ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ห่วงการดำเนินนโยบายการคลังผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดความ
ไม่สมดุลทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เผยแพร่บทความเรื่อง บทบาทของสถาบันการเงิน
เฉพาะกิจที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ โดยชี้ให้เห็นว่า การที่ภาครัฐดำเนินนโยบายการเงินผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
และ ธพ.ของรัฐ เป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เกิดความไม่สมดุลทางการเงินในระบบการเงิน ซึ่งถือเป็นอุปสรรคใน
การดำเนินนโยบายการเงินให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เนื่องจากการใช้นโยบายการคลังผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
นั้น จะทำให้เกิดต้นทุนทางสังคมเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบกับผู้เสียภาษีและทำให้การจัดสรรทรัพยากรถูกบิดเบือน
และบางโครงการอาจทำให้เกิดการสร้างภาระหนี้สินของประชาชนเพิ่มขึ้น เพราะประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่ง
เงินทุนได้ง่ายขึ้น แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะมีข้อดีในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งเสริมการออม และใช้เพื่อการแก้ปัญหา
หนี้นอกระบบก็ตาม ซึ่งการที่ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นนั้น อาจทำให้ลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
บางรายอาจเข้าใจว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องให้ความช่วยเหลือหากมีปัญหา จึงขาดความรับผิดชอบ เป็นสาเหตุ
หนึ่งของการก่อหนี้ที่ด้อยคุณภาพ และเท่ากับเป็นการสะสมความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน ซึ่งจะกลาย
เป็นภาระในงบประมาณของรัฐบาล และกลายเป็นต้นทุนทางสังคมในที่สุด (กรุงเทพธุรกิจ)
2. รัฐบาลเตรียมจัดตั้งสำนักงานยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศเพื่อรองรับนโยบายเอฟทีเอ
รายงานจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 ที่มี
ดร.วิษณุ เครืองาม รอง นรม.เป็นประธานเห็นชอบในหลักการจัดตั้งสำนักงานยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศ
(สยค.) ภายใต้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อรองรับนโยบายเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) และรักษาผล
ประโยชน์ของประเทศในการเจรจาเขตการค้าเสรี โดยให้ ก.พาณิชย์ไปจัดทำรายละเอียดรูปแบบการจัดตั้งสำนัก
งาน ก่อนเสนอให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาในวันที่ 12 ก.ค.นี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
3. ส.อ.ท.ประเมินเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้จะลดลงเล็กน้อย ขณะที่ ม.หอการค้าไทยคาดไทย
อาจต้องเผชิญกับภาวะว่างงานเพิ่มมากขึ้น ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จาก
การสอบถามสมาชิกของ ส.อ.ท.ที่มีอยู่ 32 กลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อประเมินสถานะทางเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือน
หลังปี 48 มีแนวโน้มว่าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) จะลดลงเล็กน้อย โดยคาดว่าเฉลี่ยทั้งปีจะ
อยู่ที่ประมาณร้อยละ 4-5 แต่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของรัฐเป็นสำคัญ ขณะที่ ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและ
ธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า จากปัญหาราคาน้ำมันแพงส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น ทำให้แนวโน้มในครึ่ง
ปีหลังไปจนถึงต้นปี 49 ประชาชนในประเทศอาจต้องเผชิญกับภาวะว่างงานเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีอัตราขยาย
ตัวจากร้อยละ 2 ในปัจจุบันไปอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3-4 ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในปี 40 (ไทยรัฐ)
4. ก.คลังเตรียมจัดตั้งกองทุนแก้ปัญหาลูกหนี้นอกระบบ รมช.คลัง เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานเปิด
งานสัมมนา “การแก้ปัญหาความยากจนคาราวานแก้จน” ถึงความคืบหน้านโยบายแก้ปัญหาความยากจนว่า ในส่วนที่
ก.คลังรับผิดชอบ การตรวจสอบภาระหนี้นอกระบบของคนจนที่มาขึ้นทะเบียนก่อนที่จะนำลูกหนี้เหล่านี้ผลักดันเข้าไป
เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินของรัฐแทน ที่มีเงื่อนไขการผ่อนชำระและอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ทั้งนี้ จากการเปิด
ขึ้นทะเบียนที่มียอดคนจนมาแจ้งเข้าโครงการประมาณ 5 ล้านคน มูลหนี้รวม 690,000 ล้านบาท พบว่าร้อยละ 80
ลูกหนี้ถอนตัวออกจากโครงการจำนวนมาก เพราะเข้าใจผิดว่าโครงการจะมีภาครัฐไปชำระหนี้แทนให้ โดยสุดท้าย
แล้วคงเหลือลูกหนี้อยู่ในโครงการประมาณ 170,000 รายที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามเงื่อนไขของสถาบันการเงิน และ
ขณะนี้ได้ดำเนินการโอนหนี้ไปอยู่ในการดูแลของสถาบันการเงินของรัฐแล้วประมาณ 70,000-80,000 ราย และที
เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ (บ้านเมือง, ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. การเจรจาการค้าโลกรอบโดฮากำลังถึงทางตัน รายงานจากเจนีวา เมื่อ 8 ก.ค.48 นายศุภ
ชัย พานิชภักดิ์ ผอ.องค์การการค้าโลก หรือ WTO กล่าวต่อตัวแทนจากประเทศสมาชิก WTO 148 ประเทศที่กำลัง
เจรจาการค้าโลกเพื่อลดการกีดกันทางการค้าและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศยากจนว่าการเจรจารอบโดฮาซึ่ง
เริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 44 ได้มาถึงทางตันเมื่อมาถึงหัวข้อสินค้าเกษตรและกำแพงภาษีสินค้า ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่า
ท่าทีของกลุ่มประเทศร่ำรวย 8 ประเทศหรือ G8 ที่ยังไม่กำหนดวันเวลาที่เชื่อถือได้ในการยกเลิกการให้เงินอุดหนุน
สินค้าเกษตรของตนได้สร้างความไม่พอใจให้ประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีฐานะ
ยากจน แม้ว่าบรรดาผู้นำของ G8 และ นรม.ของอังกฤษจะให้สัมภาษณ์ว่าเขาเชื่อว่าการเจรจาการค้าโลกในระดับ
รัฐมนตรีในเดือน ธ.ค.ปีนี้ที่ฮ่องกงจะบรรลุข้อตกลงที่จะยกเลิกเงินอุดหนุนสินค้าเกษตรภายในปี 53 ก็ตาม แต่เป็นที่
ชัดเจนว่ายังมีการต่อต้านเกี่ยวกับเรื่องนี้จากเกษตรกรของประเทศในสหภาพยุโรป นายศุภชัยได้กล่าวต่อว่าเขาจะ
มองหาแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองที่สำคัญจากการประชุมรัฐมนตรีที่ดูแลด้านการค้าของประเทศ
สมาชิก 30 ประเทศซึ่งมาจากประเทศที่มีระดับการพัฒนาแตกต่างกันทุกระดับที่มีกำหนดจัดขึ้นที่เมืองต้าเหลียง
ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 12-13 ก.ค.48 นี้ ซึ่งนายศุภชัยเกรงว่าหากไม่มีการตกลงกันในเบื้องต้น
ก่อนถึงการประชุมในเดือน ธ.ค.ปีนี้อาจส่งผลให้การเจรจาที่ฮ่องกงล้มเหลวได้เหมือนที่การประชุมระดับรัฐมนตรีที่
Seattle ในปี 42 และที่ Cancun ในปี 46 ได้ส่งผลต่อการเจรจารอบโดฮาในขณะนี้ (รอยเตอร์)
2. จีนจะทำให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นแทนที่จะเปลี่ยนแปลงค่าเงิน รายงานจากกรุงปักกิ่ง
ประเทศจีน เมื่อวันที่ 11 ก.ค.48 Hu Xiaolian หัวหน้าสำนักบริหารอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของ
รัฐ เปิดเผยว่า จีนตัดสินใจที่จะให้มีการปฏิรูปตลาดเงินตราเพื่อทำให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แทนที่จะ
อนุญาตให้มีการเพิ่มค่าเงินหยวนเพียงอย่างเดียว โดยกล่าวย้ำว่า จุดยืนของจีนคือการริเริ่มที่จะปฏิรูประบบเงินตรา
ของประเทศ แต่การปฏิรูปจะต้องดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปและอยู่ในการควบคุมดูแลเพื่อป้องการความเสี่ยงที่
อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ สรอ. และประเทศคู่ค้าของจีนอีกหลายประเทศกำลังกดดันให้จีนเปลี่ยนแปลงค่าเงินหยวนที่
ปัจจุบันจีนตรึงไว้ที่ระดับ 8.28 หยวน ต่อ 1 ดอลลาร์ สรอ. โดยกล่าวว่าการที่ค่าเงินหยวนต่ำกว่าที่ควรจะเป็นทำ
ให้ผู้ส่งออกของจีนได้เปรียบและไม่เป็นธรรมต่อตลาดการค้าระหว่างประเทศ (รอยเตอร์)
3. ไตรมาสที่ 2 ปี 48 จีดีพีของสิงคโปร์ขยายตัวเกินความคาดหมาย รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ
11 ก.ค.48 The Ministry of Trade and Industry เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ของ
สิงคโปร์ ซึ่งเป็นมูลค่ารวมของสินค้าและบริการทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 48 เพิ่มขึ้นร้อย
ละ 12.3 เทียบต่อไตรมาส เป็นไปในทิศทางเดียวกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อย
ละ 6.6 ขณะที่เมื่อเทียบต่อปีจีดีพีเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 2.5 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 5.5 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงที่มีการแพร่
ระบาดของโรคซาร์สในไตรมาสที่ 2 ปี 46 ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของจีดีพีเป็นผลจากความแข็งแกร่งของภาคบริการและ
ภาคการผลิต โดยตัวเลขการผลิตในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 และภาคบริการซึ่งมีสัดส่วนเป็น
ร้อยละ 63 ของระบบเศรษฐกิจของสิงคโปร์ขยายตัวร้อยละ 4.2 ขณะที่ภาคก่อสร้างหดตัวลงร้อยละ 1.4 ซึ่ง
บรรดานักเศรษฐศาสตร์ต่างมองว่า เศรษฐกิจของสิงคโปร์จะฟื้นตัวขึ้นอย่างแท้จริงในช่วงครึ่งหลังของปี 48 เป็นต้น
ไป (รอยเตอร์)
4. มาเลเซียยืนยันเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ร้อยละ 5-6 รายงานจากกัวลาลัมเปอร์เมื่อ
วันที่ 10 ก.ค. 48 ผวก.ธ.กลางมาเลเซียเปิดเผยว่า ปัจจุบันมาเลเซียยังคงตั้งเป้าหมายการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจไว้ที่ร้อยละ 5-6 แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะสูงขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ ธ.กลางจะใช้เวลา 3 — 4 เดือนก่อนที่จะมี
การเปลี่ยนแปลงเป้าหมายทางเศรษฐกิจในขณะที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวว่ามาเลเซียจะมีการทบทวนเป้า
หมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจเนื่องจากผลกระทบจากราคาน้ำมันด้วย โดยราคาน้ำมันดิบสรอ.เมื่อวันพฤหัสบดีทำ
สถิติสูงสุดที่บาร์เรลละ 62.10 ดอลลาร์ สรอ. ก่อนที่จะลดลงมาที่บาร์เรลละ 59.70 ดอลลาร์ สรอ.เนื่องจาก
การขายทำกำไร อย่างไรก็ตามแม้ว่ามาเลเซียจะเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันแต่นักวิเคราะห์เตือนว่าราคาน้ำมันที่อยู่
ในระดับสูงยาวนานต่อไปอีกจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญของมาเลเซียชะลอตัวและส่งผลกระทบต่อ
การส่งออกของมาเลเซียได้เนื่องจากอุปสงค์ลดลง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 ก.ค. 48 8 ก.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 42.081 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.8644/42.1416 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.59375-2.60 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 643.31/14.78 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,400/8,500 8,350/8,450 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 51.7 53.79 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.34*/21.69 25.34*/21.69 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม เมื่อ 7 ก.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ห่วงการดำเนินนโยบายการคลังผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดความ
ไม่สมดุลทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เผยแพร่บทความเรื่อง บทบาทของสถาบันการเงิน
เฉพาะกิจที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ โดยชี้ให้เห็นว่า การที่ภาครัฐดำเนินนโยบายการเงินผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
และ ธพ.ของรัฐ เป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เกิดความไม่สมดุลทางการเงินในระบบการเงิน ซึ่งถือเป็นอุปสรรคใน
การดำเนินนโยบายการเงินให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เนื่องจากการใช้นโยบายการคลังผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
นั้น จะทำให้เกิดต้นทุนทางสังคมเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบกับผู้เสียภาษีและทำให้การจัดสรรทรัพยากรถูกบิดเบือน
และบางโครงการอาจทำให้เกิดการสร้างภาระหนี้สินของประชาชนเพิ่มขึ้น เพราะประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่ง
เงินทุนได้ง่ายขึ้น แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะมีข้อดีในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งเสริมการออม และใช้เพื่อการแก้ปัญหา
หนี้นอกระบบก็ตาม ซึ่งการที่ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นนั้น อาจทำให้ลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
บางรายอาจเข้าใจว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องให้ความช่วยเหลือหากมีปัญหา จึงขาดความรับผิดชอบ เป็นสาเหตุ
หนึ่งของการก่อหนี้ที่ด้อยคุณภาพ และเท่ากับเป็นการสะสมความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน ซึ่งจะกลาย
เป็นภาระในงบประมาณของรัฐบาล และกลายเป็นต้นทุนทางสังคมในที่สุด (กรุงเทพธุรกิจ)
2. รัฐบาลเตรียมจัดตั้งสำนักงานยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศเพื่อรองรับนโยบายเอฟทีเอ
รายงานจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 ที่มี
ดร.วิษณุ เครืองาม รอง นรม.เป็นประธานเห็นชอบในหลักการจัดตั้งสำนักงานยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศ
(สยค.) ภายใต้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อรองรับนโยบายเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) และรักษาผล
ประโยชน์ของประเทศในการเจรจาเขตการค้าเสรี โดยให้ ก.พาณิชย์ไปจัดทำรายละเอียดรูปแบบการจัดตั้งสำนัก
งาน ก่อนเสนอให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาในวันที่ 12 ก.ค.นี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
3. ส.อ.ท.ประเมินเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้จะลดลงเล็กน้อย ขณะที่ ม.หอการค้าไทยคาดไทย
อาจต้องเผชิญกับภาวะว่างงานเพิ่มมากขึ้น ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จาก
การสอบถามสมาชิกของ ส.อ.ท.ที่มีอยู่ 32 กลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อประเมินสถานะทางเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือน
หลังปี 48 มีแนวโน้มว่าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) จะลดลงเล็กน้อย โดยคาดว่าเฉลี่ยทั้งปีจะ
อยู่ที่ประมาณร้อยละ 4-5 แต่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของรัฐเป็นสำคัญ ขณะที่ ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและ
ธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า จากปัญหาราคาน้ำมันแพงส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น ทำให้แนวโน้มในครึ่ง
ปีหลังไปจนถึงต้นปี 49 ประชาชนในประเทศอาจต้องเผชิญกับภาวะว่างงานเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีอัตราขยาย
ตัวจากร้อยละ 2 ในปัจจุบันไปอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3-4 ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในปี 40 (ไทยรัฐ)
4. ก.คลังเตรียมจัดตั้งกองทุนแก้ปัญหาลูกหนี้นอกระบบ รมช.คลัง เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานเปิด
งานสัมมนา “การแก้ปัญหาความยากจนคาราวานแก้จน” ถึงความคืบหน้านโยบายแก้ปัญหาความยากจนว่า ในส่วนที่
ก.คลังรับผิดชอบ การตรวจสอบภาระหนี้นอกระบบของคนจนที่มาขึ้นทะเบียนก่อนที่จะนำลูกหนี้เหล่านี้ผลักดันเข้าไป
เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินของรัฐแทน ที่มีเงื่อนไขการผ่อนชำระและอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ทั้งนี้ จากการเปิด
ขึ้นทะเบียนที่มียอดคนจนมาแจ้งเข้าโครงการประมาณ 5 ล้านคน มูลหนี้รวม 690,000 ล้านบาท พบว่าร้อยละ 80
ลูกหนี้ถอนตัวออกจากโครงการจำนวนมาก เพราะเข้าใจผิดว่าโครงการจะมีภาครัฐไปชำระหนี้แทนให้ โดยสุดท้าย
แล้วคงเหลือลูกหนี้อยู่ในโครงการประมาณ 170,000 รายที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามเงื่อนไขของสถาบันการเงิน และ
ขณะนี้ได้ดำเนินการโอนหนี้ไปอยู่ในการดูแลของสถาบันการเงินของรัฐแล้วประมาณ 70,000-80,000 ราย และที
เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ (บ้านเมือง, ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. การเจรจาการค้าโลกรอบโดฮากำลังถึงทางตัน รายงานจากเจนีวา เมื่อ 8 ก.ค.48 นายศุภ
ชัย พานิชภักดิ์ ผอ.องค์การการค้าโลก หรือ WTO กล่าวต่อตัวแทนจากประเทศสมาชิก WTO 148 ประเทศที่กำลัง
เจรจาการค้าโลกเพื่อลดการกีดกันทางการค้าและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศยากจนว่าการเจรจารอบโดฮาซึ่ง
เริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 44 ได้มาถึงทางตันเมื่อมาถึงหัวข้อสินค้าเกษตรและกำแพงภาษีสินค้า ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่า
ท่าทีของกลุ่มประเทศร่ำรวย 8 ประเทศหรือ G8 ที่ยังไม่กำหนดวันเวลาที่เชื่อถือได้ในการยกเลิกการให้เงินอุดหนุน
สินค้าเกษตรของตนได้สร้างความไม่พอใจให้ประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีฐานะ
ยากจน แม้ว่าบรรดาผู้นำของ G8 และ นรม.ของอังกฤษจะให้สัมภาษณ์ว่าเขาเชื่อว่าการเจรจาการค้าโลกในระดับ
รัฐมนตรีในเดือน ธ.ค.ปีนี้ที่ฮ่องกงจะบรรลุข้อตกลงที่จะยกเลิกเงินอุดหนุนสินค้าเกษตรภายในปี 53 ก็ตาม แต่เป็นที่
ชัดเจนว่ายังมีการต่อต้านเกี่ยวกับเรื่องนี้จากเกษตรกรของประเทศในสหภาพยุโรป นายศุภชัยได้กล่าวต่อว่าเขาจะ
มองหาแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองที่สำคัญจากการประชุมรัฐมนตรีที่ดูแลด้านการค้าของประเทศ
สมาชิก 30 ประเทศซึ่งมาจากประเทศที่มีระดับการพัฒนาแตกต่างกันทุกระดับที่มีกำหนดจัดขึ้นที่เมืองต้าเหลียง
ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 12-13 ก.ค.48 นี้ ซึ่งนายศุภชัยเกรงว่าหากไม่มีการตกลงกันในเบื้องต้น
ก่อนถึงการประชุมในเดือน ธ.ค.ปีนี้อาจส่งผลให้การเจรจาที่ฮ่องกงล้มเหลวได้เหมือนที่การประชุมระดับรัฐมนตรีที่
Seattle ในปี 42 และที่ Cancun ในปี 46 ได้ส่งผลต่อการเจรจารอบโดฮาในขณะนี้ (รอยเตอร์)
2. จีนจะทำให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นแทนที่จะเปลี่ยนแปลงค่าเงิน รายงานจากกรุงปักกิ่ง
ประเทศจีน เมื่อวันที่ 11 ก.ค.48 Hu Xiaolian หัวหน้าสำนักบริหารอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของ
รัฐ เปิดเผยว่า จีนตัดสินใจที่จะให้มีการปฏิรูปตลาดเงินตราเพื่อทำให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แทนที่จะ
อนุญาตให้มีการเพิ่มค่าเงินหยวนเพียงอย่างเดียว โดยกล่าวย้ำว่า จุดยืนของจีนคือการริเริ่มที่จะปฏิรูประบบเงินตรา
ของประเทศ แต่การปฏิรูปจะต้องดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปและอยู่ในการควบคุมดูแลเพื่อป้องการความเสี่ยงที่
อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ สรอ. และประเทศคู่ค้าของจีนอีกหลายประเทศกำลังกดดันให้จีนเปลี่ยนแปลงค่าเงินหยวนที่
ปัจจุบันจีนตรึงไว้ที่ระดับ 8.28 หยวน ต่อ 1 ดอลลาร์ สรอ. โดยกล่าวว่าการที่ค่าเงินหยวนต่ำกว่าที่ควรจะเป็นทำ
ให้ผู้ส่งออกของจีนได้เปรียบและไม่เป็นธรรมต่อตลาดการค้าระหว่างประเทศ (รอยเตอร์)
3. ไตรมาสที่ 2 ปี 48 จีดีพีของสิงคโปร์ขยายตัวเกินความคาดหมาย รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ
11 ก.ค.48 The Ministry of Trade and Industry เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ของ
สิงคโปร์ ซึ่งเป็นมูลค่ารวมของสินค้าและบริการทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 48 เพิ่มขึ้นร้อย
ละ 12.3 เทียบต่อไตรมาส เป็นไปในทิศทางเดียวกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อย
ละ 6.6 ขณะที่เมื่อเทียบต่อปีจีดีพีเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 2.5 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 5.5 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงที่มีการแพร่
ระบาดของโรคซาร์สในไตรมาสที่ 2 ปี 46 ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของจีดีพีเป็นผลจากความแข็งแกร่งของภาคบริการและ
ภาคการผลิต โดยตัวเลขการผลิตในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 และภาคบริการซึ่งมีสัดส่วนเป็น
ร้อยละ 63 ของระบบเศรษฐกิจของสิงคโปร์ขยายตัวร้อยละ 4.2 ขณะที่ภาคก่อสร้างหดตัวลงร้อยละ 1.4 ซึ่ง
บรรดานักเศรษฐศาสตร์ต่างมองว่า เศรษฐกิจของสิงคโปร์จะฟื้นตัวขึ้นอย่างแท้จริงในช่วงครึ่งหลังของปี 48 เป็นต้น
ไป (รอยเตอร์)
4. มาเลเซียยืนยันเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ร้อยละ 5-6 รายงานจากกัวลาลัมเปอร์เมื่อ
วันที่ 10 ก.ค. 48 ผวก.ธ.กลางมาเลเซียเปิดเผยว่า ปัจจุบันมาเลเซียยังคงตั้งเป้าหมายการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจไว้ที่ร้อยละ 5-6 แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะสูงขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ ธ.กลางจะใช้เวลา 3 — 4 เดือนก่อนที่จะมี
การเปลี่ยนแปลงเป้าหมายทางเศรษฐกิจในขณะที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวว่ามาเลเซียจะมีการทบทวนเป้า
หมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจเนื่องจากผลกระทบจากราคาน้ำมันด้วย โดยราคาน้ำมันดิบสรอ.เมื่อวันพฤหัสบดีทำ
สถิติสูงสุดที่บาร์เรลละ 62.10 ดอลลาร์ สรอ. ก่อนที่จะลดลงมาที่บาร์เรลละ 59.70 ดอลลาร์ สรอ.เนื่องจาก
การขายทำกำไร อย่างไรก็ตามแม้ว่ามาเลเซียจะเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันแต่นักวิเคราะห์เตือนว่าราคาน้ำมันที่อยู่
ในระดับสูงยาวนานต่อไปอีกจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญของมาเลเซียชะลอตัวและส่งผลกระทบต่อ
การส่งออกของมาเลเซียได้เนื่องจากอุปสงค์ลดลง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 ก.ค. 48 8 ก.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 42.081 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.8644/42.1416 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.59375-2.60 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 643.31/14.78 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,400/8,500 8,350/8,450 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 51.7 53.79 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.34*/21.69 25.34*/21.69 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม เมื่อ 7 ก.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--