นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้เปิดเผยถึงโครงการจัดตั้ง
กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2549 เมื่อวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2549 ว่าสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้เร่งพิจารณาโครงการกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ควบคู่ไปกับการพิจารณาปรับปรุงระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุทุกรูปแบบ
ทั้งกองทุนประกันสังคม กบข. และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งคณะกรรมการที่ร่วมกันพิจารณา ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักงาน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย สภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย และผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ได้ร่วมกันพิจารณา ภายหลังจากการประชุมกลุ่มย่อยของทีมคณะทำงานมา 2 ครั้งแล้ว เพื่อระดมความคิดเสนอการปรับปรุงระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุทั้งระบบไปพร้อม ๆ กัน โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการดูแลและคำนึงถึงผลประโยชน์เพื่อประโยชน์ของแรงงานเป็นสำคัญ และมีเป้าหมายหลัก คือ การให้แรงงานได้ ออมเงินเพื่อการมีรายได้ในระดับที่เพียงพอในการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีภายหลังเกษียณ นอกจากนี้ เงินออมจะนำมาซึ่งการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ และตลาดทุนของประเทศอีกด้วย
สรุปผลการประชุมคณะกรรมการฯ เห็นชอบในกรอบการพิจารณาโครงสร้างหลัก กบช. เพื่อให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ โดยมี14 องค์ประกอบ ได้แก่ ขอบเขตความครอบคลุมแรงงาน อัตราเงินสะสมและเงินสมทบ การจ่ายผลประโยชน์ทดแทน สิทธิประโยชน์ทางภาษี ระยะเปลี่ยนถ่าย การกำหนดนโยบาย การกำกับดูแล ผู้ดูแลผลประโยชน์กองทุน การบริหารจัดการ การจัดเก็บเงินและการทำฐานข้อมูล
การเคลื่อนย้ายแรงงาน การโอนเงินกองทุน ระบบประกันความเสี่ยง และเทคนิคของการดำเนินการบังคับใช้ซึ่งรายละเอียดได้มอบหมายให้คณะทำงานไปเร่งพิจารณาลงลึกในรายละเอียด เมื่อได้ข้อสรุปจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติเพื่อพิจารณาครั้งต่อไป
สำหรับแนวคิดของกรรมการที่ได้จากการพิจารณาโครงสร้างและหลักการของระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ ซึ่งเป็นโครงการบำเหน็จบำนาญภาคบังคับ บริหารโดยภาครัฐและมีการกำหนดผลประโยชน์ทดแทนไว้แน่นอน คณะกรรมการเห็นว่ากองทุนดังกล่าวควรเป็นกองทุนที่สร้างหลักประกันและความมั่นคงในชีวิต เพื่อให้ประชาชนหรือแรงงานมีรายได้หลังเกษียณอย่างน้อยไม่ให้ตกไปสู่ความยากจน และเสริมด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติของภาคเอกชน และ กบข. ของภาคราชการ ซึ่งเป็นโครงการบำเหน็จบำนาญภาคบังคับเช่นกัน แต่เป็นระบบที่กำหนดอัตราเงินสะสม/สมทบ ของลูกจ้างและนายจ้าง ที่เป็นระบบบัญชีรายตัวสมาชิก เพื่อเพิ่มรายได้หลังเกษียณ ซึ่งเมื่อรวมกับกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพแล้ว ควรอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการดำรงชีพขั้นพื้นฐาน ที่ระดับ 50% ของเงินเดือนเดือนสุดท้าย
สำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ จะเป็นระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุภาคสมัครใจ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ประชาชน หรือแรงงานมีการกินดีอยู่ดี ภายหลังเกษียณ ซึ่งถือเป็นการออมแบบผูกพันที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
นอกจากนี้ การพิจารณาปรับปรุงระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุในภาพรวม ได้ข้อสรุปว่า
กองทุนประกันสังคม ควรจะสร้างความแข็งแกร่งโดยการปรับขยายอายุเกษียณและเพิ่มเพดานเงินเดือนโดยอาศัยดัชนีด้านค่าจ้างเฉลี่ยประชาชาติ สำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพควรปรับปรุงและแก้ไขปัญหาอุปสรรค
ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภาคปฏิบัติ โดยการแก้ไขกฎหมายกองทุน เพื่อส่งเสริมให้แรงงานได้ออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากขึ้นเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น และเห็นว่าทุกกองทุนควรจะอยู่ภายใต้คณะกรรมการนโยบายเงินออมเพื่อการเกษียณอายุ เพื่อให้การกำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขต่าง ๆ มีความชัดเจนสอดคล้องกัน รวมทั้งเพื่อให้การดำเนินการของทุกกองทุนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับรายละเอียดรูปแบบโครงสร้างคณะกรรมการนโยบายเงินออมเพื่อการเกษียณอายุนี้ จะได้มีการพิจารณาต่อไป
โดยในความเห็นส่วนตัว ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคิดว่า น่าจะมีรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เป็นประธาน เนื่องจากมีหลายหน่วยงานนอกเหนือจากกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 14/2549 14 กุมภาพันธ์ 49--
กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2549 เมื่อวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2549 ว่าสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้เร่งพิจารณาโครงการกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ควบคู่ไปกับการพิจารณาปรับปรุงระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุทุกรูปแบบ
ทั้งกองทุนประกันสังคม กบข. และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งคณะกรรมการที่ร่วมกันพิจารณา ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักงาน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย สภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย และผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ได้ร่วมกันพิจารณา ภายหลังจากการประชุมกลุ่มย่อยของทีมคณะทำงานมา 2 ครั้งแล้ว เพื่อระดมความคิดเสนอการปรับปรุงระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุทั้งระบบไปพร้อม ๆ กัน โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการดูแลและคำนึงถึงผลประโยชน์เพื่อประโยชน์ของแรงงานเป็นสำคัญ และมีเป้าหมายหลัก คือ การให้แรงงานได้ ออมเงินเพื่อการมีรายได้ในระดับที่เพียงพอในการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีภายหลังเกษียณ นอกจากนี้ เงินออมจะนำมาซึ่งการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ และตลาดทุนของประเทศอีกด้วย
สรุปผลการประชุมคณะกรรมการฯ เห็นชอบในกรอบการพิจารณาโครงสร้างหลัก กบช. เพื่อให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ โดยมี14 องค์ประกอบ ได้แก่ ขอบเขตความครอบคลุมแรงงาน อัตราเงินสะสมและเงินสมทบ การจ่ายผลประโยชน์ทดแทน สิทธิประโยชน์ทางภาษี ระยะเปลี่ยนถ่าย การกำหนดนโยบาย การกำกับดูแล ผู้ดูแลผลประโยชน์กองทุน การบริหารจัดการ การจัดเก็บเงินและการทำฐานข้อมูล
การเคลื่อนย้ายแรงงาน การโอนเงินกองทุน ระบบประกันความเสี่ยง และเทคนิคของการดำเนินการบังคับใช้ซึ่งรายละเอียดได้มอบหมายให้คณะทำงานไปเร่งพิจารณาลงลึกในรายละเอียด เมื่อได้ข้อสรุปจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติเพื่อพิจารณาครั้งต่อไป
สำหรับแนวคิดของกรรมการที่ได้จากการพิจารณาโครงสร้างและหลักการของระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ ซึ่งเป็นโครงการบำเหน็จบำนาญภาคบังคับ บริหารโดยภาครัฐและมีการกำหนดผลประโยชน์ทดแทนไว้แน่นอน คณะกรรมการเห็นว่ากองทุนดังกล่าวควรเป็นกองทุนที่สร้างหลักประกันและความมั่นคงในชีวิต เพื่อให้ประชาชนหรือแรงงานมีรายได้หลังเกษียณอย่างน้อยไม่ให้ตกไปสู่ความยากจน และเสริมด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติของภาคเอกชน และ กบข. ของภาคราชการ ซึ่งเป็นโครงการบำเหน็จบำนาญภาคบังคับเช่นกัน แต่เป็นระบบที่กำหนดอัตราเงินสะสม/สมทบ ของลูกจ้างและนายจ้าง ที่เป็นระบบบัญชีรายตัวสมาชิก เพื่อเพิ่มรายได้หลังเกษียณ ซึ่งเมื่อรวมกับกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพแล้ว ควรอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการดำรงชีพขั้นพื้นฐาน ที่ระดับ 50% ของเงินเดือนเดือนสุดท้าย
สำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ จะเป็นระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุภาคสมัครใจ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ประชาชน หรือแรงงานมีการกินดีอยู่ดี ภายหลังเกษียณ ซึ่งถือเป็นการออมแบบผูกพันที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
นอกจากนี้ การพิจารณาปรับปรุงระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุในภาพรวม ได้ข้อสรุปว่า
กองทุนประกันสังคม ควรจะสร้างความแข็งแกร่งโดยการปรับขยายอายุเกษียณและเพิ่มเพดานเงินเดือนโดยอาศัยดัชนีด้านค่าจ้างเฉลี่ยประชาชาติ สำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพควรปรับปรุงและแก้ไขปัญหาอุปสรรค
ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภาคปฏิบัติ โดยการแก้ไขกฎหมายกองทุน เพื่อส่งเสริมให้แรงงานได้ออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากขึ้นเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น และเห็นว่าทุกกองทุนควรจะอยู่ภายใต้คณะกรรมการนโยบายเงินออมเพื่อการเกษียณอายุ เพื่อให้การกำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขต่าง ๆ มีความชัดเจนสอดคล้องกัน รวมทั้งเพื่อให้การดำเนินการของทุกกองทุนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับรายละเอียดรูปแบบโครงสร้างคณะกรรมการนโยบายเงินออมเพื่อการเกษียณอายุนี้ จะได้มีการพิจารณาต่อไป
โดยในความเห็นส่วนตัว ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคิดว่า น่าจะมีรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เป็นประธาน เนื่องจากมีหลายหน่วยงานนอกเหนือจากกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 14/2549 14 กุมภาพันธ์ 49--