อตกลงแล้ว ประเทศไทยสามารถที่จะมีมาตรการที่จะรองรับข้อตกลงที่เกิดขึ้นเพราะบางกลุ่มก็ต้องมีการเตรียมตัวเพื่อจะได้ประโยชน์สูงกับการที่จะได้ตลาดใหม่เข้ามาและแน่นอนบางกลุ่มที่เสียประโยชน์ ต้องดูแลคนเหล่านั้นว่าจะสามารถมีการปรับตัวได้อย่างไร
“เราจะเห็นได้ชัดกรณีของข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่ได้ทำไปแล้ว คือกรณีของจีน อินเดีย นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย นะครับ ผลปรากฎอย่างหนึ่งก็คือว่าในภาพรวมของการค้ากับประเทศเหล่านี้กลับกลายเป็นว่าหลังจากมีข้อตกลงเหล่านี้ ภาวะการณ์ขาดดุลการค้ากลับมีมากขึ้นซึ่งอันนี้เป็นตัวหนึ่งที่บ่งบอกว่าเราต้องระมัดระวัง การขาดดุลตรงนี้ก็อาจจะเป็นตัวหนึ่งที่สะท้อนความได้เปรียบ เสียเปรียบ ตัวเลขอาจจะมีการโต้แย้งกันบ้าง แต่ว่าอย่างน้อยที่สุด ก็ไม่ได้มีตรงไหนที่มีความชัดเจนว่าตรงไหนที่เราได้ดุลมากขึ้น’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ในหลายกรณีคนที่ได้ประโยชน์กับคนที่เสียประโยชน์ ไม่มีความสมดุลย์กันเท่าไหร่ มีเสียงวิจารณ์กันมาก ว่าคนที่ได้ประโยชน์จากข้อตกลงของเขตการค้าเสรีเหล่านี้อาจจะเป็นคนกลุ่มน้อย ซึ่งอยู่ในธุรกิจซึ่งมีฐานะที่ดีอยู่แล้ว หรือเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถได้ประโยชน์จากข้อตกลงที่ไปทำมา ในขณะที่ผู้เสียประโยชน์ในกรณีของจีน ชัดเจนที่สุดก็คือเกษตรกรภาคเหนือ ที่ปลูกหอม กระเทียม และผู้ที่ต้องแข่งขันกับผลไม้ทั้งหลายที่ต้องนำเข้ามาจากประเทศจีน
‘เราก็จะเห็นว่าได้เข้ามามากมาย คนเหล่านั้นตั้งตัวไม่ทันไม่ได้ทราบมาก่อนว่าจะต้องเจอกับปัญหาที่เกิดจากข้อตกลงเขตการค้าเสรี แล้วก็ไม่ได้มีมาตรการที่รองรับจากภาครัฐที่จะเข้าไปช่วยเหลือที่จะให้คนเหล่านี้มีเวลาหรือมีช่องทาง หรือมีทรัพยากรที่จะปรับตัวถ้าเราเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะเอาผลประโยชน์ของเขาไปแลกกับการที่ได้ตลาดในธุรกิจที่ผูกขาด ตรงนั้นควรจะเป็นบทเรียนของการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีครั้งต่อ ๆ ไป’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่รัฐบาลชุดปัจจุบัน กลับเข้ามารับตำแหน่งอีกครั้งหนึ่งและได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตนได้เป็นคนนำเสนอว่า เรื่อง FTA หรือข้อตกลงเขตการค้าเสรี เราเข้าใจถึงเป้าหมายและประโยชน์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ขณะเดียวกันก็เรียกร้องว่า ดีที่สุดก็คือว่ารัฐบาลจะต้องดูแลว่าการเจรจานั้น ฝ่ายต่าง ๆ ที่มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วม และขณะเดียวกันต้องการที่จะให้มีการเตรียมการมาตรการล่วงหน้า กรณีที่เกิดผลกระทบเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าข้อตกลงเหล่านี้ เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจริง และมีความโปร่งใส เพราะว่าการที่รัฐบาลไปตกลงเพียงฝ่ายเดียว ก็หมายความว่าเลือกได้ที่จะเอาประโยชน์ให้ใคร และให้ใครเสียประโยชน์
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า กรณีของการเจรจากับสหรัฐอเมริกาที่ค่อนข้างจะพิเศษกว่ากรณีอื่น ๆ เพราะการเจรจาของสหรัฐฯ กับประเทศต่าง ๆ หรือข้อตกลงต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ ได้ทำกับประเทศอื่น ๆ จะพบความจริงอย่างหนึ่งว่าข้อเรียกร้องของสหรัฐอเมริกา จะไม่ใช่เรื่องขอให้ลดภาษีในเรื่องของสินค้าต่าง ๆ ในการนำเข้า
ซึ่งเป็นสาระหลักของข้อตกลงเขตการค้าเสรี เพราะข้อตกลงดังกล่าวต้องการให้นักลงทุน นักธุรกิจของเขาสามารถที่จะมาประกอบกิจการต่าง ๆ ในประเทศอย่าง เช่นประเทศไทยได้มากขึ้น และต้องการที่จะคุ้มครองอุตสาหกรรมที่เติบโตของเขา อาจจะเป็นในเรื่องของยา อาจจะเป็นในเรื่องของธุรกิจบันเทิงต่าง ๆ เพราะฉะนั้นก็จะมาเรียกร้องในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา
“ปัญหาตรงนี้จึงเกิดขึ้น หมายถึงว่าเวลาประเทศไทยไปเจรจา ถ้าไปยอมในเงื่อนไขเหล่านี้เราจะต้องมีการกติกาของเรา แก้ไขกฎหมายเช่นถ้าจะไปอนุญาตให้เขามาประกอบกิจการในเรื่องของการเงิน เราก็ต้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน สถาบันการเงินของเรา ที่จะอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจได้ถ้าเราจะไปยอมเขาในเรื่องของการที่จะคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในมาตรฐานที่สูงกว่าที่องค์กรการค้าโลกได้กำหนดเอาไว้ นั่นหมายความว่าเราก็ต้องไปแก้ไขกฎหมาย อาจจะเป็นกฎหมายสิทธิ์บัตร อาจจะเป็นกฎหมายลิขสิทธิ์ อาจจะเป็นกฎหมายเครื่องหมายทางการค้า หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา ประเด็นก็คือว่าการแก้ไขกฎหมายหรือการเปลี่ยนแปลงระบบดังกล่าวนี้ เราไม่อาจไปยินยอมให้เฉพาะกับสหรัฐฯ ได้ จะเห็นภาพว่า เวลาสหรัฐฯ เจรจากับเรา แล้วเราอยากจะไปสมมติว่าส่งสินค้าบางตัวออกไปให้เขาลดภาษีให้เราได้ลดภาษีเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ แต่ถ้าเราแก้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา แก้กฎหมายเรื่องของการประกอบธุรกิจของชาวต่างด้าว เราต้องเปิดให้ทุกประเทศ อันนี้ก็เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลควรจะต้องฉุกคิดว่าการจะไปแลกเปลี่ยนผลประโยชน์อะไร จะคิดง่าย ๆ เฉพาะในส่วนของสหรัฐฯ ไม่ได้แล้วเพราะข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ กินลึกในเรื่องของการเปิดตลาด” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่าผลกระทบในเรื่องของสหรัฐฯ เป็นเรื่องมากกว่าเรื่องของการแลกเปลี่ยนสินค้าเรื่องของสิทธิบัตร สิ่งที่เป็นความห่วงใยของหมู่คนจำนวนมาก ขณะนี้ก็คือเรื่องของการคุ้มครองสิทธิบัตรยา ซึ่งถ้าหากว่าไปคุ้มครองในมาตรฐานที่สูงมาก จะเกิดปัญหาตามมาก็คือว่าคนไทยจะต้องซื้อยาในราคาแพง คนไทยจะไม่มีโอกาสได้ผลิตยาบางตัวในราคาถูกหลังจากที่มีเงื่อนไขที่อนุญาตให้ผลิตสิ่งเหล่านั้นได้
“วันนี้หลายคนเป็นห่วงนะครับ มันไม่ใช่เฉพาะโรคใดโรคหนึ่งนะครับ อย่างเช่นเอดส์ ที่เป็นที่ห่วงใยกันอยู่แล้วแต่เชื่อเหลือเกินว่าแนวโน้มของโรคระบาด หรือโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นมา จะเป็นไข้หวัดนก จะเป็นโรคอื่น ไปจนถึงเรื่องของการคิดค้นวัคซีนหรือยาใหม่ ๆ ถ้าหากเราจะต้องคุ้มครองผู้คิดค้นยาเหล่านี้ให้สิทธิบัตรซึ่งมีการคุ้มครองที่เข้มงวดกว่ามาตรฐานของโลกนั่นหมายความว่าเราก็จะสูญเสียโอกาสและก็จะมีความเสี่ยงที่จะทำให้คนไทยต้องใช้ยาแพง หรือมีปัญหาในเรื่องของการขาดแคลนยาซึ่งเจ้าของสิทธิบัตรจะเป็นผู้ที่ควบคุมได้อย่างนี้เป็นต้น ธุรกิจทางด้านบริการ ธุรกิจทางด้านการเงิน หรือธุรกิจทางด้านอะไรก็ตาม เช่นเดียวกันครับมีคำถามมากมายว่าเรามีความพร้อมหรือไม่ ที่สำคัญก็คือว่าแม้แต่สิ่งที่เราคาดหวังจะได้ เช่น เราอยากจะส่งสินค้าเกษตรออกไปยังสหรัฐอเมริกา เราก็จะพบความจริงอย่างหนึ่งว่าสหรัฐอเมริกาเองนั้นวิธีการที่แข่งขันทำให้สินค้าเกษตรของเขาแข่งขันได้มันไม่ใช่เรื่องของภาษีที่เก็บจากการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศแต่เขามีระบบในเรื่องการอุดหนุนภายในเพราะเขามีงบประมาณมหาศาลที่ทุ่มไปตรงนี้ ซึ่งตรงนั้นเราก็ไปเรียกร้องสหรัฐฯ ให้แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะสหรัฐฯ ถือเป็นเรื่องภายในของเขา เพราะฉะนั้นปัญหาเหล่านี้เป็นข้อห่วงใยที่ยื่นอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ของชาติ ผลประโยชน์ระยะยาว และกลุ่มคนจำนวนมากที่จะได้รับผลกระทบไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ว่าเกษตรกรจะไปแข่งขันได้จริงหรือไม่” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นาย อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังดูอย่างใกล้ชิด ว่ากระบวนการของการทำข้อตกลงของสหรัฐ เนื่องจากมีประเด็นเหล่านี้แล้วเป็นกระบวนการซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 224 กำหนดไว้ว่าหนังสือสัญญาใด ๆ ที่ไปมีผลให้ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะฉะนั้นถ้าดูประเด็นที่คาดว่า ต้องใช้คำว่าคาดว่า เพราะไม่มีใครได้มีโอกาสเห็นชัดเจนว่าสหรัฐฯ เรียกร้องอะไรบ้าง อันนี้ดูจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่สหรัฐฯ ทำกับทุกประเทศแล้วก็เอกสารที่พอจะได้เคยเห็นบ้างจากการเจรจา ประเด็นเหล่านี้นำไปสู่การแก้ไขกฎหมาย แก้ไขพระราชบัญญัติ ก็ต้องนำเข้าสภาตามมาตรา 224 จะไปใช้วิธีการอย่างที่เคยทำกับข้อตกลงอื่น ๆ ไม่ได้ ข้อตกลงเหล่านั้นก็เป็นข้อตกลงซึ่งไม่ได้ผลในทางแก้ไขกฎหมายก็ตามความในมาตรา 224 ก็อาจจะไม่ต้องนำเข้าขอความเห็นชอบจากรัฐสภา น่าสนใจกว่านั้นก็คือว่าในซีกของสหรัฐฯ ในหลายประเทศ เวลาเขาเจรจาเรื่องเหล่านี้เขาจะมีกระบวนการที่ดีมากเช่นสหรัฐฯ เป็นต้น ก่อนจะเริ่มเจรจากับใคร แม้แต่ประเทศไทย ทั้ง ๆ ที่สหรัฐฯ เป็นมหาอำนาจน่าจะได้เปรียบการเจรจา กระบวนการยังต้องผ่านสภาเพื่อบอกว่ากรอบการเจรจาเรื่องอะไรบ้าง
“ทางรัฐบาลอาจจะบอกว่ากฎหมายของเราไม่ได้บังคับ แต่ไม่มีอะไรห้ามไม่ให้รัฐบาลนำเรื่องเหล่านี้มาปรึกษา ผ่านกลไกของรัฐสภาหรือสร้างกลไกอื่น ๆ ในการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบ เราไม่ได้มีความคิดว่าเราทุกคนต้องมารู้ถึงความลับในการเจรจานะครับ แต่ว่าการได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันเป็นการภายในซึ่งเป็นทางฝ่ายอื่น ๆ ประเทศอื่น ๆ เขาทำ เป็นสิ่งที่รัฐบาลน่าจะทำด้วยความโปร่งใส มิเช่นนั้นก็มีข้อกังวลว่ารัฐบาลกำลังไปทำข้อตกลงที่เสียเปรียบ ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ที่ไม่โปร่งใส และอาจจะไปเอื้อประโยชน์ให้คนเพียงกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ดังนั้นขณะนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์และทางฝ่ายค้านเองก็อยากจะเรียกร้องครับ ให้รัฐบาลถ้ายังยืนยันในการที่จะเดินหน้าเจรจาทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับสหรัฐฯ ทำให้ถูกต้อง ทำให้โปร่งใส เปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ เปิดโอกาสให้คนมีส่วนร่วมและที่สำคัญครับ คือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนที่จะไปทำข้อตกลง สหรัฐฯ เขารีบร้อนเพราะว่าในกระบวนการทางการเมืองภายในของเขา ฝ่ายบริหารเขาไปขอใช้อำนาจพิเศษจากสภาเอาไว้ครับ ว่าถ้าสามารถที่จะทำข้อตกลงนี้คือมาตกลงกับเราได้ภายในปีนี้ แล้วเขาเสนอต่อสภาได้ภายในครึ่งปีแรกของปีหน้า จะมีอำนาจพิเศษคือให้สภาพิจารณาข้อตกลงโดยรวม ไม่มีการแก้ไข ไม่อนุญาตให้สภาเข้ามาแก้ไข แต่ถ้าพ้นวันตรงนั้นแล้ว ทางรัฐสภาสหรัฐเองก็สามารถแก้ไขได้ เพราะฉะนั้นฝ่ายบริหารของเขาเองก็ต้องรีบร้อน แต่นั้นเป็นเรื่องภายในของเขาครับ ไม่ควรนำมาเป็นเงื่อนเวลาที่คอยผูกมัดกับไทย และเราก็ควรที่จะยืนยันที่จะเจรจาบนผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เอง วันนี้ก็จะมีผู้แทนของพรรคครับ ที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทางฝ่ายสหรัฐด้วย ผมได้ขอให้ทางท่านส.ส. เกียรติ สิทธีอมร ส.ส.กรณ์ จาติกวนิช คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ได้ไปเจรจาพูดคุยแลกเปลี่ยนในเชิงข้อมูลกับทางสหรัฐฯ แล้วตั้งใจครับว่าหลังจากที่ได้ข้อมูลวันนี้ต้องการที่จะแสดงจุดยืนของพรรคอยากให้สหรัฐฯ ได้รับทราบถึงข้อกังวลของประชาชนคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของกระบวนการของการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะให้ประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับคนไทย และก็ไม่ให้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีไปเอื้อให้คนบางกลุ่ม หรือไปสร้างปัญหาในระยะยาวที่จะไปกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคยา ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร หรือไม่ว่าจะเป็นในอีกหลาย ๆ ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบจากการทำข้อตกลงอันนี้.” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 11 ม.ค. 2549--จบ--