1. การผลิต
ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 4.1 และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 0.7 ขณะที่ทั้งปี 2548 มีการผลิตเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1 โดยเป็นผลจากปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลต่อการผลิต การบริโภค และการส่งออก เช่น ปัญหาการเพิ่มขึ้นของค่าระวางเรือและค่าขนส่งอันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก และปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรลดปริมาณลง สำหรับการผลิตในแต่ละกลุ่ม มีดังนี้
ปศุสัตว์ การระบาดของโรคไข้หวัดนกในประเทศเริ่มคลี่คลาย ส่งผลต่อภาพรวมของกลุ่ม มีการผลิตในไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 0.3 และเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 6.4 อุตสาหกรรมการผลิตไก่สดแช่เย็นแช่แข็งทั้งปี 2548 ผลิตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 1 ทำให้ภาพรวมทั้งปี 2548 ในหมวดปศุสัตว์มีการผลิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 2.2
ผักผลไม้แปรรูป ในไตรมาสที่ 4 มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 53.4 และเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 7.0 แต่ปัญหาภัยแล้งทำให้เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบ ทำให้ภาพรวมทั้งปี 2548 มีการผลิตลดลงร้อยละ 3.3 โดยสินค้าสำคัญ คือ สับปะรดกระป๋องมีการผลิตลดลงร้อยละ 7.6
น้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ ธัญพืชและแป้ง และน้ำมันพืช ก็ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเช่นกัน ทำให้ภาพรวมทั้งปีมีการผลิตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 34.2 15.3 และร้อยละ 3.8 ตามลำดับ
ประมง ถึงแม้จะมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการผลิตในช่วงไตรมาสที่ 4 คือ สหรัฐฯ ประกาศไม่ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดสินค้ากุ้ง โดยยังให้ผู้ส่งออกต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันในมูลค่ากุ้งร้อยละ 100 และภาษีทุ่มตลาดโดยเฉลี่ยร้อยละ 5.5 (เรียกเก็บเช่นเดียวกันกับประเทศจีน เวียตนาม อินเดีย) แต่เมื่อพิจารณาอัตราภาษีที่ของสหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทยยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง ประกอบกับการประกาศคืนสิทธิ์ GSP ในสินค้าประมงของสหภาพยุโรป ทำให้สินค้าในกลุ่มมีการผลิตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 14.9 จากการผลิตเพิ่มขึ้นของกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 37.5 และปลาทูน่ากระป๋องร้อยละ 21.7
นอกจากนี้การผลิตในสินค้าหมวดอื่นๆ ได้แก่ หมวดผลิตภัณฑ์นม มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 และหมวดอาหารสัตว์ มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและตลาดภายในประเทศที่ยังคงมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลต่อการบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งพิจารณาได้จากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในรูปปริมาณและมูลค่าของวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปในกลุ่มสัตว์น้ำแช่เย็นแช่แข็งและกึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ ปลาทูน่า กุ้ง และสัตว์น้ำอื่นๆ โดยปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16
2. การตลาด
-การจำหน่ายในประเทศ
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ภาวะการจำหน่ายในประเทศโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหารลดลงจาก
ไตรมาสก่อนและปีก่อนเล็กน้อย คือ ร้อยละ 1.2 และ 2.9 (ไม่รวมน้ำตาล) โดยทั้งปี 2548 การจำหน่ายในประเทศลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 0.9 เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลโดยตรงกับต้นทุนการผลิตและการขนส่ง และผลักดันให้ภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ประกอบกับข่าวการระบาดของไข้หวัดนกที่มีอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะไม่รุนแรงเหมือนปีก่อน แต่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคด้านจิตวิทยา นอกจากนี้ระดับราคาสินค้าบริโภคได้ปรับเพิ่มขึ้นตามการปรับตัวของราคาวัตถุดิบ เช่น เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ เครื่องเทศเครื่องปรุงรส และน้ำตาลทราย โดยสินค้าอาหารที่มีการจำหน่ายในประเทศลดลง ได้แก่ หมวดประมง ร้อยละ 13.9 น้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 10.4 ผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ 8.2 ธัญพืชและแป้ง ร้อยละ 4.0 น้ำมันพืช ร้อยละ 0.9 และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ร้อยละ 6.4 สำหรับสินค้าอาหารในหมวดอื่นๆ ที่มีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ได้แก่ หมวดผักผลไม้ ร้อยละ 17.0 หมวดปศุสัตว์ ร้อยละ 1.0 และอาหารสัตว์สำเร็จรูป ร้อยละ 0.5
-การส่งออก
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ภาวะการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมข้าว) มีการเปลี่ยนแปลงลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 9.2 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 2.4 ขณะที่ทั้งปี 2548 การส่งออกมีมูลค่าทั้งสิ้น 318,528 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 7.5 ทั้งนี้สินค้าอาหารส่วนใหญ่สามารถส่งออกในมูลค่าที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าในกลุ่มอาหารทะเลแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปในภาพรวมขยายตัวร้อยละ 10.1 สินค้าในกลุ่มส่งออกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เช่น กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 16.3 ปลาทูน่ากระป๋อง ร้อยละ 24.5 และปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 13.6 เป็นผลจากการคืนสิทธิ์ GSP ของสหภาพยุโรป และการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งจากสหรัฐฯ ในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง สินค้าในกลุ่มผักผลไม้แปรรูป พบว่าในภาพรวมมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกประเภทสินค้าประมาณร้อยละ 5.1-22.1 เป็นผลจากระดับราคาที่เพิ่มขึ้น และเป็นผลจากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับจีน ตลอดจนการผลักดันการควบคุมการผลิตที่เน้นคุณภาพและตรวจสอบสารตกค้างอย่างเข้มงวด ในส่วนของสินค้าปศุสัตว์มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการส่งออกจากไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง เป็นไก่แปรรูป เช่น ไก่ทอดเป็นชิ้น (คาราเกะ) ไก่เสียบไม้ย่าง (เทอริยากิ) และชิ้นส่วนไก่อื่นๆ ทอดและแปรรูป ทำให้ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.4 และ 32.4 ตามลำดับ ประกอบกับสหภาพยุโรปหันมานำเข้าไก่จากไทยแทนบราซิลและยุโรปตะวันออกจากข่าวการระบาดของไข้หวัดนก นอกจากนี้สินค้ากลุ่มธัญพืชและแป้ง ในภาพรวมมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.3 โดยสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์ข้าวและข้าวสาลี มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 และ 35.4 ส่วนมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ มีปริมาณและมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 23.2 และ 1.4 เนื่องจากประสบปัญหาภัยแล้งทำให้วัตถุดิบขาดแคลนในบางช่วงเวลาส่งผลต่อระดับราคาที่เพิ่มขึ้น และยังกระทบต่อการผลิตเอทานอลที่ต้องเปิดให้นำเข้าจากต่างประเทศ สำหรับน้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ การผลิตก็ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเช่นกัน มีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 9.4 เนื่องจากระดับราคาตลาดโลกสูงขึ้น ประกอบกับ สินค้าที่ใช้ทดแทนกัน เช่น หัวบีทและข้าวฟ่างหวาน มีปริมาณมากขึ้น ทำให้บางประเทศในสหภาพยุโรปหันไปใช้แทน ส่วนสินค้าอาหารอื่นๆ เช่น นมและผลิตภัณฑ์ สิ่งปรุงรสอาหาร ซุปและอาหารปรุงแต่ง มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงรสอาหารร้อยละ 15.9 และนมปละผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ 7 แต่ก็มีสินค้าอาหารที่ ส่งออกลดลง ได้แก่ เครื่องเทศและสมุนไพร และไขมันพืชและสัตว์ มีมูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 9.2 และ 24.4 ตามลำดับ
-การนำเข้า
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 การนำเข้าอุตสาหกรรมอาหารมีมูลค่าทั้งสิ้น 58,784.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 3.5 และปีก่อนร้อยละ 16.1 โดยทั้งปี 2548 มีมูลค่านำเข้า 213,463.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 12.2 สำหรับการนำเข้าอุตสาหกรรมอาหารแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค การนำเข้าในแต่ละกลุ่ม มีดังนี้
- กลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (สัดส่วนการนำเข้าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 73 ของการนำเข้าสินค้าอาหาร) โดยไตรมาสที่ 4 มีมูลค่า 44,358.1 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 1.2 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 16.3 โดยทั้งปี 2548 มีมูลค่าทั้งสิ้น 165,241.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 11.6 สินค้าสำคัญที่นำเข้าในกลุ่ม คือ ปลาทูน่าสดแช่เย็นแช่แข็ง ไตรมาสที่ 4 มีปริมาณนำเข้า 198,726 ตัน มูลค่า 8,078.8 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 7.6 และ 13.7 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 25.9 และ 19.3 ขณะที่ทั้งปีมีการนำเข้า 739,010 ตัน มูลค่า 29,747.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 27.6 และ 28.0 ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ เมล็ดพืชน้ำมัน ไตรมาสที่ 4 มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนและปีก่อนร้อยละ 37.9 และ 5.2 แต่ทั้งปีมีการนำเข้าลดลงร้อยละ 1.5 และกากพืชน้ำมัน ไตรมาสที่ 4 มีการนำเข้าลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 23.9 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 35.2 และทั้งปีมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.5 นอกจากนี้สินค้าอื่นๆ ในกลุ่มส่วนใหญ่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเฉลี่ยประมาณร้อยละ 5 - 10
- กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ไตรมาสที่ 4 มีมูลค่า 14,426.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนและปีก่อนร้อยละ 21.5 และ 15.6 โดยทั้งปี 2548 มีมูลค่าทั้งสิ้น 48,222.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 14.4 สินค้าสำคัญที่นำเข้าในกลุ่ม คือ นมและผลิตภัณฑ์ (นมผงประเภทต่างๆ และเนย) ไตรมาสที่ 4 มีปริมาณ นำเข้า 56,565 ตัน มูลค่า 4,620.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 32.4 และ 39.0 และเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 36.1 และ 49.4 ขณะที่ทั้งปีมีการนำเข้า 179,725 ตัน มูลค่า 13,654.6 ล้านบาท ปริมาณนำเข้าลดลงจากปีก่อนร้อยละ 2.4 แต่มูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ผักผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักผลไม้ ไตรมาสที่ 4 นำเข้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนและปีก่อนร้อยละ 35.8 และ 19.6 และทั้งปีมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 และในส่วนเนื้อสัตว์บริโภค ไตรมาสที่ 4 มีการนำเข้าลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 11.7 และลดลงจากปีก่อนร้อยละ 19.4 ทั้งปีมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 นอกจากนี้สินค้าอื่นๆ ในกลุ่มส่วนใหญ่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากกว่าร้อยละ 10
3. นโยบายและมาตรการภาครัฐ
3.1 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอมาตรการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนกเชิงรุก โดยให้ทุกจังหวัดรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการค้นหาโรคไข้หวัดนกในทุกพื้นที่และรายงานผลไปยังกรมปศุสัตว์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทุกวัน ทำความสะอาดและทำลายเชื้อโรคด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่เสี่ยง ควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะไก่ชนและเป็ดไล่ทุ่ง ประชาสัมพันธ์เชิงรุกผ่านสื่อชนิดต่างๆ อย่างกว้างขวางและให้เข้าถึงประชาชนระดับหมู่บ้าน ปรับระบบการเลี้ยงสัตว์ปีก โดยเริ่มใช้กับการปรับระบบการเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งก่อน และให้เข้มงวดในการตรวจ x-ray เป็ดไล่ทุ่ง หากพบเชื้อไข้หวัดนกให้ทำลายทั้งฝูงทันที
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การเลี้ยงสัตว์มิให้มีการเลี้ยงสัตว์หลายชนิด (Species) ภายในบริเวณฟาร์มหรือโรงเรือนเดียวกัน เพื่อป้องกันปัญหาการติดต่อของเชื้อโรคข้ามชนิดสัตว์ (Species) และโอกาสในการกลายพันธุ์ (Mutation) ของเชื้อโรค ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศเตือน
3.2 คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่าย
น้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2548/49 โดยที่ปริมาณผลผลิตอ้อยในฤดูการผลิตปี 2548/49 จะต่ำกว่าประมาณการเป็นจำนวนมากเนื่องจากภาวะภัยแล้ง ประกอบกับต้นทุนการผลิตของเกษตรกรสูงขึ้น อันเนื่องมาจากราคาปุ๋ยเคมีและน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น จึงให้กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิต ปี 2548/49 ในอัตราตันอ้อยละ 800 บาท ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส และให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายรับไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ในกรณีที่ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้น สุดท้ายฤดูการผลิตปีดังกล่าวสูงกว่าราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายพิจารณากำหนดให้นำเงินที่ชาวไร่อ้อยได้รับชำระค่าอ้อยเพิ่มจากโรงงานไปจ่ายคืนให้แก่กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อลดภาระหนี้ของกองทุนด้วย
4. สรุปและแนวโน้ม
แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมอาหารไตรมาสที่ 1 ปี 2549 คาดว่าทั้งภาคการผลิตและการส่งออก
อุตสาหกรรมอาหารจะยังคงทรงตัวหรือขยายตัวเล็กน้อย โดยแนวโน้มในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์สำคัญมี ดังนี้
1) สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋อง เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง และอาหารทะเลแปรรูปมีแนวโน้มผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้น จากปัจจัยด้านต่างประเทศ คือ การได้คืนสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร GSP จากสหภาพยุโรป ประกอบกับการประกาศผลการฟ้องเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดในประเทศสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่คาดการณ์และคู่แข่ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสริมให้ปริมาณการผลิตและการส่งออกกุ้งไทยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการผลิตของสินค้าอาหารทะเลแปรรูป ได้แก่ การขาดแคลนแรงงาน การลดลงของผลผลิตกุ้งจากปริมาณฟาร์มในประเทศลดลง และการขาดแคลนปริมาณวัตถุดิบอย่างต่อเนื่องจากความสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำที่ลดลง
2) สินค้าพืชผักผลไม้แปรรูป สับปะรดกระป๋องและผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้แปรรูปต่างๆ มีแนวโน้มผลิตและส่งออกขยายตัวได้เพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณ แต่ในเชิงมูลค่าอาจจะทรงตัว เนื่องจากราคาสับปะรดมีแนวโน้ม ลดลง จากปริมาณผลผลิตที่คาดว่าจะมีมากขึ้น ประกอบกับประเทศจีนหันมาปลูกลำไยเพิ่มขึ้น และลดการนำเข้าลำไยอบแห้งจากไทยลง
3) สินค้าปศุสัตว์แปรรูป ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง มีแนวโน้มที่จะผลิตและส่งออกในปริมาณและมูลค่าที่ขยายตัวเล็กน้อย และหันไปผลิตในลักษณะไก่แปรรูป โดยเฉพาะไก่ต้มสุกและไก่พร้อมรับประทาน เช่น ไก่คาราเกะ และไก่ปรุงสำเร็จ เพื่อส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดหลัก คือ สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของไข้หวัดนก และความกังวลสารตกค้างที่ตกไปยังผู้บริโภค แต่ไทยยังคงรักษาภาพลักษณ์ของสินค้าไก่ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลในตลาดโลกได้
4) สินค้าแปรรูปจากธัญพืชและแป้ง มีแนวโน้มการผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากวัตถุดิบมีมากขึ้น ซึ่งคาดว่า ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-20 จากการกระจายมันสำปะหลังพันธุ์ดีได้เพิ่มขึ้น และระดับราคาจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการแปรรูปมันสำปะหลังมีความกังวลในเรื่องการขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อรองรับทั้งโรงงานเอทานอลและแป้งมันสำปะหลังในช่วงเวลาเดียวกัน และการเพิ่มระดับราคาประกันหัวมันสำปะหลังสดที่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น
5) สินค้าอื่นๆ เช่น สินค้าน้ำตาลทราย คาดว่าผลผลิตอ้อยจะลดลงจากปัญหาภัยแล้ง แต่ในเชิงราคาจะทรงตัวในระดับที่สูงขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากระดับราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลผลิตอ้อยของประเทศที่สำคัญๆ ได้แก่ บราซิล และออสเตรเลีย มีการแบ่งสัดส่วนไปผลิตเป็นเอทานอลมากขึ้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 4.1 และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 0.7 ขณะที่ทั้งปี 2548 มีการผลิตเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1 โดยเป็นผลจากปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลต่อการผลิต การบริโภค และการส่งออก เช่น ปัญหาการเพิ่มขึ้นของค่าระวางเรือและค่าขนส่งอันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก และปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรลดปริมาณลง สำหรับการผลิตในแต่ละกลุ่ม มีดังนี้
ปศุสัตว์ การระบาดของโรคไข้หวัดนกในประเทศเริ่มคลี่คลาย ส่งผลต่อภาพรวมของกลุ่ม มีการผลิตในไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 0.3 และเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 6.4 อุตสาหกรรมการผลิตไก่สดแช่เย็นแช่แข็งทั้งปี 2548 ผลิตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 1 ทำให้ภาพรวมทั้งปี 2548 ในหมวดปศุสัตว์มีการผลิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 2.2
ผักผลไม้แปรรูป ในไตรมาสที่ 4 มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 53.4 และเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 7.0 แต่ปัญหาภัยแล้งทำให้เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบ ทำให้ภาพรวมทั้งปี 2548 มีการผลิตลดลงร้อยละ 3.3 โดยสินค้าสำคัญ คือ สับปะรดกระป๋องมีการผลิตลดลงร้อยละ 7.6
น้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ ธัญพืชและแป้ง และน้ำมันพืช ก็ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเช่นกัน ทำให้ภาพรวมทั้งปีมีการผลิตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 34.2 15.3 และร้อยละ 3.8 ตามลำดับ
ประมง ถึงแม้จะมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการผลิตในช่วงไตรมาสที่ 4 คือ สหรัฐฯ ประกาศไม่ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดสินค้ากุ้ง โดยยังให้ผู้ส่งออกต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันในมูลค่ากุ้งร้อยละ 100 และภาษีทุ่มตลาดโดยเฉลี่ยร้อยละ 5.5 (เรียกเก็บเช่นเดียวกันกับประเทศจีน เวียตนาม อินเดีย) แต่เมื่อพิจารณาอัตราภาษีที่ของสหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทยยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง ประกอบกับการประกาศคืนสิทธิ์ GSP ในสินค้าประมงของสหภาพยุโรป ทำให้สินค้าในกลุ่มมีการผลิตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 14.9 จากการผลิตเพิ่มขึ้นของกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 37.5 และปลาทูน่ากระป๋องร้อยละ 21.7
นอกจากนี้การผลิตในสินค้าหมวดอื่นๆ ได้แก่ หมวดผลิตภัณฑ์นม มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 และหมวดอาหารสัตว์ มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและตลาดภายในประเทศที่ยังคงมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลต่อการบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งพิจารณาได้จากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในรูปปริมาณและมูลค่าของวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปในกลุ่มสัตว์น้ำแช่เย็นแช่แข็งและกึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ ปลาทูน่า กุ้ง และสัตว์น้ำอื่นๆ โดยปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16
2. การตลาด
-การจำหน่ายในประเทศ
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ภาวะการจำหน่ายในประเทศโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหารลดลงจาก
ไตรมาสก่อนและปีก่อนเล็กน้อย คือ ร้อยละ 1.2 และ 2.9 (ไม่รวมน้ำตาล) โดยทั้งปี 2548 การจำหน่ายในประเทศลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 0.9 เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลโดยตรงกับต้นทุนการผลิตและการขนส่ง และผลักดันให้ภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ประกอบกับข่าวการระบาดของไข้หวัดนกที่มีอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะไม่รุนแรงเหมือนปีก่อน แต่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคด้านจิตวิทยา นอกจากนี้ระดับราคาสินค้าบริโภคได้ปรับเพิ่มขึ้นตามการปรับตัวของราคาวัตถุดิบ เช่น เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ เครื่องเทศเครื่องปรุงรส และน้ำตาลทราย โดยสินค้าอาหารที่มีการจำหน่ายในประเทศลดลง ได้แก่ หมวดประมง ร้อยละ 13.9 น้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 10.4 ผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ 8.2 ธัญพืชและแป้ง ร้อยละ 4.0 น้ำมันพืช ร้อยละ 0.9 และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ร้อยละ 6.4 สำหรับสินค้าอาหารในหมวดอื่นๆ ที่มีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ได้แก่ หมวดผักผลไม้ ร้อยละ 17.0 หมวดปศุสัตว์ ร้อยละ 1.0 และอาหารสัตว์สำเร็จรูป ร้อยละ 0.5
-การส่งออก
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 ภาวะการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมข้าว) มีการเปลี่ยนแปลงลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 9.2 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 2.4 ขณะที่ทั้งปี 2548 การส่งออกมีมูลค่าทั้งสิ้น 318,528 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 7.5 ทั้งนี้สินค้าอาหารส่วนใหญ่สามารถส่งออกในมูลค่าที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าในกลุ่มอาหารทะเลแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปในภาพรวมขยายตัวร้อยละ 10.1 สินค้าในกลุ่มส่งออกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เช่น กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 16.3 ปลาทูน่ากระป๋อง ร้อยละ 24.5 และปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 13.6 เป็นผลจากการคืนสิทธิ์ GSP ของสหภาพยุโรป และการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งจากสหรัฐฯ ในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง สินค้าในกลุ่มผักผลไม้แปรรูป พบว่าในภาพรวมมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกประเภทสินค้าประมาณร้อยละ 5.1-22.1 เป็นผลจากระดับราคาที่เพิ่มขึ้น และเป็นผลจากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับจีน ตลอดจนการผลักดันการควบคุมการผลิตที่เน้นคุณภาพและตรวจสอบสารตกค้างอย่างเข้มงวด ในส่วนของสินค้าปศุสัตว์มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการส่งออกจากไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง เป็นไก่แปรรูป เช่น ไก่ทอดเป็นชิ้น (คาราเกะ) ไก่เสียบไม้ย่าง (เทอริยากิ) และชิ้นส่วนไก่อื่นๆ ทอดและแปรรูป ทำให้ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.4 และ 32.4 ตามลำดับ ประกอบกับสหภาพยุโรปหันมานำเข้าไก่จากไทยแทนบราซิลและยุโรปตะวันออกจากข่าวการระบาดของไข้หวัดนก นอกจากนี้สินค้ากลุ่มธัญพืชและแป้ง ในภาพรวมมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.3 โดยสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์ข้าวและข้าวสาลี มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 และ 35.4 ส่วนมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ มีปริมาณและมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 23.2 และ 1.4 เนื่องจากประสบปัญหาภัยแล้งทำให้วัตถุดิบขาดแคลนในบางช่วงเวลาส่งผลต่อระดับราคาที่เพิ่มขึ้น และยังกระทบต่อการผลิตเอทานอลที่ต้องเปิดให้นำเข้าจากต่างประเทศ สำหรับน้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ การผลิตก็ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเช่นกัน มีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 9.4 เนื่องจากระดับราคาตลาดโลกสูงขึ้น ประกอบกับ สินค้าที่ใช้ทดแทนกัน เช่น หัวบีทและข้าวฟ่างหวาน มีปริมาณมากขึ้น ทำให้บางประเทศในสหภาพยุโรปหันไปใช้แทน ส่วนสินค้าอาหารอื่นๆ เช่น นมและผลิตภัณฑ์ สิ่งปรุงรสอาหาร ซุปและอาหารปรุงแต่ง มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงรสอาหารร้อยละ 15.9 และนมปละผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ 7 แต่ก็มีสินค้าอาหารที่ ส่งออกลดลง ได้แก่ เครื่องเทศและสมุนไพร และไขมันพืชและสัตว์ มีมูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 9.2 และ 24.4 ตามลำดับ
-การนำเข้า
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 การนำเข้าอุตสาหกรรมอาหารมีมูลค่าทั้งสิ้น 58,784.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 3.5 และปีก่อนร้อยละ 16.1 โดยทั้งปี 2548 มีมูลค่านำเข้า 213,463.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 12.2 สำหรับการนำเข้าอุตสาหกรรมอาหารแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค การนำเข้าในแต่ละกลุ่ม มีดังนี้
- กลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (สัดส่วนการนำเข้าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 73 ของการนำเข้าสินค้าอาหาร) โดยไตรมาสที่ 4 มีมูลค่า 44,358.1 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 1.2 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 16.3 โดยทั้งปี 2548 มีมูลค่าทั้งสิ้น 165,241.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 11.6 สินค้าสำคัญที่นำเข้าในกลุ่ม คือ ปลาทูน่าสดแช่เย็นแช่แข็ง ไตรมาสที่ 4 มีปริมาณนำเข้า 198,726 ตัน มูลค่า 8,078.8 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 7.6 และ 13.7 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 25.9 และ 19.3 ขณะที่ทั้งปีมีการนำเข้า 739,010 ตัน มูลค่า 29,747.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 27.6 และ 28.0 ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ เมล็ดพืชน้ำมัน ไตรมาสที่ 4 มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนและปีก่อนร้อยละ 37.9 และ 5.2 แต่ทั้งปีมีการนำเข้าลดลงร้อยละ 1.5 และกากพืชน้ำมัน ไตรมาสที่ 4 มีการนำเข้าลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 23.9 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 35.2 และทั้งปีมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.5 นอกจากนี้สินค้าอื่นๆ ในกลุ่มส่วนใหญ่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเฉลี่ยประมาณร้อยละ 5 - 10
- กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ไตรมาสที่ 4 มีมูลค่า 14,426.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนและปีก่อนร้อยละ 21.5 และ 15.6 โดยทั้งปี 2548 มีมูลค่าทั้งสิ้น 48,222.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 14.4 สินค้าสำคัญที่นำเข้าในกลุ่ม คือ นมและผลิตภัณฑ์ (นมผงประเภทต่างๆ และเนย) ไตรมาสที่ 4 มีปริมาณ นำเข้า 56,565 ตัน มูลค่า 4,620.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 32.4 และ 39.0 และเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 36.1 และ 49.4 ขณะที่ทั้งปีมีการนำเข้า 179,725 ตัน มูลค่า 13,654.6 ล้านบาท ปริมาณนำเข้าลดลงจากปีก่อนร้อยละ 2.4 แต่มูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ผักผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักผลไม้ ไตรมาสที่ 4 นำเข้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนและปีก่อนร้อยละ 35.8 และ 19.6 และทั้งปีมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 และในส่วนเนื้อสัตว์บริโภค ไตรมาสที่ 4 มีการนำเข้าลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 11.7 และลดลงจากปีก่อนร้อยละ 19.4 ทั้งปีมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 นอกจากนี้สินค้าอื่นๆ ในกลุ่มส่วนใหญ่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากกว่าร้อยละ 10
3. นโยบายและมาตรการภาครัฐ
3.1 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอมาตรการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนกเชิงรุก โดยให้ทุกจังหวัดรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการค้นหาโรคไข้หวัดนกในทุกพื้นที่และรายงานผลไปยังกรมปศุสัตว์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทุกวัน ทำความสะอาดและทำลายเชื้อโรคด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่เสี่ยง ควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะไก่ชนและเป็ดไล่ทุ่ง ประชาสัมพันธ์เชิงรุกผ่านสื่อชนิดต่างๆ อย่างกว้างขวางและให้เข้าถึงประชาชนระดับหมู่บ้าน ปรับระบบการเลี้ยงสัตว์ปีก โดยเริ่มใช้กับการปรับระบบการเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งก่อน และให้เข้มงวดในการตรวจ x-ray เป็ดไล่ทุ่ง หากพบเชื้อไข้หวัดนกให้ทำลายทั้งฝูงทันที
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การเลี้ยงสัตว์มิให้มีการเลี้ยงสัตว์หลายชนิด (Species) ภายในบริเวณฟาร์มหรือโรงเรือนเดียวกัน เพื่อป้องกันปัญหาการติดต่อของเชื้อโรคข้ามชนิดสัตว์ (Species) และโอกาสในการกลายพันธุ์ (Mutation) ของเชื้อโรค ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศเตือน
3.2 คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่าย
น้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2548/49 โดยที่ปริมาณผลผลิตอ้อยในฤดูการผลิตปี 2548/49 จะต่ำกว่าประมาณการเป็นจำนวนมากเนื่องจากภาวะภัยแล้ง ประกอบกับต้นทุนการผลิตของเกษตรกรสูงขึ้น อันเนื่องมาจากราคาปุ๋ยเคมีและน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น จึงให้กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิต ปี 2548/49 ในอัตราตันอ้อยละ 800 บาท ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส และให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายรับไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ในกรณีที่ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้น สุดท้ายฤดูการผลิตปีดังกล่าวสูงกว่าราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายพิจารณากำหนดให้นำเงินที่ชาวไร่อ้อยได้รับชำระค่าอ้อยเพิ่มจากโรงงานไปจ่ายคืนให้แก่กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อลดภาระหนี้ของกองทุนด้วย
4. สรุปและแนวโน้ม
แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมอาหารไตรมาสที่ 1 ปี 2549 คาดว่าทั้งภาคการผลิตและการส่งออก
อุตสาหกรรมอาหารจะยังคงทรงตัวหรือขยายตัวเล็กน้อย โดยแนวโน้มในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์สำคัญมี ดังนี้
1) สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋อง เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง และอาหารทะเลแปรรูปมีแนวโน้มผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้น จากปัจจัยด้านต่างประเทศ คือ การได้คืนสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร GSP จากสหภาพยุโรป ประกอบกับการประกาศผลการฟ้องเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดในประเทศสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่คาดการณ์และคู่แข่ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสริมให้ปริมาณการผลิตและการส่งออกกุ้งไทยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการผลิตของสินค้าอาหารทะเลแปรรูป ได้แก่ การขาดแคลนแรงงาน การลดลงของผลผลิตกุ้งจากปริมาณฟาร์มในประเทศลดลง และการขาดแคลนปริมาณวัตถุดิบอย่างต่อเนื่องจากความสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำที่ลดลง
2) สินค้าพืชผักผลไม้แปรรูป สับปะรดกระป๋องและผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้แปรรูปต่างๆ มีแนวโน้มผลิตและส่งออกขยายตัวได้เพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณ แต่ในเชิงมูลค่าอาจจะทรงตัว เนื่องจากราคาสับปะรดมีแนวโน้ม ลดลง จากปริมาณผลผลิตที่คาดว่าจะมีมากขึ้น ประกอบกับประเทศจีนหันมาปลูกลำไยเพิ่มขึ้น และลดการนำเข้าลำไยอบแห้งจากไทยลง
3) สินค้าปศุสัตว์แปรรูป ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง มีแนวโน้มที่จะผลิตและส่งออกในปริมาณและมูลค่าที่ขยายตัวเล็กน้อย และหันไปผลิตในลักษณะไก่แปรรูป โดยเฉพาะไก่ต้มสุกและไก่พร้อมรับประทาน เช่น ไก่คาราเกะ และไก่ปรุงสำเร็จ เพื่อส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดหลัก คือ สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของไข้หวัดนก และความกังวลสารตกค้างที่ตกไปยังผู้บริโภค แต่ไทยยังคงรักษาภาพลักษณ์ของสินค้าไก่ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลในตลาดโลกได้
4) สินค้าแปรรูปจากธัญพืชและแป้ง มีแนวโน้มการผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากวัตถุดิบมีมากขึ้น ซึ่งคาดว่า ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-20 จากการกระจายมันสำปะหลังพันธุ์ดีได้เพิ่มขึ้น และระดับราคาจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการแปรรูปมันสำปะหลังมีความกังวลในเรื่องการขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อรองรับทั้งโรงงานเอทานอลและแป้งมันสำปะหลังในช่วงเวลาเดียวกัน และการเพิ่มระดับราคาประกันหัวมันสำปะหลังสดที่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น
5) สินค้าอื่นๆ เช่น สินค้าน้ำตาลทราย คาดว่าผลผลิตอ้อยจะลดลงจากปัญหาภัยแล้ง แต่ในเชิงราคาจะทรงตัวในระดับที่สูงขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากระดับราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลผลิตอ้อยของประเทศที่สำคัญๆ ได้แก่ บราซิล และออสเตรเลีย มีการแบ่งสัดส่วนไปผลิตเป็นเอทานอลมากขึ้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-