ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกหนังสือเวียนแจ้งสถาบันการเงินเพื่อปรับปรุงมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท และได้ออกประกาศเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินเพื่อเพิ่มทางเลือกแทนการกันสำรองเงินนำเข้าระยะสั้นสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้และหน่วยลงทุนของกองทุนรวม โดยมีสาระสำคัญคือ
1. ยกเลิกข้อกำหนดมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทในเรื่องให้ Non-resident ถือครองพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตร ธปท. เกินกว่า 3 เดือน ตามหนังสือเวียนลงวันที่ 4 ธันวาคม 2549
2. กำหนดทางเลือกให้การนำเงินตราต่างประเทศแลกเงินบาทเพื่อลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งหมายถึง พันธบัตร ตั๋วเงินคลัง หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน และตั๋วสัญญาใช้เงิน และหน่วยลงทุนของกองทุนรวมทุกประเภท ทั้งที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สามารถที่จะกันสำรองเหมือนเดิม หรือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนกับสถาบันการเงินในประเทศไทยเท่ากับจำนวนเงินและระยะเวลาการลงทุน (Fully Hedge)
3. การป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวต้องเป็นธุรกรรม FX Swap หรือ Cross Currency Swap ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 3 เดือน ขึ้นไป ผ่าน Custodian และหากถือครองเงินลงทุนดังกล่าวต่อให้ rollover ธุรกรรม Swap โดยมีระยะเวลาสอดคล้องกับการถือครองเงินลงทุน
4. เงินลงทุนดังกล่าวต้องนำเข้าบัญชีเงินบาทที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้และหน่วยลงทุน (Special Non-resident Baht Account for Debt Securities and Unit Trust: SND) โดยให้มียอดคงค้าง ณ สิ้นวันไม่เกิน 300 ล้านบาท และการฝากถอนเงินจากบัญชี SND ให้ทำเพื่อธุรกรรมการลงทุนในตราสารหนี้และหน่วยลงทุนเท่านั้น
5. ห้าม Unwind ธุรกรรม Swap หาก Swap ครบกำหนดจะต้องนำเงินมา Settle ในวันครบสัญญา
สำหรับเงินลงทุนที่มีอยู่เดิมให้ลงทุนได้ต่อไป โดยให้ Non-resident แยกเงินที่จะลงทุนในตราสารหนี้และหน่วยลงทุนดังกล่าวเข้าบัญชี SND เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 30 มีนาคม 2550 โดยบัญชี SND จะเป็นบัญชีที่เปิดขึ้นใหม่หรือใช้บัญชี NRBA ที่มีอยู่เดิมกำหนดให้เป็นบัญชี SND ก็ได้
การปรับระเบียบดังกล่าว นอกจากเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนตราสารหนี้และหน่วยลงทุนในการนำเงินตราต่างประเทศมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทเพื่อลงทุนแล้ว ยังเพิ่มความคล่องตัวในการลงทุนโดยผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตร ธปท. ไม่เกิน 3 เดือน สามารถขายตราสารข้างต้นได้ในตลาดหากประสงค์ที่จะเปลี่ยนไปถือครองตราสารหนี้ประเภทอื่น แต่เงินที่นำเข้ามาลงทุนต้องอยู่ในประเทศไม่น้อยกว่า 3 เดือน
ระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ยกเลิกข้อกำหนดมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทในเรื่องให้ Non-resident ถือครองพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตร ธปท. เกินกว่า 3 เดือน ตามหนังสือเวียนลงวันที่ 4 ธันวาคม 2549
2. กำหนดทางเลือกให้การนำเงินตราต่างประเทศแลกเงินบาทเพื่อลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งหมายถึง พันธบัตร ตั๋วเงินคลัง หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน และตั๋วสัญญาใช้เงิน และหน่วยลงทุนของกองทุนรวมทุกประเภท ทั้งที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สามารถที่จะกันสำรองเหมือนเดิม หรือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนกับสถาบันการเงินในประเทศไทยเท่ากับจำนวนเงินและระยะเวลาการลงทุน (Fully Hedge)
3. การป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวต้องเป็นธุรกรรม FX Swap หรือ Cross Currency Swap ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 3 เดือน ขึ้นไป ผ่าน Custodian และหากถือครองเงินลงทุนดังกล่าวต่อให้ rollover ธุรกรรม Swap โดยมีระยะเวลาสอดคล้องกับการถือครองเงินลงทุน
4. เงินลงทุนดังกล่าวต้องนำเข้าบัญชีเงินบาทที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้และหน่วยลงทุน (Special Non-resident Baht Account for Debt Securities and Unit Trust: SND) โดยให้มียอดคงค้าง ณ สิ้นวันไม่เกิน 300 ล้านบาท และการฝากถอนเงินจากบัญชี SND ให้ทำเพื่อธุรกรรมการลงทุนในตราสารหนี้และหน่วยลงทุนเท่านั้น
5. ห้าม Unwind ธุรกรรม Swap หาก Swap ครบกำหนดจะต้องนำเงินมา Settle ในวันครบสัญญา
สำหรับเงินลงทุนที่มีอยู่เดิมให้ลงทุนได้ต่อไป โดยให้ Non-resident แยกเงินที่จะลงทุนในตราสารหนี้และหน่วยลงทุนดังกล่าวเข้าบัญชี SND เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 30 มีนาคม 2550 โดยบัญชี SND จะเป็นบัญชีที่เปิดขึ้นใหม่หรือใช้บัญชี NRBA ที่มีอยู่เดิมกำหนดให้เป็นบัญชี SND ก็ได้
การปรับระเบียบดังกล่าว นอกจากเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนตราสารหนี้และหน่วยลงทุนในการนำเงินตราต่างประเทศมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทเพื่อลงทุนแล้ว ยังเพิ่มความคล่องตัวในการลงทุนโดยผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตร ธปท. ไม่เกิน 3 เดือน สามารถขายตราสารข้างต้นได้ในตลาดหากประสงค์ที่จะเปลี่ยนไปถือครองตราสารหนี้ประเภทอื่น แต่เงินที่นำเข้ามาลงทุนต้องอยู่ในประเทศไม่น้อยกว่า 3 เดือน
ระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--