ผู้ดำเนินรายการ :สวัสดีครับคุณอภิสิทธิ์
นายอภิสิทธิ์ : สวัสดีครับ
ผู้ดำเนินรายการ : เมื่อวานนี้การต่อสู้ในคดียุบพรรคที่ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวาน ทางพรรคพอใจหรือไม่กับการทำคดีเมื่อวาน
นายอภิสิทธิ์ : ในภาพรวมคงต้องบอกว่ารู้สึกว่าข่าวสารที่เสนอออกไปอาจจะทำให้คนตกใจ ซึ่งตั้งแต่วันอังคารแล้ว เพราะรู้สึกว่าพาดหัวกันทำนองดุเดือด แต่ต้องเรียนว่าส่วนหนึ่งผมเคยคุยถึงปัญหากระบวนพิจารณา ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเป็นรูปแบบที่ใหม่ คงจะต้องมีเวลาปรับตัวพอสมควร เพราะว่าทางตุลาการได้ใช้วิธีการระเบียบ ซึ่งมีการส่งเอกสารเป็นหลัก และตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่าวิธีการในการพิจารณาว่าจะซักค้านกันได้มากย้อยแค่ไหน อย่างไร ก็เป็นคำถามหนึ่งที่เคยคุยกันไว้ ซึ่งผมว่าส่วนใหญ่ปัญหาในแง่ของบรรยากาศคงจะมาถึงตรงนั้น แต่ว่าเมื่อผ่านไปซักพักหนึ่งตรงนี้น่าจะราบรื่น เพราะว่าเห็นได้ชัดว่าอย่างกระบวนพิจารณาเมื่อวานนี้ จะเห็นว่าช่วงบ่ายจะราบรื่นกว่าช่วงเช้ามาก เพราะอาจเป็นเพราะมีความคุ้นเคย และเข้าใจในวิธีการในการดำเนินการ
ผู้ดำเนินรายการ :ช่วงเช้าทนายของพรรคประชาธิปัตย์ มี 4 ประเด็น ก็มีทนาย 4 คน ซักค้านพยานคนเดียวของพรรคไทยรักไทย คือคุณวิชิต ปรั่งศรีสกุล คุณวิชิตรเลยบอกว่าคราวหน้าพรรคไทยรักไทยเอาบ้าง ตรงนี้ว่าว่าอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ : อย่างที่เล่าให้ฟังนะครับว่า พอกำหนดประเด็นพรรคแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นทำให้เรามีความมั่นใจในกระบวนการ ก็คือว่าผมสังเกตดูว่าพอถึงประเด็นไหน แล้วทางตุลาการท่านจะสามารถพูดได้ทันทีว่า เรื่องนี้ไม่เป็นไร เพราะว่าเรื่องนี้อยู่ในสำนวนแล้ว เรื่องนี้จะมีพยานลำดับที่เท่าไร่ เบิกความ เพราะฉะนั้นก็เท่ากับว่าเห็นได้ชัดเลย ว่าทางตุลาได้กำหนด และเข้าใจเนื้อหาของประเด็นคดี อย่างดีมาก เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปด้วยความรวดเร็ว อย่างตัวอย่างบางเรื่องระบอบทักษิณ พรรคจะถามเรื่องคำสั่งของคปค. หรือคำปรารฏในรัฐธรรมนูญท่านก็บอกเลยว่าไม่ต้องสืบเพราะว่าอันนี้เป็นกฎหมาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่รับรู้ทั่วกันอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องการซักคดี ที่จริงผมก็ไม่เข้าใจ พยานเมื่อวานนะครับว่าไม่เข้าใจอย่างไร เพราะว่าปัญหาคดีของ พรรคประชาธิปัตย์ คือมี 4 ประเด็น ก็เหมือน 4 คดี คือเรื่องสงขลา กับเรื่องระบอบทักษิณ มันคนละเรื่อง และข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่อง ที่จำเป็นต้องนำสืบก็ค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นเมื่อวันที่ 30.พ.ย. วันที่มีการนัดซ้อมหัวหน้าผู้ว่าคดี คือท่านอดีตรนายกฯชวน หลีกภัย ได้แถลงต่อศาลว่าในกรณีอย่างนี้จะแบ่งไปเลยได้ไหมว่าประเด็นไหนก็จะมีทนายหนึ่งคน เพราะฉะนั้นจึงไม่เรื่องของการรุม เพราะมี4 ประเด็น ไม่เหมือนพรรคไทยรักไทย ซึ่งมีเพียงประเด็นเดียว คดีของพรรคประชาธิปัตย์ เรามี 4 ประเด็น เรื่องสงขลา ก็มอบหมายคุณถาวร เรื่องระบอบทักษิณ ก็มอบหมายให้คุณบัณฑิต ซึ่งเราก็บอกแถลงชัดเจนว่าคุณบัณฑิต จะซักเฉพาะเรื่องระบอบทักษิณ คือไม่ซักข้ามเรื่อง
ผู้ดำเนินรายการ : 4ประเด็นที่ว่าคือร่วมกับพันธมิตรล้มล้างรัฐบาล จ้างบุคคลไปลงสมัครในนามพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ขัดขวางการสมัครที่สงขลา และจ้างพรรคชีวิตที่ดีกว่าใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ก็คือประเด็นก็ซีกค้านกัน 4 คน ก็ไม่ใช่การรุม
นายอภิสิทธิ์ : ไม่ใช่การรุมละครับ และต่อไปนี้คงไม่ค่อยมีปัญหาเพราะว่าพยานที่มาต่อจากนี้จะอยู่ในประเด็นของตนเอง
ผู้ดำเนินรายการ : ช่วงที่ดุเดือนที่สุดคงเป็นช่วงคุณบัญฑิต และคุณวิชิต ใช่ไหมครับ ตามที่เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์
นายอภิสิทธิ์ : ทางศาลก็พยายามขอให้ใจเย็นๆ ซี่งผมว่าต่อไปนี้คงจะราบรื่นไม่มีอะไร อย่างที่เรียนก็คือว่าเรามีความมั่นใจในกระบวนการตุลาการ เพราะว่าเห็นได้ชัดว่าทางตุลาการก็ได้ติดตามคดี อย่างใกล้ชิด ท่านพูดเองเอ่ยว่า เรื่องนี้ก็เป็นเหมือนการประหารชีวิตทางการเมือง เพราะฉะนั้นตุลาการจะให้ความเป็นธรรมให้โอกาส ให้ทุกฝ่ายอยู่แล้ว
ผู้ดำเนินรายการ : เมื่อวานคุณอภิสิทธิ์ พอใจการไต่สวน
นายอภิสิทธิ์ : ผมก็พึงพอใจนะครับ เพราะว่า1.มีการกำหนดประเด็นลงมาให้ชัด 2.ในบางเรื่องที่เป็นเอกสารต่างๆในสำนวนที่เราต้องการที่จะซักถามขึ้นมาให้เห็นประเด็นทางตุลาการก็ได้บอกว่าท่านตอบไม่ต้อง คือท่านทราบแล้วว่าอยู่ในประเด็นหมดแล้ว
ผู้ดำเนินรายการ : เพราะฉะนั้นแสดงว่าทางประชาธิปัตย์ และพรรคไทยรักไทย น่าจะเข้าใจวิธีพิจารณาความ
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าต่อจากนี้ไปน่าจะราบรื่นครับ
ความสัมพันธ์ไทย-สิงคโปร์
ผู้ดำเนินรายการ : มาเรื่องความสัมพันธ์ไทย-สิงคโปร์ หลังจากที่มีมาตรการตอบโต้ไป เมื่อคุณทักษิณไปใช้เวทีที่สิงคโปร์ให้สัมภาษณ์ให้ร้ายคมช.กับรัฐบาล คุณอภิสิทธิ์ คิดว่าลำดับต่อจากนี้ไปความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 2 ประเทศจะกระทบกระเทือนจากกรณีนี้หรือไม่
นายอภิสิทธิ์ : คงต้องแยกให้ดีว่าปัญหาที่เกิดขึ้น คือปัญหาอะไร เพราะจริงๆผมเชื่อว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณทักษิณเดินทางไปที่สิงคโปร์ อย่างที่สิงคโปร์แถลงออกมาว่าคุณทักษิณไม่จำเป็นต้อง คือไม่ใช่ประเด็น คุณทักษิณ ก็เป็นเมืองคนอื่นที่สามารถไปไหนมาไหน รวมทั้งการกลับมาเมืองไทยผมก็เห็นว่ามีสิทธิ
ส่วนที่คุณทักษิณจะไปให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยเฉพาะไปให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเอกชนผมก็มีความเห็นว่ามีสิทธิที่จะทำได้ ไม่ว่าจะไปเกิดขึ้นที่ไหนอย่างไร แล้วสื่อมวลชนก็มีสิทธิทำหน้าที่ของตนเองและผมก็บอกแล้วว่าผมก็ไม่สนับสนุนมาตรการในการที่จะไปปิดกั้นสื่อทั้งในและต่างประเทศ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการให้ข่าวงให้ความเป็นจริงอีกด้านหนึ่ง เพราะผมมั่นใจว่าทนายคุณทักษิณ หรือตัวคุณทักษิณ มักจะอ้าง หักล้างได้หมด
เพราะฉะนั้นปัญหาอยู่ที่ว่า ในการเดินทางไปสิงคโปร์ คนระดับรองนายกฯได้รับนัดคุณทักษิณ และไปพบปะกันในที่สำคัญ ซึ่งตรงนี้ ปัญหาก็คือว่าได้มีการพูดกันระหว่างผู้นำก่อนหน้านี้ อย่างที่เมื่อวานมีการซักถามในสนช.ซึ่งมีการทำความเข้าใจแล้วว่าสถานะเป้นอย่างไร เราห่วงใยอะไร เท่ากับว่าสิงคโปร์ ทั้งๆที่รับรู้หลายครั้งไม่ได้ดำเนินการบนพื้นฐานความไว้วางใจ หรือความเป็นมิตรที่ดี ที่สำคัญกว่านั้นก็คือว่าที่บอกว่าไปพบกันเพราะเป็นเพื่อนเก่าไปคุยเรื่องส่วนตัว ผมมั่นใจ 100 % ว่าเป็นไปไม่ได้ ที่จะคุยเรื่องส่วนตัวในความหมายที่จะถามสาระทุกข์สุขดิบ ครอบครัวไม่ใช่หรอกครับ
แต่น่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ เพราะเมื่อคุณทักษิณ เป็นนายกฯ ก็มักนำเรื่องธุรกิจคุยอยู่แล้ว แต่ปัญหาก็คือว่าต้องลืมธุรกิจที่จะพูดคุยกันก็คือเรื่องของการซื้อขายหุ้นระหว่างเทมาเสกกับบ.ชินฯนั้นเอง ซึ่งก็เป็นต้นตอของปัญหาที่นำมาสู่วิกฤติทางการเมือง ของประเทศไทยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงนำมาสู่แนวความคิดดำเนินการตอบโต้
ฉะนั้นการตอบโต้ที่ได้ทำไปแล้ว ขั้นแรกเมื่อมีการเรียกร้องให้อธิบายให้ชัดเจน ก็เห็นจะมีการเรียกร้องอย่างชัดเจน เพราะ น่าจะมีความเข้าใจตอย่างดีก่อนว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร และได้มีการพูดคุยก่อนหน้านี้ว่าอย่างไร และความเป็นมิตรประเทศ ต้องให้เกียรติ และต้องการให้อิงพื้นฐานความเข้าใจ และความไว้วางใจ
เพราะฉะนั้นทางเดินไปข้างหน้าเราก็ต้องแน่วแน่ความเป็นเอกภาพในอาเซี่ยน และความสัมพันธ์ไทย-สิงคโปร์ ต้องดำเนินต่อไป แต่ความสัมพันธ์ที่ดีต้อวยืนอยู่บนพื้นฐานของการไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เพราะฉะนั้นการดำเนินการเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศต้องดำเนินไปอย่างรอบครอบ หลังจากที่ได้ตัดสินใจไปอย่างนี้แล้ว
ผู้ดำเนินรายการ : การแสดงออกเช่นนั้นคุณอภอสิทธิ์ เห็นว่าแข็งกร้าวไปหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่ามีความจำเป็นที่ตจ้องส่งสัญญาณให้ชัด ส่วนทางเลือกว่ามีวธีการอย่างไรก็ต้องมองกันได้ว่ามีมาตรการอื่นไหม หรือไม่ อย่างไร เมิ่อแสดงออกมาแล้วผมก็ถือว่าเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัด แลฃะหลังจากนั้ต้องมีการปรับความสัมพันธ์เข้ามาสู่ เรื่องของประโยชน์ ร่วมกันให้ได้
ทีนี้ทก็ต้องเป็นประเด็นต่อไปว่าไม่อยากให้ทางการไทยตื่นเต้นจนเกินไป กับเรื่องของคุณทักษิณ กับครอบครัว บังเอิญผมก็เห็นว่าสื่อก็ตื่นเต้นกับการที่ว่าคุณหญิงพจมานไปทำบุญ คือผมคิดว่ามันเป็นสิทธิ์ ส่วนบุคคลและท่านจะไปอะไรก็สุดแล้วแต่ แน่นอนถ้ามีการเคลื่อนไหวในลักษณะที่กระทบกระเทือนกับผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งผมยืนยันว่าในกรณีถ้าเกิดสมมติมีความพยายามจะติดต่อรัฐบาลสิงคโปร์ ในเรื่องของธุรกิจ ซึ่งขณะนี้มันจะมีการซื้อว่ามีการทำผิดกฎหมาย อย่างนี้ ตรงนี้ผมเห็นว่าจะต้องให้ความสำคัญ แต่ว่าสมมติว่าท่านจะไปจีน ไปญี่ปุ่น และไปให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อันนี้ผมถือว่า เป็นเรื่องปกติ ไม่ควรไปใส่ใจตื่นเต้นมาก
ผู้ดำเนินรายการ : ก็คือคุณอภิสิทธิ์ ก็คิดว่าตราบใดที่ไปให้สัมภาณ์โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลในรับบาลประเทศนั้นก็เป็นสิทธิ์
นายอภิสิทธิ์ : คือการใช้สิทธิส่วนบุคคลการไปทำบุญถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ต้องดูว่าอะไรที่เป็นเรื่องผิดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การไปอยู่เบื่องหลัง การไปวางระเบิด อันนี้ก็ต็องจัดการให้เด็ดขาด และถ้าเป็นเรื่องของข่าวสาร ทางคมช. และนรัฐบาลก็ต้องใช้กลไกของตัวเองในการให้ข่าวสารที่ถูกต้องอีกด้านหนึ่งก็จะเป้นแนวทางอีอย่างหนึ่ง
ผู้ดำเนินรายการ : คือมีความพยายามปล่อยข่าวจากบางฝ่าว่าท่าทีของรัฐบาลไทย ที่ตอบโต้สิงคโปร์ ยิ่งสามารถเป็นเงื่อนไขให้คุณทักษิณ ใช้เป็นเงื่อนไขขอลี้ภัยทางการเมืองในบางประเทศได้ และยังมีการปล่อยข่าวด้วยซ้ำว่ามีบางประเทศ จะอนุญาตให้คุณทักษิณใช้สถานที่เป็นที่ลี้ภัยทางการเมือง4-5ประเทศ คุณอภิสิทธิ์มองอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ : สิ่งที่รัฐบาลและคมช.ควรระมัดระวัง และเป็นจุดยืนของผมมาโดยตลอดก็คือว่าอย่าตกเป็นเหยื่อของการไปทำอะไรที่สร้างเงื่อนไข ให้เกิดความชอบธรรม เพราะกลยุทธของฝ่ายคุณทักษิณ ก็คือการประกาศตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย และยิ่งกว่านั้นคือพยายามแสดงตัวว่าเข้าใจและเป็นมิตรของระบบธุรกิจและระบบทุนด้วย เพราะจริงๆแล้ว ถ้าคมช. และรัฐบาลบอกว่า ตัวเองจะฟื้นฟูประชาธิปไตย ต้องรีบพิสูจน์ตัวเอง และที่วันนี้พล.อ.สนธิ เหมือนจะออกมาบอกว่า เล็งเลือกเลือกตั้ง ยึดธรรมนูญ ปี 2540 ผมว่าอันนี้เป็นสัญญาณที่เราอยากเห็นมาก
การดักฟังโทรศัพท์
ผู้ดำเนินรายการ : เรื่องการดักฟังโทรศัพท์ ความลับรั่วไปอยู่ในมือของต่างชาติ และวันนี้มีการพูดกันถึงขั้นที่จะมีการยึดสัมปทานดาวเทียม ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติคืน คุณอภิสิทธิ์ มองอย่างไรครับ
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่านี่ก้เป็นกรณีหนึ่ง ที่ผมคิดว่าอยากให้จับประเด็นและสื่อสารให้แม่นยำ อะไรที่จะทำต่อความมั่นคง มันเป็นความผิดทางกฎหมายอยู่แล้ว เช่นเดียวกับกิจการใดๆที่เกี่ยวกับความมั่นคงที่อยู่ในธุรกิจต่างด้าว กฎหมายเฉพาะ กฎหมายก็ระบุชัดเจนอยู่แล้วว่าจะดำเนินการอย่างไร ผมจึงยืนยันว่าการจะจัดการเรื่องนี้หากมีการละเมิดกฎหมายอยู่ ซึ่งทางกรณีที่ผมเอ่ยมาผมเชื่อว่ามี ขอให้ให้ดำเนินการโดยเด็ดขาด แต่ว่าอย่าไปทำให้เกิดความเข้าใจว่าจะมีการกลั่นแกล้ง ประเทศใด ประเทศหนึ่งหรือกลุ่มทุนใด กลุ่มทุนหนึ่ง อันนั้นต้องระวัง
ผู้ดำเนินรายการ : วันนี้ก็ขอขอบคุณครับ/ค่ะ
นายอภิสิทธิ์ : สวัสดีครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 ม.ค. 2550--จบ--
นายอภิสิทธิ์ : สวัสดีครับ
ผู้ดำเนินรายการ : เมื่อวานนี้การต่อสู้ในคดียุบพรรคที่ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวาน ทางพรรคพอใจหรือไม่กับการทำคดีเมื่อวาน
นายอภิสิทธิ์ : ในภาพรวมคงต้องบอกว่ารู้สึกว่าข่าวสารที่เสนอออกไปอาจจะทำให้คนตกใจ ซึ่งตั้งแต่วันอังคารแล้ว เพราะรู้สึกว่าพาดหัวกันทำนองดุเดือด แต่ต้องเรียนว่าส่วนหนึ่งผมเคยคุยถึงปัญหากระบวนพิจารณา ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเป็นรูปแบบที่ใหม่ คงจะต้องมีเวลาปรับตัวพอสมควร เพราะว่าทางตุลาการได้ใช้วิธีการระเบียบ ซึ่งมีการส่งเอกสารเป็นหลัก และตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่าวิธีการในการพิจารณาว่าจะซักค้านกันได้มากย้อยแค่ไหน อย่างไร ก็เป็นคำถามหนึ่งที่เคยคุยกันไว้ ซึ่งผมว่าส่วนใหญ่ปัญหาในแง่ของบรรยากาศคงจะมาถึงตรงนั้น แต่ว่าเมื่อผ่านไปซักพักหนึ่งตรงนี้น่าจะราบรื่น เพราะว่าเห็นได้ชัดว่าอย่างกระบวนพิจารณาเมื่อวานนี้ จะเห็นว่าช่วงบ่ายจะราบรื่นกว่าช่วงเช้ามาก เพราะอาจเป็นเพราะมีความคุ้นเคย และเข้าใจในวิธีการในการดำเนินการ
ผู้ดำเนินรายการ :ช่วงเช้าทนายของพรรคประชาธิปัตย์ มี 4 ประเด็น ก็มีทนาย 4 คน ซักค้านพยานคนเดียวของพรรคไทยรักไทย คือคุณวิชิต ปรั่งศรีสกุล คุณวิชิตรเลยบอกว่าคราวหน้าพรรคไทยรักไทยเอาบ้าง ตรงนี้ว่าว่าอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ : อย่างที่เล่าให้ฟังนะครับว่า พอกำหนดประเด็นพรรคแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นทำให้เรามีความมั่นใจในกระบวนการ ก็คือว่าผมสังเกตดูว่าพอถึงประเด็นไหน แล้วทางตุลาการท่านจะสามารถพูดได้ทันทีว่า เรื่องนี้ไม่เป็นไร เพราะว่าเรื่องนี้อยู่ในสำนวนแล้ว เรื่องนี้จะมีพยานลำดับที่เท่าไร่ เบิกความ เพราะฉะนั้นก็เท่ากับว่าเห็นได้ชัดเลย ว่าทางตุลาได้กำหนด และเข้าใจเนื้อหาของประเด็นคดี อย่างดีมาก เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปด้วยความรวดเร็ว อย่างตัวอย่างบางเรื่องระบอบทักษิณ พรรคจะถามเรื่องคำสั่งของคปค. หรือคำปรารฏในรัฐธรรมนูญท่านก็บอกเลยว่าไม่ต้องสืบเพราะว่าอันนี้เป็นกฎหมาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่รับรู้ทั่วกันอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องการซักคดี ที่จริงผมก็ไม่เข้าใจ พยานเมื่อวานนะครับว่าไม่เข้าใจอย่างไร เพราะว่าปัญหาคดีของ พรรคประชาธิปัตย์ คือมี 4 ประเด็น ก็เหมือน 4 คดี คือเรื่องสงขลา กับเรื่องระบอบทักษิณ มันคนละเรื่อง และข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่อง ที่จำเป็นต้องนำสืบก็ค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นเมื่อวันที่ 30.พ.ย. วันที่มีการนัดซ้อมหัวหน้าผู้ว่าคดี คือท่านอดีตรนายกฯชวน หลีกภัย ได้แถลงต่อศาลว่าในกรณีอย่างนี้จะแบ่งไปเลยได้ไหมว่าประเด็นไหนก็จะมีทนายหนึ่งคน เพราะฉะนั้นจึงไม่เรื่องของการรุม เพราะมี4 ประเด็น ไม่เหมือนพรรคไทยรักไทย ซึ่งมีเพียงประเด็นเดียว คดีของพรรคประชาธิปัตย์ เรามี 4 ประเด็น เรื่องสงขลา ก็มอบหมายคุณถาวร เรื่องระบอบทักษิณ ก็มอบหมายให้คุณบัณฑิต ซึ่งเราก็บอกแถลงชัดเจนว่าคุณบัณฑิต จะซักเฉพาะเรื่องระบอบทักษิณ คือไม่ซักข้ามเรื่อง
ผู้ดำเนินรายการ : 4ประเด็นที่ว่าคือร่วมกับพันธมิตรล้มล้างรัฐบาล จ้างบุคคลไปลงสมัครในนามพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ขัดขวางการสมัครที่สงขลา และจ้างพรรคชีวิตที่ดีกว่าใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ก็คือประเด็นก็ซีกค้านกัน 4 คน ก็ไม่ใช่การรุม
นายอภิสิทธิ์ : ไม่ใช่การรุมละครับ และต่อไปนี้คงไม่ค่อยมีปัญหาเพราะว่าพยานที่มาต่อจากนี้จะอยู่ในประเด็นของตนเอง
ผู้ดำเนินรายการ : ช่วงที่ดุเดือนที่สุดคงเป็นช่วงคุณบัญฑิต และคุณวิชิต ใช่ไหมครับ ตามที่เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์
นายอภิสิทธิ์ : ทางศาลก็พยายามขอให้ใจเย็นๆ ซี่งผมว่าต่อไปนี้คงจะราบรื่นไม่มีอะไร อย่างที่เรียนก็คือว่าเรามีความมั่นใจในกระบวนการตุลาการ เพราะว่าเห็นได้ชัดว่าทางตุลาการก็ได้ติดตามคดี อย่างใกล้ชิด ท่านพูดเองเอ่ยว่า เรื่องนี้ก็เป็นเหมือนการประหารชีวิตทางการเมือง เพราะฉะนั้นตุลาการจะให้ความเป็นธรรมให้โอกาส ให้ทุกฝ่ายอยู่แล้ว
ผู้ดำเนินรายการ : เมื่อวานคุณอภิสิทธิ์ พอใจการไต่สวน
นายอภิสิทธิ์ : ผมก็พึงพอใจนะครับ เพราะว่า1.มีการกำหนดประเด็นลงมาให้ชัด 2.ในบางเรื่องที่เป็นเอกสารต่างๆในสำนวนที่เราต้องการที่จะซักถามขึ้นมาให้เห็นประเด็นทางตุลาการก็ได้บอกว่าท่านตอบไม่ต้อง คือท่านทราบแล้วว่าอยู่ในประเด็นหมดแล้ว
ผู้ดำเนินรายการ : เพราะฉะนั้นแสดงว่าทางประชาธิปัตย์ และพรรคไทยรักไทย น่าจะเข้าใจวิธีพิจารณาความ
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าต่อจากนี้ไปน่าจะราบรื่นครับ
ความสัมพันธ์ไทย-สิงคโปร์
ผู้ดำเนินรายการ : มาเรื่องความสัมพันธ์ไทย-สิงคโปร์ หลังจากที่มีมาตรการตอบโต้ไป เมื่อคุณทักษิณไปใช้เวทีที่สิงคโปร์ให้สัมภาษณ์ให้ร้ายคมช.กับรัฐบาล คุณอภิสิทธิ์ คิดว่าลำดับต่อจากนี้ไปความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 2 ประเทศจะกระทบกระเทือนจากกรณีนี้หรือไม่
นายอภิสิทธิ์ : คงต้องแยกให้ดีว่าปัญหาที่เกิดขึ้น คือปัญหาอะไร เพราะจริงๆผมเชื่อว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณทักษิณเดินทางไปที่สิงคโปร์ อย่างที่สิงคโปร์แถลงออกมาว่าคุณทักษิณไม่จำเป็นต้อง คือไม่ใช่ประเด็น คุณทักษิณ ก็เป็นเมืองคนอื่นที่สามารถไปไหนมาไหน รวมทั้งการกลับมาเมืองไทยผมก็เห็นว่ามีสิทธิ
ส่วนที่คุณทักษิณจะไปให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยเฉพาะไปให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเอกชนผมก็มีความเห็นว่ามีสิทธิที่จะทำได้ ไม่ว่าจะไปเกิดขึ้นที่ไหนอย่างไร แล้วสื่อมวลชนก็มีสิทธิทำหน้าที่ของตนเองและผมก็บอกแล้วว่าผมก็ไม่สนับสนุนมาตรการในการที่จะไปปิดกั้นสื่อทั้งในและต่างประเทศ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการให้ข่าวงให้ความเป็นจริงอีกด้านหนึ่ง เพราะผมมั่นใจว่าทนายคุณทักษิณ หรือตัวคุณทักษิณ มักจะอ้าง หักล้างได้หมด
เพราะฉะนั้นปัญหาอยู่ที่ว่า ในการเดินทางไปสิงคโปร์ คนระดับรองนายกฯได้รับนัดคุณทักษิณ และไปพบปะกันในที่สำคัญ ซึ่งตรงนี้ ปัญหาก็คือว่าได้มีการพูดกันระหว่างผู้นำก่อนหน้านี้ อย่างที่เมื่อวานมีการซักถามในสนช.ซึ่งมีการทำความเข้าใจแล้วว่าสถานะเป้นอย่างไร เราห่วงใยอะไร เท่ากับว่าสิงคโปร์ ทั้งๆที่รับรู้หลายครั้งไม่ได้ดำเนินการบนพื้นฐานความไว้วางใจ หรือความเป็นมิตรที่ดี ที่สำคัญกว่านั้นก็คือว่าที่บอกว่าไปพบกันเพราะเป็นเพื่อนเก่าไปคุยเรื่องส่วนตัว ผมมั่นใจ 100 % ว่าเป็นไปไม่ได้ ที่จะคุยเรื่องส่วนตัวในความหมายที่จะถามสาระทุกข์สุขดิบ ครอบครัวไม่ใช่หรอกครับ
แต่น่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ เพราะเมื่อคุณทักษิณ เป็นนายกฯ ก็มักนำเรื่องธุรกิจคุยอยู่แล้ว แต่ปัญหาก็คือว่าต้องลืมธุรกิจที่จะพูดคุยกันก็คือเรื่องของการซื้อขายหุ้นระหว่างเทมาเสกกับบ.ชินฯนั้นเอง ซึ่งก็เป็นต้นตอของปัญหาที่นำมาสู่วิกฤติทางการเมือง ของประเทศไทยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงนำมาสู่แนวความคิดดำเนินการตอบโต้
ฉะนั้นการตอบโต้ที่ได้ทำไปแล้ว ขั้นแรกเมื่อมีการเรียกร้องให้อธิบายให้ชัดเจน ก็เห็นจะมีการเรียกร้องอย่างชัดเจน เพราะ น่าจะมีความเข้าใจตอย่างดีก่อนว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร และได้มีการพูดคุยก่อนหน้านี้ว่าอย่างไร และความเป็นมิตรประเทศ ต้องให้เกียรติ และต้องการให้อิงพื้นฐานความเข้าใจ และความไว้วางใจ
เพราะฉะนั้นทางเดินไปข้างหน้าเราก็ต้องแน่วแน่ความเป็นเอกภาพในอาเซี่ยน และความสัมพันธ์ไทย-สิงคโปร์ ต้องดำเนินต่อไป แต่ความสัมพันธ์ที่ดีต้อวยืนอยู่บนพื้นฐานของการไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เพราะฉะนั้นการดำเนินการเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศต้องดำเนินไปอย่างรอบครอบ หลังจากที่ได้ตัดสินใจไปอย่างนี้แล้ว
ผู้ดำเนินรายการ : การแสดงออกเช่นนั้นคุณอภอสิทธิ์ เห็นว่าแข็งกร้าวไปหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่ามีความจำเป็นที่ตจ้องส่งสัญญาณให้ชัด ส่วนทางเลือกว่ามีวธีการอย่างไรก็ต้องมองกันได้ว่ามีมาตรการอื่นไหม หรือไม่ อย่างไร เมิ่อแสดงออกมาแล้วผมก็ถือว่าเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัด แลฃะหลังจากนั้ต้องมีการปรับความสัมพันธ์เข้ามาสู่ เรื่องของประโยชน์ ร่วมกันให้ได้
ทีนี้ทก็ต้องเป็นประเด็นต่อไปว่าไม่อยากให้ทางการไทยตื่นเต้นจนเกินไป กับเรื่องของคุณทักษิณ กับครอบครัว บังเอิญผมก็เห็นว่าสื่อก็ตื่นเต้นกับการที่ว่าคุณหญิงพจมานไปทำบุญ คือผมคิดว่ามันเป็นสิทธิ์ ส่วนบุคคลและท่านจะไปอะไรก็สุดแล้วแต่ แน่นอนถ้ามีการเคลื่อนไหวในลักษณะที่กระทบกระเทือนกับผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งผมยืนยันว่าในกรณีถ้าเกิดสมมติมีความพยายามจะติดต่อรัฐบาลสิงคโปร์ ในเรื่องของธุรกิจ ซึ่งขณะนี้มันจะมีการซื้อว่ามีการทำผิดกฎหมาย อย่างนี้ ตรงนี้ผมเห็นว่าจะต้องให้ความสำคัญ แต่ว่าสมมติว่าท่านจะไปจีน ไปญี่ปุ่น และไปให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อันนี้ผมถือว่า เป็นเรื่องปกติ ไม่ควรไปใส่ใจตื่นเต้นมาก
ผู้ดำเนินรายการ : ก็คือคุณอภิสิทธิ์ ก็คิดว่าตราบใดที่ไปให้สัมภาณ์โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลในรับบาลประเทศนั้นก็เป็นสิทธิ์
นายอภิสิทธิ์ : คือการใช้สิทธิส่วนบุคคลการไปทำบุญถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ต้องดูว่าอะไรที่เป็นเรื่องผิดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การไปอยู่เบื่องหลัง การไปวางระเบิด อันนี้ก็ต็องจัดการให้เด็ดขาด และถ้าเป็นเรื่องของข่าวสาร ทางคมช. และนรัฐบาลก็ต้องใช้กลไกของตัวเองในการให้ข่าวสารที่ถูกต้องอีกด้านหนึ่งก็จะเป้นแนวทางอีอย่างหนึ่ง
ผู้ดำเนินรายการ : คือมีความพยายามปล่อยข่าวจากบางฝ่าว่าท่าทีของรัฐบาลไทย ที่ตอบโต้สิงคโปร์ ยิ่งสามารถเป็นเงื่อนไขให้คุณทักษิณ ใช้เป็นเงื่อนไขขอลี้ภัยทางการเมืองในบางประเทศได้ และยังมีการปล่อยข่าวด้วยซ้ำว่ามีบางประเทศ จะอนุญาตให้คุณทักษิณใช้สถานที่เป็นที่ลี้ภัยทางการเมือง4-5ประเทศ คุณอภิสิทธิ์มองอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ : สิ่งที่รัฐบาลและคมช.ควรระมัดระวัง และเป็นจุดยืนของผมมาโดยตลอดก็คือว่าอย่าตกเป็นเหยื่อของการไปทำอะไรที่สร้างเงื่อนไข ให้เกิดความชอบธรรม เพราะกลยุทธของฝ่ายคุณทักษิณ ก็คือการประกาศตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย และยิ่งกว่านั้นคือพยายามแสดงตัวว่าเข้าใจและเป็นมิตรของระบบธุรกิจและระบบทุนด้วย เพราะจริงๆแล้ว ถ้าคมช. และรัฐบาลบอกว่า ตัวเองจะฟื้นฟูประชาธิปไตย ต้องรีบพิสูจน์ตัวเอง และที่วันนี้พล.อ.สนธิ เหมือนจะออกมาบอกว่า เล็งเลือกเลือกตั้ง ยึดธรรมนูญ ปี 2540 ผมว่าอันนี้เป็นสัญญาณที่เราอยากเห็นมาก
การดักฟังโทรศัพท์
ผู้ดำเนินรายการ : เรื่องการดักฟังโทรศัพท์ ความลับรั่วไปอยู่ในมือของต่างชาติ และวันนี้มีการพูดกันถึงขั้นที่จะมีการยึดสัมปทานดาวเทียม ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติคืน คุณอภิสิทธิ์ มองอย่างไรครับ
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่านี่ก้เป็นกรณีหนึ่ง ที่ผมคิดว่าอยากให้จับประเด็นและสื่อสารให้แม่นยำ อะไรที่จะทำต่อความมั่นคง มันเป็นความผิดทางกฎหมายอยู่แล้ว เช่นเดียวกับกิจการใดๆที่เกี่ยวกับความมั่นคงที่อยู่ในธุรกิจต่างด้าว กฎหมายเฉพาะ กฎหมายก็ระบุชัดเจนอยู่แล้วว่าจะดำเนินการอย่างไร ผมจึงยืนยันว่าการจะจัดการเรื่องนี้หากมีการละเมิดกฎหมายอยู่ ซึ่งทางกรณีที่ผมเอ่ยมาผมเชื่อว่ามี ขอให้ให้ดำเนินการโดยเด็ดขาด แต่ว่าอย่าไปทำให้เกิดความเข้าใจว่าจะมีการกลั่นแกล้ง ประเทศใด ประเทศหนึ่งหรือกลุ่มทุนใด กลุ่มทุนหนึ่ง อันนั้นต้องระวัง
ผู้ดำเนินรายการ : วันนี้ก็ขอขอบคุณครับ/ค่ะ
นายอภิสิทธิ์ : สวัสดีครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 ม.ค. 2550--จบ--