นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อหาแนวทางส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล สรุปได้ดังนี้
1. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์) ประชุมร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายสมหมาย ภาษี) อธิบดีกรมสรรพสามิต ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เมื่อวันพุธที่ 7 มีนาคม 2550 ณ ตึกบัญชาการทำเนียบรัฐบาล ขอให้กระทรวงการคลังสนับสนุนนโยบายส่งเสริมรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลและให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเจรจาและพิจารณาข้อเสนอการลงทุนผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการให้เหมาะสมในการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล
2.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์) ได้ประชุมหารือร่วมกับที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะทำงานฯ โดยรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณา เรื่อง โครงสร้างอัตราภาษีรถยนต์และเงื่อนไขอื่นๆ เกี่ยวกับรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลด้วย
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2550
3. เหตุผลความจำเป็นที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี เนื่องจาก ปัจจุบัน การใช้พลังงานของโลกและประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะพลังงานประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้ทิศทางของราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ภาคการขนส่งโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นภาคที่มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลัก ส่งผลให้อุตสาหกรรมดังกล่าวเกิดการปรับตัวโดยการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน ประกอบกับอุตสาหกรรมรถยนต์ในตลาดโลกมีการปรับตัวสู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดังนั้น การพัฒนารถยนต์จึงเป็นไปในทิศทางของการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยมลพิษเป็นสำคัญ
ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ให้ความสนใจในการลงทุนผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายทั้งภายในประเทศและเป็นฐานในการส่งออกสู่ตลาดโลก ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สามารถส่งออกสู่ตลาดโลกได้ จึงเห็นสมควรให้การสนับสนุนการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลขึ้น
4. มาตรการภาษีสรรพสามิตเพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล มีรายละเอียด ดังนี้
4.1 รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลจะต้องมีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,300 ลูกบาศก์เซนติเมตร สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และจะต้องมีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,400 ลูกบาศก์เซนติเมตร สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล โดยให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 17. และให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 โดยมีเหตุผล ดังนี้
1) เป็นการแบ่งแยกตลาด (Segment) รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลออกจากรถยนต์นั่งขนาดความจุของกระบอกสูบประมาณ 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร (B Car) อย่างชัดเจน ทำให้มีผลกระทบน้อยกับแผนการผลิตรถยนต์ขนาด B (B Car) ที่มีอยู่แล้ว
2) แม้ว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ภาษีสรรพสามิตต่อคันประมาณ 70,000 บาท/คัน แต่สิ่งที่ได้รัฐจะได้รับประโยชน์ คือ การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และการลดต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่ารายได้ที่สูญเสียไป
4.2 รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล มีคุณลักษณะ ดังนี้
1) รถยนต์ที่ใช้หรือสามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตร/100 กิโลเมตร
2) มาตรฐานมลพิษอยู่ในระดับ EURO 4 ตามที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกำหนด
3) ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัม/กิโลเมตร
4) มีมาตรฐานความปลอดภัยในด้านการชนของ UNECE ข้อ 94 และข้อ 95 หรือสูงกว่า
4.3 กระทรวงการคลังจะประกาศกำหนดอัตราภาษีรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลดังกล่าว ต่อเมื่อ ได้รับหนังสือยืนยันจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กระทรวงอุตสาหกรรม ว่ามีผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลดังกล่าว และมีการลงทุนเพื่อผลิตและจำหน่ายอย่างเป็นรูปธรรม
5. เพื่อให้โครงสร้างภาษีรถยนต์มีความสมดุลและเหมาะสม กระทรวงการคลังได้หารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพลังงานแล้ว เห็นควรให้ปรับอัตราภาษีรถยนต์ที่สามารถประเภทเอทานอลเป็นส่วนผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ตามประเภทที่ 05.01 และ 05.02 รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทใช้เชื้อเพลิงทดแทนที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งคุณลักษณะตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 เป็นต้นไป และมีอัตราภาษีใหม่ ดังนี้
1) รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) ปรับอัตราภาษีตามมูลค่าจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 25
2) รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) ปรับอัตราภาษีตามมูลค่าจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 30
3) รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) ปรับอัตราภาษีตามมูลค่าจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 35
4) รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร หรือมีกำลังเครื่องยนต์เกิน 220 แรงม้า (HP) เห็นควรให้คงอัตราภาษีตามมูลค่าคงเดิม คือ ร้อยละ 50
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 45/2550 5 มิถุนายน 50--
1. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์) ประชุมร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายสมหมาย ภาษี) อธิบดีกรมสรรพสามิต ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เมื่อวันพุธที่ 7 มีนาคม 2550 ณ ตึกบัญชาการทำเนียบรัฐบาล ขอให้กระทรวงการคลังสนับสนุนนโยบายส่งเสริมรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลและให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเจรจาและพิจารณาข้อเสนอการลงทุนผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการให้เหมาะสมในการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล
2.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์) ได้ประชุมหารือร่วมกับที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะทำงานฯ โดยรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณา เรื่อง โครงสร้างอัตราภาษีรถยนต์และเงื่อนไขอื่นๆ เกี่ยวกับรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลด้วย
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2550
3. เหตุผลความจำเป็นที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี เนื่องจาก ปัจจุบัน การใช้พลังงานของโลกและประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะพลังงานประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้ทิศทางของราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ภาคการขนส่งโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นภาคที่มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลัก ส่งผลให้อุตสาหกรรมดังกล่าวเกิดการปรับตัวโดยการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน ประกอบกับอุตสาหกรรมรถยนต์ในตลาดโลกมีการปรับตัวสู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดังนั้น การพัฒนารถยนต์จึงเป็นไปในทิศทางของการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยมลพิษเป็นสำคัญ
ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ให้ความสนใจในการลงทุนผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายทั้งภายในประเทศและเป็นฐานในการส่งออกสู่ตลาดโลก ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สามารถส่งออกสู่ตลาดโลกได้ จึงเห็นสมควรให้การสนับสนุนการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลขึ้น
4. มาตรการภาษีสรรพสามิตเพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล มีรายละเอียด ดังนี้
4.1 รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลจะต้องมีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,300 ลูกบาศก์เซนติเมตร สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และจะต้องมีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,400 ลูกบาศก์เซนติเมตร สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล โดยให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 17. และให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 โดยมีเหตุผล ดังนี้
1) เป็นการแบ่งแยกตลาด (Segment) รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลออกจากรถยนต์นั่งขนาดความจุของกระบอกสูบประมาณ 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร (B Car) อย่างชัดเจน ทำให้มีผลกระทบน้อยกับแผนการผลิตรถยนต์ขนาด B (B Car) ที่มีอยู่แล้ว
2) แม้ว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ภาษีสรรพสามิตต่อคันประมาณ 70,000 บาท/คัน แต่สิ่งที่ได้รัฐจะได้รับประโยชน์ คือ การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และการลดต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่ารายได้ที่สูญเสียไป
4.2 รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล มีคุณลักษณะ ดังนี้
1) รถยนต์ที่ใช้หรือสามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตร/100 กิโลเมตร
2) มาตรฐานมลพิษอยู่ในระดับ EURO 4 ตามที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกำหนด
3) ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัม/กิโลเมตร
4) มีมาตรฐานความปลอดภัยในด้านการชนของ UNECE ข้อ 94 และข้อ 95 หรือสูงกว่า
4.3 กระทรวงการคลังจะประกาศกำหนดอัตราภาษีรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลดังกล่าว ต่อเมื่อ ได้รับหนังสือยืนยันจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กระทรวงอุตสาหกรรม ว่ามีผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลดังกล่าว และมีการลงทุนเพื่อผลิตและจำหน่ายอย่างเป็นรูปธรรม
5. เพื่อให้โครงสร้างภาษีรถยนต์มีความสมดุลและเหมาะสม กระทรวงการคลังได้หารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพลังงานแล้ว เห็นควรให้ปรับอัตราภาษีรถยนต์ที่สามารถประเภทเอทานอลเป็นส่วนผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ตามประเภทที่ 05.01 และ 05.02 รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทใช้เชื้อเพลิงทดแทนที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งคุณลักษณะตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 เป็นต้นไป และมีอัตราภาษีใหม่ ดังนี้
1) รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) ปรับอัตราภาษีตามมูลค่าจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 25
2) รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) ปรับอัตราภาษีตามมูลค่าจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 30
3) รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) ปรับอัตราภาษีตามมูลค่าจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 35
4) รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร หรือมีกำลังเครื่องยนต์เกิน 220 แรงม้า (HP) เห็นควรให้คงอัตราภาษีตามมูลค่าคงเดิม คือ ร้อยละ 50
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 45/2550 5 มิถุนายน 50--