กราบเรียนท่านประธานที่เคารพกระผมไตรรงค์ สุวรรณคีรี สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้เป็นการพิจารณาเสนองบประมาณกลางปีของรัฐบาล 50,000 ล้านบาท แต่ผมอยากจะกราบเรียนท่านประธานในเบื้องต้นว่าการเสนองบประมาณ 50,000 ล้านบาท ถ้าเพื่อจะถามว่าถูกไหม อาจจะตอบว่าถูก แต่อาจจะถามว่าผิดไหมก็อาจจะบอกได้ว่าผิด ตอบคำหลังก่อนว่าผิดตรงไหนครับ ผิดตรงที่ว่ารัฐบาล แสดงความรัฐบาลประเมินรายได้ผิดพลาด ประเมินรายได้คาดการณ์ล่วงหน้าต่ำกว่าที่มันเป็นจริง แล้วประเมินผิดพลาดถ้าหนเดียวพออภัยได้มัน 2 หนติดกันแล้ว
ปีที่แล้วก็ตั้งงบประมาณกลางปีแสดงความผิดพลาด เรียกว่าประเมินต่ำกว่าความเป็นจริงมาปีนี้ผิดอีก ประเมินผิดพลาดอีกเลยมาขอตั้งงบประมาณกลางปี อย่างนี้เขาเรียกว่าประเมินผิดพลาดขีดความสามารถในการประเมินต่ำ ไม่ใช่เรื่องที่ดีทางวิชาการ ทำไมถึงไม่ใช่เรื่องที่ดี ก็เมื่อผิดพลาดต่ำก็ต้องมาตั้งงบประมาณกลางปีการตั้งงบประมาณกลางปีเป็นการตั้งที่หละหลวมลวก ๆ ไม่เหมือนการตั้งงบประมาณปกติที่จะต้องมีโครงการ มีแผนงาน มีตัวชี้วัดที่รอบครอบกว่า แต่งบประมาณกลางปีมี 2-3 ใบเสนอมา หรือถ้าเป็นบริษัทอย่างที่คุณกรณ์ จาติกวนิช พูดเมื่อสักครู่ไม่มีทางที่เขาจะอนุมัติเสนอ 2-3 ใบ บอร์ดของบริษัทเขาไม่อนุมัติ เพราะว่าเป็นเงินของประชาชนอย่างไรก็ต้องอนุมัติเพราะว่าไม่ใช่เงินของตัวเอง อันนี้ในแง่ที่ว่าผิด
ในแง่ที่ผมพูดว่าทำไมถึงถูก ที่ถูกก็เพราะว่าเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้เศรษฐกิจของโลกซบเซา เศรษฐกิจของโลกตกต่ำ กระทบมาถึงเศรษฐกิจของประเทศไทย การส่งออกก็ตกต่ำ การท่องเที่ยวของเราก็ตกต่ำ ปริมาณเงินในประเทศก็ลดลง ความสามารถในการซื้อก็ลดลง โครงการไปเอาเงินซึ่งรัฐบาลเก็บภาษีไปแล้ว 50,000 กว่าล้าน และเอาใส่กลับมาในระบบเศรษฐกิจอาจจะเป็นผลดีในการรักษาเศรษฐกิจไว้ไม่ให้มันตกต่ำกว่าที่มันจะเป็น แต่มันก็เสี่ยง เสี่ยงในแง่ที่ว่าเงิน 50,000 ล้านเมื่อใส่ในระบบเศรษฐกิจประชาชนอาจจะเอาไปใช้จ่ายในการบริโภคซื้อของต่างประเทศเพื่อเอาไปใช้ในการบริโภคไม่ใช้ในการลงทุน เอาไปซื้อของจากต่างประเทศก็จะทำให้เกิดการขาดดุลการค้า ขาดดุลบัญชัเดินสะพัดมากยิ่งขึ้น กระทบกระเทือนต่อค่าของเงินบาท กระทบการเทือนต่อเสถียรภาพของเงินบาทเป็นการเสี่ยง ซึ่งไม่รู้ว่าจะเสี่ยงไปทำไม
วิธีที่ดีน่าจะทำอย่างที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คุณอภิสิทธิ์แนะนำก็คือเอาไปใช้หนี้ที่เราเป็นหนี้จากกองทุนน้ำมัน 80,000 ล้านดีที่สุด ดีที่สุด อย่างไรก็ตามฝ่ายค้านเสนออย่างนี้ลงมติเราก็แพ้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะดันทุรังกัน แต่ว่าเราก็ต้องเสนอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมจะทำได้ไม่ว่าผมจะเห็นด้วยกับหัวหน้าของผมก็ตาม แต่ผมจะทำได้วันนี้ก็คือว่าผมก็จะเสนอแนะว่าเข้าขั้นแปรญัตติผมก็จะเสนอแนะว่าควรจะทำอย่างไรที่ผมเห็นว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมขอแนะนำอย่างนี้นะครับ
ประเด็นแรกคือว่าเงินสำรองฉุกเฉินที่จะเป็นที่ตั้งไว้ทั้งหมด 1,700 ล้านบาท ทุกคนก็พูดกันเป็นที่รู้กันว่างบสำรองฉุกเฉินและจำเป็นก็เป็นอำนาจของท่านนายกรัฐมนตรีที่จริงตามกฎกณฑ์ก็ต้องปรึกษาสำนักงบประมาณก็รู้ ๆ อยู่ประเทศไทยคนที่สำนักงบประมาณไม่ได้มีความหมายอะไร โดยรัฐบาลที่มีอำนาจมากอย่างรัฐบาลปัจจุบันนี้นายกรัฐมนตรีสั่งการอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น อำนาจของนายกรัฐมนตรีก็สามารถที่จะใช้เงินก้อนนี้ได้ เมื่อท่านนายกสั่งไปสำนักงบประมาณหน่วยราชการต่าง ๆ ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน แต่ว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมันไม่มีตัวชี้วัดว่าเป็นโครงการที่เหมาะสมหรือไม่ที่นายกฯอนุมัติไป อาจจะถูกใจคนที่ได้รับไป แต่อาจจะไม่มีคนที่เหมาะสมก็ได้ เพราะฉะนั้นงบอย่างนี้ควรจะมีน้อยที่สุด เพราะว่าเป็นเงินของประชาชนไม่ใช่เงินของนายกรัฐมนตรี ควรจะมีกรอบในการใช้เหตุใช้ผลให้มากที่สุดในการใช้เงินของแผ่นดิน การใช้ตามอำเภอใจการใช้อำนาจส่วนตัวผมคิดว่าให้น้อยที่สุด
เมื่อข้ามไปขั้นแปรญัตติผมขอเสนอว่าให้ลดก้อนนี้ให้ลงมาและเกลี่ยไปไว้ในอีก 4 ในอีก 4-5 อย่าง ที่เหลือน่าจะดีกว่า ซึ่งผมจะมีเหตุผลในการอธิบายต่อไปนะครับ ข้อที่ 2.คือว่าการตั้งงบประมาณเพิ่มเติมให้กับผู้ว่าซีอีโอพูดง่าย ๆ การตั้งงบประมาณเพิ่มเติมผู้ว่าซีอีโอ 1,500 ล้านบาทเอาไปใช้ตามยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัด และ 15,000 ล้านบาท ผมถาม อันนี้ผมถามหน่อยนะครับว่าโครงการนี้นะโครงการของผู้ว่าซีอีโอแผนงานของโครงการผู้ว่าซีอีโอมันมีประชาชนมีส่วนร่วมตรงไหน ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดอันนี้ผมไม่รู้จริง ๆ ว่ามีส่วนร่วมตรงไหน อันนี้ต้องขอคำอธิบายหน่อย หรือว่าเป็นการรวบรวมโครงการของหน่วยราชการของส่วนภูมิภาค และผู้ว่าก็ไปจัดการตามนั้น และหลักเกณฑ์ในการให้แต่ละจังหวัดเป็นอย่างไร หรือว่าให้ตามหลักของประชากร จังหวัดไหนมีประชากรมากก็ให้มาก จังหวัดไหนมีประชากรน้อยก็ให้น้อย ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรม เพราะบางจังหวัดประชากรมาก แต่ว่าเจริญอยู่แล้วก็ได้มากบางจังหวัดประชากรน้อยแต่ยากจนก็ได้น้อยอย่างนี้อย่างนี้ความเจริญความแตกต่างกับความเจริญของจังหวัดต่าง ๆ ก็ยิ่งห่างออกไปอีก มันควรจะมีหลักว่าที่ใดมีน้อยก็ต้องให้มาก ที่ใดมีมากแล้วก็ต้องให้น้อยหน่อยจะอย่างนี้ก็จะทำให้ความเจริญแคบเข้า
ที่สำคัญคือว่าผมเป็นห่วงว่าในบางจังหวัดที่เราให้ไปโดยเฉพาะจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำลังจะเกษียณอายุผู้ว่าราชการจังหวัดก็จะเอาไปให้โครงการต่าง ๆ มี 2 ประเด็น ผู้ว่าราชการจังหวัดก็อาจจะบางจังหวัดอาจจะไม่ทุกจังหวัดเป็นที่รู้กันว่าจะปลดเกษียณแล้วก็ต้องเก็บเอาไว้กินเก็บเอาไว้กินพูดกันตรง ๆ ก็เรียกว่าเป็นโครงการสมานฉันท์ สมาน แปลว่าร่วม ฉันท์ แปลว่ากิน กินร่วมกันกับผู้รับเหมา โครงการสมานฉันท์ต้องฝากท่านรัฐมนตรีว่าการมหาดไทยไปดูด้วย หรืไม่ก็ต้องเป็นโครงการที่เตรียมไว้สำหรับผู้ว่าจะปลดเกษียณเอาไว้เลือกวุฒิอันนี้ต้องฝากเอาไว้ พวกนี้เป็นความกังวลของผม เป็นความกังวลของผมโครงการสมานฉันท์ของผู้ว่าก็ต้องฝากท่านรัฐมนตรีมหาดไทยน้องรักของผมให้ช่วยดูด้วย
อันที่ 3. ค่าใช้จ่ายที่ตั้งเอาไว้เพื่อพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านที่เรียกว่า เอสเอ็มแอล 9,400 ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามอันนี้โครงการเอสเอ็มแอลอันนี้ผมต้องพูดตรง ๆ ว่าอันนี้ผมสนับสนุน อะไรดีผมก็ว่าดีอะไรไม่ดีผมก็ว่าไม่ดี อันนี้เราก็พูดกันเพื่อประเทศ เอสเอ็มแอลผมว่าดี ส่วนตัวผมเห็นว่าดี โครงการนี้ที่ผมเห็นว่าดี คือว่าผมทำมาแล้ว ตั้งแต่ 2529 ผมเป็น ส.ส.สมัยแรกตลอดมา 6 สมัย ผมเป็นมาเมื่อก่อนพวกเราคงจำได้สมัยท่านสมชายอดีต เมื่อก่อนเขาให้ 5 ล้านเป็น 20 ล้าน ผู้แทนราษฎร ในเขตเลือกตั้งของผม ผมไม่เคยใช้อำนาจของสภาผู้แทนราษฎรผมให้ประชาชนเลือกตั้งแทนมีคณะกรรมการหมู่บ้าน คณะกรรมการตำบล คณะกรรมการอำเภอ และคณะกรรมการเขตเลือกตั้ง ซึ่งมีอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอสะเดา อำเภอนาทวี ที่จังหวัดสงขลา เขต 3 แล้วเงินที่ได้ไปของส.ส.รวมทั้งของผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งผมมารวมกันเป็นก้อนและให้ประชาชนเขาจัดสรรกันเองโดยหลักเกณฑ์ใช้หลักประชากร และใช้หลักว่าที่ใดมีน้อยให้มากที่ใดมีมากให้น้อยด้วย
เขาประชุมแบ่งสรรกันเองตกลงเรียบร้อยก็ให้ผู้แทนเซนต์ชื่ออย่างเดียว ผู้แทนราษฎรไม่เคยเข้าไปแตะต้องไม่เคยยุ้งเขาบริหารจัดการกันเองแล้วตรวจรับกันเองรวมกับข้าราชการ แต่เอสเอ็มแอลที่รัฐบาลนี้ทำข้าราชการไม่เกี่ยว คณะกรรมการหมู่บ้านทำกันเอง จัดซื้อจัดจ้างกันเองไม่ต้องยึดถือระเบียบทางราชการ ไม่ต้องถือระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีเพียงแต่ว่าโครงการนั้น ๆ ต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการในแผนพัฒนา 5 ปี ของอบต.ซึ่งก็ไม่ซ้ำซ้อนก็เป็นเรื่องที่ดี โครงการอย่างนี้ผมว่าดี ผมว่าดี ผมไม่ขัดข้องอันนี้สนับสนุนไม่ค้าน เพียงแต่เป็นห่วงว่าให้หมู่บ้านไหน ให้หมู่บ้านไหนกี่หมู่บ้าน ไม่ใช่ให้เฉพาะหมู่บ้านที่เลือกไทยรักไทย หมู่บ้านประชาธิปัตย์ไม่ให้ไม่เอานะ อย่างนี้ไม่เอา ต้องให้หมดต้องรักให้เท่า ๆ กัน พรรคชาติไทย พรรคมหาชน พรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ ราษฎร ภาษีอากร
ท่านประธานต้องพูดกับท่านประธานมันต้องแฟร์ต้องอธิบายให้แฟร์ต้องรักให้เท่ากัน ผมสนับสนุนโครงการนี้เห็นด้วย ผมจะบอกไม่เห็นด้วยไม่ได้เพราะพี่น้องจังหวัดสงขลาเขาจะด่าผมว่าก็มึงทำมาเองจะด่าเขาทำไม ไม่ได้ผมพูดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นประเด็นถัดไปก็คือประเด็นที่ 4. ต้องขอต่อว่ารัฐบาล เพราะรัฐบาลได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2548 มีมติเอาไว้ว่ารัฐบาลจัดตั้งงบประมาณเพิ่มเติมในกลางปีเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของพี่น้องประชาชน 10,000 ล้านบาท เป็นมติของรัฐบาลตั้งเอาไว้ วันที่ 4 มกราคม มีมติว่าจะตั้งงบประมาณเพิ่มเติมกลางปีแก้ปัญหาความเดือดร้อนความยากจนของพี่น้องประชาชน 10,000ล้าน เพื่อตอบสนองกับคนขึ้นทะเบียนของคน 8 ล้านคน แต่พอเข้ามาปประกาศตอนนั้น 10,000 ล้านบาท ต้องเข้าใจว่ามันก่อนเลือกตั้ง มาถึงวันนี้มันหลังเลือกตั้ง ตั้งให้มันดี ๆ 4,000 ล้าน หายไป 6,000 ล้าน อย่างนี้ไม่ได้ เพราะมันกระทบระบอบประชาธิปไตย
ก่อนเลือกตั้งบอก 10,000 ล้าน พอหลังเลือกตั้งเหลือ 4,000 ประชาชนเขาจะมีความรู้สึกว่าอย่างไร ประชาชนมีความรู้สึกไม่เชื่อถือขนาดมติคณะรัฐมนตรี เขาก็จะไม่เชื่อถือนักการเมือง หมดความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย เล่นการเมืองอีกหน่อยก็เลิกอีกหน่อยก็แก่จะอยู่กันกี่ปี แต่ระบอบนี้ต้องอยู่ไม่มีระบอบไหนดีกว่าระบอบนี้ เราพิสูจน์กันมาแล้ว คอมมิวนิสต์ก็อยู่ไม่ได้ เผด็จการก็อยู่ไม่ได้ระบอบอื่นอยู่ไม่ได้เหลือแต่ประชาธิปไตยดีที่สุดแล้ว ต้องสร้างศรัทธากับประชาชน เพราะฉะนั้นคำพูดของนักการเมืองตัวเล็กๆ ไม่ว่า แต่ตัวใหญ่ๆ คำพูดต้องเชื่อถือได้ ก่อนการเลือกตั้งพูดยังไงหลังการเลือกตั้งก็ต้องพูดให้เหมือนกัน โดยเฉพาะมติคณะรัฐมนตรีต้องให้เขานับถือได้ แต่นี่ไม่ได้ ผมเตือนไว้เป็นอุทาหรณ์ทีหลังอย่าทำ พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
ประเด็นที่ 5 ก็เหมือนกัน มติคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 4 มกราคม 2548 ก่อนเลือกตั้งเพราะเราเลือกตั้งเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ มติวันที่ 4 มกราคม บอกไว้ว่าจะอุดหนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้งบไปพัฒนาจังหวัด บอกว่าจะให้ในงบกลางปีทั้งหมด บอกว่าจะตั้งงบกลางปีให้ 6,400 ล้านบาท เพื่อเอาไปเป็นงบพัฒนาจังหวัดให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอาจริงๆ มาถึงวันนี้ไม่ให้เขาซักบาท ความหวังของเขา บอกเขาประกาศไปวันที่ 4 มกราคม 2548 ก่อนการเลือกตั้ง เขาก็มีความหวัง อบต. ประชาชน เขาก็ต้องคิดกัน เราต้องเข้าใจเขา เขาก็คิดกันหลังการเลือกตั้ง รัฐบาลประกาศงบกลางปีให้ 6,400 ล้านบาท เขาก็คิดถนนเขาก็ต้องได้ บ่อน้ำก็ต้องได้ ความฝันของประชาชน อบต.
แต่พอมาเสนอวันนี้ งบกลางปีไม่มีให้ซักบาท ตัดเขาหมด แต่ให้เขาเท่าไร ให้เขา 4,600 ล้านบาท เพื่อไปแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ไม่ได้เกี่ยวกับโครงการพัฒนาจังหวัด ไม่ใช่ปัญหาภัยแล้ง คนละเรื่องกันนะครับ อันโน้นก็ฝันค้างไป อย่างนี้ก็ไม่ได้ ที่จริงที่ผมพูดตั้งแต่ต้นงบของท่านนายกฯ 17,000 ล้าน ไม่จำเป็นต้องทำประชาชนเขาผิดหวัง เอามาแก้ปัญหาตรงนี้ได้ รักษาคำพูดก็ให้เขาไป
ประเด็นสุดท้าย เป็นประเด็นที่ผมเห็นว่าสำคัญ ประเด็นนี้ผมขอพูดและขอทวงถามในนามของพี่น้องประชาชน 3 จังหวัดภาคใต้ที่มีปัญหาเป็นปัญหาของประเทศในปัจจุบัน เพราะว่าตามมติของคณะรัฐมนตรี เมื่อ 4 มกราคม 48 ก่อนการเลือกตั้ง รัฐบาลก็ได้ประกาศว่า จะจัดงบประมาณไว้ให้สำหรับมาตรการเสริมสร้างสันติสุข 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ บอกตัวเลขไว้ 3,600 ล้านบาท บอกไว้ว่าจะจัดไว้ให้ในงบกลางปี เพราะว่าในงบปกติที่ผ่านไปแล้วไม่ได้จัดไว้ให้ จัดไม่ทัน จึงขอมาจัดไว้ในงบกลางปี 3,600 ล้านเพื่อเอามาให้โครงการเสริมสร้างสันติสุข อธิบายด้วยนะครับเพื่อช่วยด้านสิทธิในการนับเวลาราชการทวีคูณ นี่ข้าราชการจะได้ประโยชน์และเพื่อใช้ในการดำเนินงานยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นี่ประชาชนจะได้ประโยชน์ หมายความว่าเมื่อประกาศไปเมื่อวันที่ 4 มกราคม 48 ทั้งข้าราชการและประชาชนรอคอยมีความหวังและอยากจะได้ แน่นอนที่นั่นไม่ใช่ว่าประชาชนเขาอยากจะได้เงินแค่นี้แล้วแก้ปัญหาได้ สิ่งที่เขาอยากได้มากกว่านั้นคือความยุติธรรมจากข้าราชการ แต่ว่าสิ่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง เมื่อพูดไปแล้วเราให้เขาไหมครับ ดูนะครับในงบประมาณนี้ งบกลางปีบอกเขาไว้ 4 มกรา มีไหมครับงบกลางปีที่เคยพูดไว้ พูดใส่กระโถนนี่ พอจริงๆ ไม่ให้แล้วเขาจะรู้สึกอย่างไร คน 3 จังหวัดภาคใต้
คน 3 จังหวัดภาคใต้ตรงนี้เป็น 4 ปีอ่อนไหวมีปัญหาอยู่แล้ว เราไม่ควรที่จะมาสร้างปัญหาให้เขาเกิดความคลางแคลง เกิดความรู้สึกว่าเราไม่มีความจริงใจกับพวกเขา ผมไม่โทษนายกฯ เมื่อก่อนผมด่าเยอะ เพราะว่าท่านกร้าวมากเมื่อก่อน ตอนหลังท่านไม่กร้าว ท่านอ่อนลงมา ผมไม่ด่าท่านแล้ว ผมอยากช่วยท่านด้วย ผมรู้สึกสงสารท่านแล้ว แต่เพราะว่าคนจัดทำงบประมาณสร้างปัญหาให้กับท่าน ไม่ควรจะให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น อย่างน้อยก็ควรจะต้องมีปรากฏไว้ในงบประมาณ 3,600 ล้าน ที่เราพูดไว้เมื่อ 4 มกราคม จะต้องมีในงบประมาณวันนี้ ท่านไปสร้างปัญหาให้กับเขาทั้งข้าราชการที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ประชาชนในพื้นที แล้วอย่ามีใครมาตอบผมว่ามีงบประมาณอยู่ในหน่วยงานอื่น ว่ามีอยู่แล้วจะพัฒนาอยู่แล้วประมาณ 3-4 พันล้าน ผมไปดูแล้วเบิกจ่ายไป 289 ล้านที่เบิกจ่ายจริงๆ นั่นไม่ใช่ประเด็น ผมรู้ว่ามีอยู่แล้ว
แต่ประเด็นอยู่ที่คุณประกาศไว้แล้วเมื่อ 4 มกรา ว่าจัดตั้งงบกลางปี 3,600 ล้าน แต่ว่าวันนี้มันไม่มี คุณโกหกคุณพูดแล้วคุณไม่ได้ทำ เขารู้สึกว่าคุณไม่มีความจริงใจให้กับเขา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มันเป็นปัญหา ผมไม่อยากให้เกิด ที่พูดผมอยากช่วย อยากสมานฉันท์ เมื่อถึงขั้นแปรญัตติ ผมอยากให้แปรญัตติให้มี 3,600 ล้าน ไม่ให้เกิดการระแวง ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่ให้มีความรู้สึกรัฐบาลไม่จริงใจกับเขา ถ้าทำได้ ผมอยากให้โอน 17,000 ล้าน ไปให้ ตรงนี้ 3,600 ล้าน แล้วจะดูดีขึ้นนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ ผมอยากให้คนจัดทำงบประมาณ ไปนอกราชการ ไปที่รัฐอาเจะ ไปที่แคชเมียร์ แบบที่พวกผมไป แล้วท่านจะรู้ว่าไม่อยากให้ 3 จังหวัดภาคใต้เป็นอย่างนั้น ขอเสนอแค่นี้ครับ ขอบคุณครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 20 เม.ย. 2548--จบ--
-ดท-
ปีที่แล้วก็ตั้งงบประมาณกลางปีแสดงความผิดพลาด เรียกว่าประเมินต่ำกว่าความเป็นจริงมาปีนี้ผิดอีก ประเมินผิดพลาดอีกเลยมาขอตั้งงบประมาณกลางปี อย่างนี้เขาเรียกว่าประเมินผิดพลาดขีดความสามารถในการประเมินต่ำ ไม่ใช่เรื่องที่ดีทางวิชาการ ทำไมถึงไม่ใช่เรื่องที่ดี ก็เมื่อผิดพลาดต่ำก็ต้องมาตั้งงบประมาณกลางปีการตั้งงบประมาณกลางปีเป็นการตั้งที่หละหลวมลวก ๆ ไม่เหมือนการตั้งงบประมาณปกติที่จะต้องมีโครงการ มีแผนงาน มีตัวชี้วัดที่รอบครอบกว่า แต่งบประมาณกลางปีมี 2-3 ใบเสนอมา หรือถ้าเป็นบริษัทอย่างที่คุณกรณ์ จาติกวนิช พูดเมื่อสักครู่ไม่มีทางที่เขาจะอนุมัติเสนอ 2-3 ใบ บอร์ดของบริษัทเขาไม่อนุมัติ เพราะว่าเป็นเงินของประชาชนอย่างไรก็ต้องอนุมัติเพราะว่าไม่ใช่เงินของตัวเอง อันนี้ในแง่ที่ว่าผิด
ในแง่ที่ผมพูดว่าทำไมถึงถูก ที่ถูกก็เพราะว่าเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้เศรษฐกิจของโลกซบเซา เศรษฐกิจของโลกตกต่ำ กระทบมาถึงเศรษฐกิจของประเทศไทย การส่งออกก็ตกต่ำ การท่องเที่ยวของเราก็ตกต่ำ ปริมาณเงินในประเทศก็ลดลง ความสามารถในการซื้อก็ลดลง โครงการไปเอาเงินซึ่งรัฐบาลเก็บภาษีไปแล้ว 50,000 กว่าล้าน และเอาใส่กลับมาในระบบเศรษฐกิจอาจจะเป็นผลดีในการรักษาเศรษฐกิจไว้ไม่ให้มันตกต่ำกว่าที่มันจะเป็น แต่มันก็เสี่ยง เสี่ยงในแง่ที่ว่าเงิน 50,000 ล้านเมื่อใส่ในระบบเศรษฐกิจประชาชนอาจจะเอาไปใช้จ่ายในการบริโภคซื้อของต่างประเทศเพื่อเอาไปใช้ในการบริโภคไม่ใช้ในการลงทุน เอาไปซื้อของจากต่างประเทศก็จะทำให้เกิดการขาดดุลการค้า ขาดดุลบัญชัเดินสะพัดมากยิ่งขึ้น กระทบกระเทือนต่อค่าของเงินบาท กระทบการเทือนต่อเสถียรภาพของเงินบาทเป็นการเสี่ยง ซึ่งไม่รู้ว่าจะเสี่ยงไปทำไม
วิธีที่ดีน่าจะทำอย่างที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คุณอภิสิทธิ์แนะนำก็คือเอาไปใช้หนี้ที่เราเป็นหนี้จากกองทุนน้ำมัน 80,000 ล้านดีที่สุด ดีที่สุด อย่างไรก็ตามฝ่ายค้านเสนออย่างนี้ลงมติเราก็แพ้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะดันทุรังกัน แต่ว่าเราก็ต้องเสนอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมจะทำได้ไม่ว่าผมจะเห็นด้วยกับหัวหน้าของผมก็ตาม แต่ผมจะทำได้วันนี้ก็คือว่าผมก็จะเสนอแนะว่าเข้าขั้นแปรญัตติผมก็จะเสนอแนะว่าควรจะทำอย่างไรที่ผมเห็นว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมขอแนะนำอย่างนี้นะครับ
ประเด็นแรกคือว่าเงินสำรองฉุกเฉินที่จะเป็นที่ตั้งไว้ทั้งหมด 1,700 ล้านบาท ทุกคนก็พูดกันเป็นที่รู้กันว่างบสำรองฉุกเฉินและจำเป็นก็เป็นอำนาจของท่านนายกรัฐมนตรีที่จริงตามกฎกณฑ์ก็ต้องปรึกษาสำนักงบประมาณก็รู้ ๆ อยู่ประเทศไทยคนที่สำนักงบประมาณไม่ได้มีความหมายอะไร โดยรัฐบาลที่มีอำนาจมากอย่างรัฐบาลปัจจุบันนี้นายกรัฐมนตรีสั่งการอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น อำนาจของนายกรัฐมนตรีก็สามารถที่จะใช้เงินก้อนนี้ได้ เมื่อท่านนายกสั่งไปสำนักงบประมาณหน่วยราชการต่าง ๆ ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน แต่ว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมันไม่มีตัวชี้วัดว่าเป็นโครงการที่เหมาะสมหรือไม่ที่นายกฯอนุมัติไป อาจจะถูกใจคนที่ได้รับไป แต่อาจจะไม่มีคนที่เหมาะสมก็ได้ เพราะฉะนั้นงบอย่างนี้ควรจะมีน้อยที่สุด เพราะว่าเป็นเงินของประชาชนไม่ใช่เงินของนายกรัฐมนตรี ควรจะมีกรอบในการใช้เหตุใช้ผลให้มากที่สุดในการใช้เงินของแผ่นดิน การใช้ตามอำเภอใจการใช้อำนาจส่วนตัวผมคิดว่าให้น้อยที่สุด
เมื่อข้ามไปขั้นแปรญัตติผมขอเสนอว่าให้ลดก้อนนี้ให้ลงมาและเกลี่ยไปไว้ในอีก 4 ในอีก 4-5 อย่าง ที่เหลือน่าจะดีกว่า ซึ่งผมจะมีเหตุผลในการอธิบายต่อไปนะครับ ข้อที่ 2.คือว่าการตั้งงบประมาณเพิ่มเติมให้กับผู้ว่าซีอีโอพูดง่าย ๆ การตั้งงบประมาณเพิ่มเติมผู้ว่าซีอีโอ 1,500 ล้านบาทเอาไปใช้ตามยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัด และ 15,000 ล้านบาท ผมถาม อันนี้ผมถามหน่อยนะครับว่าโครงการนี้นะโครงการของผู้ว่าซีอีโอแผนงานของโครงการผู้ว่าซีอีโอมันมีประชาชนมีส่วนร่วมตรงไหน ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดอันนี้ผมไม่รู้จริง ๆ ว่ามีส่วนร่วมตรงไหน อันนี้ต้องขอคำอธิบายหน่อย หรือว่าเป็นการรวบรวมโครงการของหน่วยราชการของส่วนภูมิภาค และผู้ว่าก็ไปจัดการตามนั้น และหลักเกณฑ์ในการให้แต่ละจังหวัดเป็นอย่างไร หรือว่าให้ตามหลักของประชากร จังหวัดไหนมีประชากรมากก็ให้มาก จังหวัดไหนมีประชากรน้อยก็ให้น้อย ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรม เพราะบางจังหวัดประชากรมาก แต่ว่าเจริญอยู่แล้วก็ได้มากบางจังหวัดประชากรน้อยแต่ยากจนก็ได้น้อยอย่างนี้อย่างนี้ความเจริญความแตกต่างกับความเจริญของจังหวัดต่าง ๆ ก็ยิ่งห่างออกไปอีก มันควรจะมีหลักว่าที่ใดมีน้อยก็ต้องให้มาก ที่ใดมีมากแล้วก็ต้องให้น้อยหน่อยจะอย่างนี้ก็จะทำให้ความเจริญแคบเข้า
ที่สำคัญคือว่าผมเป็นห่วงว่าในบางจังหวัดที่เราให้ไปโดยเฉพาะจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำลังจะเกษียณอายุผู้ว่าราชการจังหวัดก็จะเอาไปให้โครงการต่าง ๆ มี 2 ประเด็น ผู้ว่าราชการจังหวัดก็อาจจะบางจังหวัดอาจจะไม่ทุกจังหวัดเป็นที่รู้กันว่าจะปลดเกษียณแล้วก็ต้องเก็บเอาไว้กินเก็บเอาไว้กินพูดกันตรง ๆ ก็เรียกว่าเป็นโครงการสมานฉันท์ สมาน แปลว่าร่วม ฉันท์ แปลว่ากิน กินร่วมกันกับผู้รับเหมา โครงการสมานฉันท์ต้องฝากท่านรัฐมนตรีว่าการมหาดไทยไปดูด้วย หรืไม่ก็ต้องเป็นโครงการที่เตรียมไว้สำหรับผู้ว่าจะปลดเกษียณเอาไว้เลือกวุฒิอันนี้ต้องฝากเอาไว้ พวกนี้เป็นความกังวลของผม เป็นความกังวลของผมโครงการสมานฉันท์ของผู้ว่าก็ต้องฝากท่านรัฐมนตรีมหาดไทยน้องรักของผมให้ช่วยดูด้วย
อันที่ 3. ค่าใช้จ่ายที่ตั้งเอาไว้เพื่อพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านที่เรียกว่า เอสเอ็มแอล 9,400 ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามอันนี้โครงการเอสเอ็มแอลอันนี้ผมต้องพูดตรง ๆ ว่าอันนี้ผมสนับสนุน อะไรดีผมก็ว่าดีอะไรไม่ดีผมก็ว่าไม่ดี อันนี้เราก็พูดกันเพื่อประเทศ เอสเอ็มแอลผมว่าดี ส่วนตัวผมเห็นว่าดี โครงการนี้ที่ผมเห็นว่าดี คือว่าผมทำมาแล้ว ตั้งแต่ 2529 ผมเป็น ส.ส.สมัยแรกตลอดมา 6 สมัย ผมเป็นมาเมื่อก่อนพวกเราคงจำได้สมัยท่านสมชายอดีต เมื่อก่อนเขาให้ 5 ล้านเป็น 20 ล้าน ผู้แทนราษฎร ในเขตเลือกตั้งของผม ผมไม่เคยใช้อำนาจของสภาผู้แทนราษฎรผมให้ประชาชนเลือกตั้งแทนมีคณะกรรมการหมู่บ้าน คณะกรรมการตำบล คณะกรรมการอำเภอ และคณะกรรมการเขตเลือกตั้ง ซึ่งมีอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอสะเดา อำเภอนาทวี ที่จังหวัดสงขลา เขต 3 แล้วเงินที่ได้ไปของส.ส.รวมทั้งของผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งผมมารวมกันเป็นก้อนและให้ประชาชนเขาจัดสรรกันเองโดยหลักเกณฑ์ใช้หลักประชากร และใช้หลักว่าที่ใดมีน้อยให้มากที่ใดมีมากให้น้อยด้วย
เขาประชุมแบ่งสรรกันเองตกลงเรียบร้อยก็ให้ผู้แทนเซนต์ชื่ออย่างเดียว ผู้แทนราษฎรไม่เคยเข้าไปแตะต้องไม่เคยยุ้งเขาบริหารจัดการกันเองแล้วตรวจรับกันเองรวมกับข้าราชการ แต่เอสเอ็มแอลที่รัฐบาลนี้ทำข้าราชการไม่เกี่ยว คณะกรรมการหมู่บ้านทำกันเอง จัดซื้อจัดจ้างกันเองไม่ต้องยึดถือระเบียบทางราชการ ไม่ต้องถือระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีเพียงแต่ว่าโครงการนั้น ๆ ต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการในแผนพัฒนา 5 ปี ของอบต.ซึ่งก็ไม่ซ้ำซ้อนก็เป็นเรื่องที่ดี โครงการอย่างนี้ผมว่าดี ผมว่าดี ผมไม่ขัดข้องอันนี้สนับสนุนไม่ค้าน เพียงแต่เป็นห่วงว่าให้หมู่บ้านไหน ให้หมู่บ้านไหนกี่หมู่บ้าน ไม่ใช่ให้เฉพาะหมู่บ้านที่เลือกไทยรักไทย หมู่บ้านประชาธิปัตย์ไม่ให้ไม่เอานะ อย่างนี้ไม่เอา ต้องให้หมดต้องรักให้เท่า ๆ กัน พรรคชาติไทย พรรคมหาชน พรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ ราษฎร ภาษีอากร
ท่านประธานต้องพูดกับท่านประธานมันต้องแฟร์ต้องอธิบายให้แฟร์ต้องรักให้เท่ากัน ผมสนับสนุนโครงการนี้เห็นด้วย ผมจะบอกไม่เห็นด้วยไม่ได้เพราะพี่น้องจังหวัดสงขลาเขาจะด่าผมว่าก็มึงทำมาเองจะด่าเขาทำไม ไม่ได้ผมพูดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นประเด็นถัดไปก็คือประเด็นที่ 4. ต้องขอต่อว่ารัฐบาล เพราะรัฐบาลได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2548 มีมติเอาไว้ว่ารัฐบาลจัดตั้งงบประมาณเพิ่มเติมในกลางปีเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของพี่น้องประชาชน 10,000 ล้านบาท เป็นมติของรัฐบาลตั้งเอาไว้ วันที่ 4 มกราคม มีมติว่าจะตั้งงบประมาณเพิ่มเติมกลางปีแก้ปัญหาความเดือดร้อนความยากจนของพี่น้องประชาชน 10,000ล้าน เพื่อตอบสนองกับคนขึ้นทะเบียนของคน 8 ล้านคน แต่พอเข้ามาปประกาศตอนนั้น 10,000 ล้านบาท ต้องเข้าใจว่ามันก่อนเลือกตั้ง มาถึงวันนี้มันหลังเลือกตั้ง ตั้งให้มันดี ๆ 4,000 ล้าน หายไป 6,000 ล้าน อย่างนี้ไม่ได้ เพราะมันกระทบระบอบประชาธิปไตย
ก่อนเลือกตั้งบอก 10,000 ล้าน พอหลังเลือกตั้งเหลือ 4,000 ประชาชนเขาจะมีความรู้สึกว่าอย่างไร ประชาชนมีความรู้สึกไม่เชื่อถือขนาดมติคณะรัฐมนตรี เขาก็จะไม่เชื่อถือนักการเมือง หมดความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย เล่นการเมืองอีกหน่อยก็เลิกอีกหน่อยก็แก่จะอยู่กันกี่ปี แต่ระบอบนี้ต้องอยู่ไม่มีระบอบไหนดีกว่าระบอบนี้ เราพิสูจน์กันมาแล้ว คอมมิวนิสต์ก็อยู่ไม่ได้ เผด็จการก็อยู่ไม่ได้ระบอบอื่นอยู่ไม่ได้เหลือแต่ประชาธิปไตยดีที่สุดแล้ว ต้องสร้างศรัทธากับประชาชน เพราะฉะนั้นคำพูดของนักการเมืองตัวเล็กๆ ไม่ว่า แต่ตัวใหญ่ๆ คำพูดต้องเชื่อถือได้ ก่อนการเลือกตั้งพูดยังไงหลังการเลือกตั้งก็ต้องพูดให้เหมือนกัน โดยเฉพาะมติคณะรัฐมนตรีต้องให้เขานับถือได้ แต่นี่ไม่ได้ ผมเตือนไว้เป็นอุทาหรณ์ทีหลังอย่าทำ พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
ประเด็นที่ 5 ก็เหมือนกัน มติคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 4 มกราคม 2548 ก่อนเลือกตั้งเพราะเราเลือกตั้งเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ มติวันที่ 4 มกราคม บอกไว้ว่าจะอุดหนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้งบไปพัฒนาจังหวัด บอกว่าจะให้ในงบกลางปีทั้งหมด บอกว่าจะตั้งงบกลางปีให้ 6,400 ล้านบาท เพื่อเอาไปเป็นงบพัฒนาจังหวัดให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอาจริงๆ มาถึงวันนี้ไม่ให้เขาซักบาท ความหวังของเขา บอกเขาประกาศไปวันที่ 4 มกราคม 2548 ก่อนการเลือกตั้ง เขาก็มีความหวัง อบต. ประชาชน เขาก็ต้องคิดกัน เราต้องเข้าใจเขา เขาก็คิดกันหลังการเลือกตั้ง รัฐบาลประกาศงบกลางปีให้ 6,400 ล้านบาท เขาก็คิดถนนเขาก็ต้องได้ บ่อน้ำก็ต้องได้ ความฝันของประชาชน อบต.
แต่พอมาเสนอวันนี้ งบกลางปีไม่มีให้ซักบาท ตัดเขาหมด แต่ให้เขาเท่าไร ให้เขา 4,600 ล้านบาท เพื่อไปแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ไม่ได้เกี่ยวกับโครงการพัฒนาจังหวัด ไม่ใช่ปัญหาภัยแล้ง คนละเรื่องกันนะครับ อันโน้นก็ฝันค้างไป อย่างนี้ก็ไม่ได้ ที่จริงที่ผมพูดตั้งแต่ต้นงบของท่านนายกฯ 17,000 ล้าน ไม่จำเป็นต้องทำประชาชนเขาผิดหวัง เอามาแก้ปัญหาตรงนี้ได้ รักษาคำพูดก็ให้เขาไป
ประเด็นสุดท้าย เป็นประเด็นที่ผมเห็นว่าสำคัญ ประเด็นนี้ผมขอพูดและขอทวงถามในนามของพี่น้องประชาชน 3 จังหวัดภาคใต้ที่มีปัญหาเป็นปัญหาของประเทศในปัจจุบัน เพราะว่าตามมติของคณะรัฐมนตรี เมื่อ 4 มกราคม 48 ก่อนการเลือกตั้ง รัฐบาลก็ได้ประกาศว่า จะจัดงบประมาณไว้ให้สำหรับมาตรการเสริมสร้างสันติสุข 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ บอกตัวเลขไว้ 3,600 ล้านบาท บอกไว้ว่าจะจัดไว้ให้ในงบกลางปี เพราะว่าในงบปกติที่ผ่านไปแล้วไม่ได้จัดไว้ให้ จัดไม่ทัน จึงขอมาจัดไว้ในงบกลางปี 3,600 ล้านเพื่อเอามาให้โครงการเสริมสร้างสันติสุข อธิบายด้วยนะครับเพื่อช่วยด้านสิทธิในการนับเวลาราชการทวีคูณ นี่ข้าราชการจะได้ประโยชน์และเพื่อใช้ในการดำเนินงานยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นี่ประชาชนจะได้ประโยชน์ หมายความว่าเมื่อประกาศไปเมื่อวันที่ 4 มกราคม 48 ทั้งข้าราชการและประชาชนรอคอยมีความหวังและอยากจะได้ แน่นอนที่นั่นไม่ใช่ว่าประชาชนเขาอยากจะได้เงินแค่นี้แล้วแก้ปัญหาได้ สิ่งที่เขาอยากได้มากกว่านั้นคือความยุติธรรมจากข้าราชการ แต่ว่าสิ่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง เมื่อพูดไปแล้วเราให้เขาไหมครับ ดูนะครับในงบประมาณนี้ งบกลางปีบอกเขาไว้ 4 มกรา มีไหมครับงบกลางปีที่เคยพูดไว้ พูดใส่กระโถนนี่ พอจริงๆ ไม่ให้แล้วเขาจะรู้สึกอย่างไร คน 3 จังหวัดภาคใต้
คน 3 จังหวัดภาคใต้ตรงนี้เป็น 4 ปีอ่อนไหวมีปัญหาอยู่แล้ว เราไม่ควรที่จะมาสร้างปัญหาให้เขาเกิดความคลางแคลง เกิดความรู้สึกว่าเราไม่มีความจริงใจกับพวกเขา ผมไม่โทษนายกฯ เมื่อก่อนผมด่าเยอะ เพราะว่าท่านกร้าวมากเมื่อก่อน ตอนหลังท่านไม่กร้าว ท่านอ่อนลงมา ผมไม่ด่าท่านแล้ว ผมอยากช่วยท่านด้วย ผมรู้สึกสงสารท่านแล้ว แต่เพราะว่าคนจัดทำงบประมาณสร้างปัญหาให้กับท่าน ไม่ควรจะให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น อย่างน้อยก็ควรจะต้องมีปรากฏไว้ในงบประมาณ 3,600 ล้าน ที่เราพูดไว้เมื่อ 4 มกราคม จะต้องมีในงบประมาณวันนี้ ท่านไปสร้างปัญหาให้กับเขาทั้งข้าราชการที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ประชาชนในพื้นที แล้วอย่ามีใครมาตอบผมว่ามีงบประมาณอยู่ในหน่วยงานอื่น ว่ามีอยู่แล้วจะพัฒนาอยู่แล้วประมาณ 3-4 พันล้าน ผมไปดูแล้วเบิกจ่ายไป 289 ล้านที่เบิกจ่ายจริงๆ นั่นไม่ใช่ประเด็น ผมรู้ว่ามีอยู่แล้ว
แต่ประเด็นอยู่ที่คุณประกาศไว้แล้วเมื่อ 4 มกรา ว่าจัดตั้งงบกลางปี 3,600 ล้าน แต่ว่าวันนี้มันไม่มี คุณโกหกคุณพูดแล้วคุณไม่ได้ทำ เขารู้สึกว่าคุณไม่มีความจริงใจให้กับเขา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มันเป็นปัญหา ผมไม่อยากให้เกิด ที่พูดผมอยากช่วย อยากสมานฉันท์ เมื่อถึงขั้นแปรญัตติ ผมอยากให้แปรญัตติให้มี 3,600 ล้าน ไม่ให้เกิดการระแวง ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่ให้มีความรู้สึกรัฐบาลไม่จริงใจกับเขา ถ้าทำได้ ผมอยากให้โอน 17,000 ล้าน ไปให้ ตรงนี้ 3,600 ล้าน แล้วจะดูดีขึ้นนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ ผมอยากให้คนจัดทำงบประมาณ ไปนอกราชการ ไปที่รัฐอาเจะ ไปที่แคชเมียร์ แบบที่พวกผมไป แล้วท่านจะรู้ว่าไม่อยากให้ 3 จังหวัดภาคใต้เป็นอย่างนั้น ขอเสนอแค่นี้ครับ ขอบคุณครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 20 เม.ย. 2548--จบ--
-ดท-