ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ยอดเอ็นพีแอลของ ธ.พาณิชย์ 8 แห่ง ช่วง 6 เดือนแรกปีนี้มีจำนวน 2.4 แสนล้านบาท รายงานข่าวจาก ธ.พาณิชย์
แจ้งยอดเอ็นพีแอลของ ธ.พาณิชย์ 8 แห่ง ช่วงครึ่งแรกปีนี้มีจำนวน 240,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30,647 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 49
ที่อยู่ที่ระดับ 210,011 ล้านบาท โดย ธ.กรุงเทพ มีเอ็นพีแอล 37,298 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.96 ของสินเชื่อรวม ลดลง 823 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับสิ้นปี 49 ธ.กรุงไทย มีจำนวน 70,685 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.30 เพิ่มขึ้น 11,644 ล้านบาท ธ.กสิกรไทย มีจำนวน
24,427 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.59 เพิ่มขึ้น 3,541 ล้านบาท ธ.ไทยพาณิชย์ มีจำนวน 29,337 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.9 เพิ่มขึ้น
6,657 ล้านบาท ธ.ทหารไทย มีจำนวน 33,984 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.05 เพิ่มขึ้น 705 ล้านบาท ธ.กรุงศรีอยุธยา มีจำนวน
37,292 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.84 เพิ่มขึ้น 11,829 ล้านบาท ธ.นครหลวงไทย มีจำนวน 4,823 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.95 ลดลง
3,965 ล้านบาท และ ธ.ไทยธนาคาร มีจำนวน 2,821 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.87 เพิ่มขึ้น 1,068 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 49
สำหรับเอ็นพีแอลของ ธ.พาณิชย์บางแห่งที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปี 49 ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการปรับระบบบัญชีใหม่ตามเกณฑ์ IAS39 และ
จากหนี้เอ็นพีแอลเดิมที่ไหลย้อนกลับมา (ผู้จัดการรายวัน)
2. นักวิเคราะห์ต่างชาติเชื่อว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะไม่ทำให้ไทยเกิดวิกฤตซ้ำปี 40 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานความเห็น
ของนักวิเคราะห์ต่างชาติกรณีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าไทยจนทำให้เงินบาทแข็งค่าว่า แม้นักวิเคราะห์จะเห็นว่าการไหลเข้าของเงินทุน
จำนวนมากจะทำให้เกิดอันตรายและความเสี่ยง แต่เชื่อว่าไทยจะไม่เกิดวิกฤตซ้ำเหมือนในปี 40 เนื่องจากไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
และการส่งออกเติบโตดี โดย นายอัลบิน หลิว นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส โอเวอร์ซีส์ แบงก์ สิงคโปร์ กล่าวว่า ไทยจะไม่อยู่ในสถานการณ์
เหมือนปี 40 เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยมีความมั่นคง ภาคการเงินมีความแข็งแกร่ง อีกทั้งมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูง ส่วน
นายหยีปิง หวง หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ ซิตี้แบงก์เอเชียแปซิฟิค ฮ่องกง กล่าวว่า การที่ไทยมีการส่งออกสูงและพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีจะทำให้
ไทยสามารถควบคุมไม่ให้เกิดวิกฤตการเงินได้ ด้าน นายหวู เยิน เป่า ประธานบริหาร เอเชียแปซิฟิค ฟาวน์เดชั่น แคนาดา กล่าวว่า
จะเห็นว่าเงินทุนไหลเข้าดังกล่าวในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่ตลาดทุน ไม่ใช่เพื่อการกู้ยืมระยะสั้นที่เคยก่อปัญหาให้เกิดวิกฤตในปี 40 อย่างไรก็ตาม
เงินทุนไหลเข้าอาจไหลออกกะทันหันหากไทยออกมาตรการควบคุมเงินทุนอย่างที่เคยทำในเดือน ธ.ค.49 เพื่อแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็ง
ซึ่งหากไทยออกมาตรการที่รุนแรงเหมือนเมื่อเดือน ธ.ค.49 อาจส่งผลกระทบในลักษณะเดียวกับที่เกิดกับปี 40 (มติชน)
3. ธปท. ออกโครงการเออร์ลี่ รีไทร์พนักงานกว่า 100 ตำแหน่ง นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ รองผู้ว่าการด้านบริหาร ธปท.
กล่าวว่า คณะกรรมการ ธปท. ได้อนุมัติให้ลดจำนวนพนักงานประจำปี 50 ลง เพื่อให้เหมาะสมกับประสิทธิภาพของงานในปัจจุบัน โดยจะลด
จำนวนพนักงานลงให้ใกล้เคียงกับจำนวนที่ลดไปในปีที่แล้วประมาณ 100 ตำแหน่ง โดยใช้วิธีสมัครใจลาออก (เออร์ลี่ รีไทร์) อย่างไรก็ตาม
การลดจำนวนพนักงานไม่ได้มีผลมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและผลการดำเนินงานขาดทุนของ ธปท. ในปีที่ผ่านมา ที่มีผลขาดทุนสุทธิ
102,287.1 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 99,727.5 ล้านบาท โดยขณะนี้พนักงาน ธปท. จำนวนมาก
ต้องการไปประกอบอาชีพอื่น การเปิดโอกาสให้ลาออกก่อนกำหนดเป็นทางเลือกที่ดี ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีการยื่นใบลาออกบ้างแล้ว ทั้งนี้ ในปี 49
ธปท. มีพนักงาน 4,171 คน แบ่งเป็นชาย 1,936 คน และ หญิง 2,235 คน (โพสต์ทูเดย์)
4. ค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ขึ้นอยู่กับมาตรการของรัฐและการเคลื่อนไหวของเงินทุนจากต่างประเทศ บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงาน
ภาวะตลาดเงินในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เงินบาทในประเทศอ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี จากแรงกดดันในการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ.
ซึ่งตลาดคาดว่าเป็นการแทรกแซงของ ธปท. และแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ สรอ. อันเนื่องมาจากความกังวลของนักลงทุนก่อนการออกมาตรการ
สกัดการแข็งค่าของเงินบาทจากทางการ ขณะที่การขายเงินดอลลาร์ สรอ. ของผู้ส่งออกเริ่มชะลอลง ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อ
วันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมามีส่วนช่วยลดแรงกดดันต่อการแข็งค่าของเงินบาท สำหรับปัจจัยที่ควรจับตาคือการออกมาตรการเพื่อชะลอการแข็งค่า
ของเงินบาทจากทางการ การเข้าแทรกแซงตลาดของ ธปท. และการเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ (แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในเยอรมนีโดย Ifo จะลดลงในเดือน ก.ค.50 รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 20 ก.ค.50 ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์คาดว่าดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในเยอรมนีโดย Ifo จาก
ผลสำรวจความเห็นของธุรกิจประมาณ 7,000 แห่งและมีกำหนดจะรายงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 มิ.ย.50 นี้ จะลดลงเป็นเดือนที่ 2
ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 106.5 ในเดือน ก.ค.50 จากระดับ 107.0 ในเดือนก่อน โดยผลสำรวจที่ออกมามีตั้งแต่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่
ระดับ 105.0 จนถึงคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 107.8 โดยนักวิเคราะห์ที่คาดว่าดัชนีจะลดลงอ้างความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยลบ
เช่น ราคาน้ำมัน เงินยูโรที่แข็งค่าขึ้นและความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ สรอ. ในขณะที่นักวิเคราะห์ที่คาดว่าดัชนีจะคงที่หรือเพิ่มขึ้นให้
เหตุผลว่าทั้งคำสั่งซื้อสินค้าและผลผลิตอุตสาหกรรมได้กลับฟื้นตัวขึ้นในเดือน พ.ค.50 ที่ผ่านมาเช่นเดียวกับยอดเกินดุลการค้าที่ขยายตัวกว้าง
ขึ้น นอกจากนี้การใช้จ่ายของภาคเอกชนยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ดี ดัชนี Ifo ดังกล่าวยังอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย
ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีจะขยายตัวในปี 50 ในอัตราใกล้เคียงกับปีก่อนซึ่งขยายตัวถึงร้อยละ 2.8
สูงสุดในรอบ 6 ปี (รอยเตอร์)
2. คาดว่าจำนวนผู้ว่างงานเฉลี่ยของเยอรมนีจะอยู่ในระดับต่ำจนถึงปี 52 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 22 ก.ค.50
รมว.เศรษฐกิจของเยอรมนี (Michael Glos) ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ว่างงาน
เฉลี่ยปี 51 จะน้อยกว่าจำนวน 3.5 ล้านคน ขณะที่ ก.แรงงานเยอรมนี เปิดเผยว่า จำนวนผู้ว่างงานของเยอรมนีในเดือน มิ.ย.50 มี
จำนวนมากกว่า 3.8 ล้านคน นอกจากนี้ รมว.เศรษฐกิจยังคาดการณ์ว่าในปี 52 ตลาดแรงงานของเยอรมนีจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ (Bert Ruerup) .กล่าวว่า เขามีมุมมองเกี่ยวกับตลาดแรงงานของเยอรมนีในด้านบวก
โดยเห็นว่าระดับอัตราการว่างงานเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 3.7 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 38 เป็นต้นมา และหากภาวะเศรษฐกิจ
ของเยอรมนีฟื้นตัวต่อเนื่อง จะสนับสนุนให้จำนวนผู้ว่างงานเฉลี่ยในปี 51 ลดลงอยู่ที่จำนวน 3.5 ล้านคน ขณะเดียวกัน มีข้อมูลบางอย่างที่
สนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดแรงงานในเยอรมนี คือ หัวหน้ากลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กกล้าและวิศวกรรม กล่าวว่า
กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กกล้าและวิศวกรรมมีการรับสมัครงานใหม่ถึงประมาณ 120,000 ตำแหน่งในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
3. คาดว่าเดือน มิ.ย.50 ญี่ปุ่นจะเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.6 ยอดขายปลีกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค
พื้นฐานลดลงร้อยละ 0.1 รายงานจากโตเกียวเมื่อ 23 ก.ค.50 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับ
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของญี่ปุ่น 3 ดัชนีหลัก โดยคาดว่า เดือน มิ.ย.50 ดุลการค้าจะเกินดุลเป็นจำนวน 948.5 พัน ล.เยน (7.76 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ.) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งร้อยละ 14.0 โดยเฉพาะการ
ส่งออกไปยังจีนและยุโรป แม้ว่าการส่งออกไปยัง สรอ. จะชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม ขณะที่คาดว่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9
เนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น สำหรับยอดขายปลีกในเดือน มิ.ย. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.6 เทียบต่อปี โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจาก
ยอดขายของห้างสรรพสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนมีความเห็นว่ายอดขายของห้างสรรพสินค้าที่เพิ่มขึ้น
มีสาเหตุจากการลดราคากลางปีของห้างสรรพสินค้าบางแห่งเร็วกว่าปกติที่เคยจัดในช่วงต้นเดือน ก.ค. ในขณะที่คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน
ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสดที่มีความผันผวน ในเดือน มิ.ย. จะลดลงร้อยละ 0.1 เทียบต่อปี และลดลงร้อยละ 0.1 เช่นกันเมื่อเทียบต่อเดือน
เป็นผลจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นต้นมา รวมถึงการที่ราคาสินค้าไฮเทค อาทิเช่น ทีวีจอแบน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
และโทรศัพท์มือถือ ปรับตัวลดลง ทั้งนี้ ธ.กลางญี่ปุ่นคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานอาจเคลื่อนไหวอยู่ใกล้เคียงระดับร้อยละ 0 ในระยะนี้
แต่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะยาว ตามการขยายตัวของผลผลิตอุตสาหกรรม (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางจีนปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากระยะเวลา 1 ปีของธพ. อีกร้อยละ 0.27 รายงานจากปักกิ่ง เมื่อ
วันที่ 20 ก.ค. 50 ธ.กลางจีนมีคำสั่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาให้ ธพ. ปรับเพิ่มทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมระยะเวลา 1 ปีอีก
ร้อยละ 0.27 อยู่ที่ร้อยละ 3.33 และร้อยละ 6.84 ตามลำดับ โดยให้มีผลในวันเสาร์ เพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อและป้องกันมิให้เศรษฐกิจ
เติบโตอย่างร้อนแรงจนเกินไป ทั้งนี้นับเป็นการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย. 49 รวมทั้งปรับเพิ่มทุนสำรองที่
ธพ.ต้องดำรงไว้เพื่อเป็นสภาพคล่องเป็นครั้งที่ 8 นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 49 ซึ่ง ธ.กลางจีนกล่าวว่าปรับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะทำให้สินเชื่อ
และการลงทุนขยายตัวอย่างเหมาะสม รวมทั้งทำให้ระดับราคาเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพด้วย นอกจากนั้นยังจะปรับลดอัตราภาษีที่จัดเก็บ
จากรายได้ดอกเบี้ยเงินฝากจากเดิมร้อยละ 20 เหลือร้อยละ 5 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 15 ส.ค. เป็นต้นไปโดยคาดว่าจะสามารถสร้าง
ความสมดุลในระบบเศรษฐกิจท่ามกลางการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการลงทุนรวมถึงการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในประเทศด้วยเช่นกัน
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 23 ก.ค. 50 20 ก.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.626 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.3663/33.6931 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.40078 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 850.54/21.13 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,800/10,900 10,600/10,700 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 71.04 n.a. 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 29.59*/25.74** 29.59*/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 19 ก.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 11 ก.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ยอดเอ็นพีแอลของ ธ.พาณิชย์ 8 แห่ง ช่วง 6 เดือนแรกปีนี้มีจำนวน 2.4 แสนล้านบาท รายงานข่าวจาก ธ.พาณิชย์
แจ้งยอดเอ็นพีแอลของ ธ.พาณิชย์ 8 แห่ง ช่วงครึ่งแรกปีนี้มีจำนวน 240,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30,647 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 49
ที่อยู่ที่ระดับ 210,011 ล้านบาท โดย ธ.กรุงเทพ มีเอ็นพีแอล 37,298 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.96 ของสินเชื่อรวม ลดลง 823 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับสิ้นปี 49 ธ.กรุงไทย มีจำนวน 70,685 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.30 เพิ่มขึ้น 11,644 ล้านบาท ธ.กสิกรไทย มีจำนวน
24,427 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.59 เพิ่มขึ้น 3,541 ล้านบาท ธ.ไทยพาณิชย์ มีจำนวน 29,337 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.9 เพิ่มขึ้น
6,657 ล้านบาท ธ.ทหารไทย มีจำนวน 33,984 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.05 เพิ่มขึ้น 705 ล้านบาท ธ.กรุงศรีอยุธยา มีจำนวน
37,292 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.84 เพิ่มขึ้น 11,829 ล้านบาท ธ.นครหลวงไทย มีจำนวน 4,823 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.95 ลดลง
3,965 ล้านบาท และ ธ.ไทยธนาคาร มีจำนวน 2,821 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.87 เพิ่มขึ้น 1,068 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 49
สำหรับเอ็นพีแอลของ ธ.พาณิชย์บางแห่งที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปี 49 ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการปรับระบบบัญชีใหม่ตามเกณฑ์ IAS39 และ
จากหนี้เอ็นพีแอลเดิมที่ไหลย้อนกลับมา (ผู้จัดการรายวัน)
2. นักวิเคราะห์ต่างชาติเชื่อว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะไม่ทำให้ไทยเกิดวิกฤตซ้ำปี 40 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานความเห็น
ของนักวิเคราะห์ต่างชาติกรณีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าไทยจนทำให้เงินบาทแข็งค่าว่า แม้นักวิเคราะห์จะเห็นว่าการไหลเข้าของเงินทุน
จำนวนมากจะทำให้เกิดอันตรายและความเสี่ยง แต่เชื่อว่าไทยจะไม่เกิดวิกฤตซ้ำเหมือนในปี 40 เนื่องจากไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
และการส่งออกเติบโตดี โดย นายอัลบิน หลิว นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส โอเวอร์ซีส์ แบงก์ สิงคโปร์ กล่าวว่า ไทยจะไม่อยู่ในสถานการณ์
เหมือนปี 40 เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยมีความมั่นคง ภาคการเงินมีความแข็งแกร่ง อีกทั้งมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูง ส่วน
นายหยีปิง หวง หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ ซิตี้แบงก์เอเชียแปซิฟิค ฮ่องกง กล่าวว่า การที่ไทยมีการส่งออกสูงและพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีจะทำให้
ไทยสามารถควบคุมไม่ให้เกิดวิกฤตการเงินได้ ด้าน นายหวู เยิน เป่า ประธานบริหาร เอเชียแปซิฟิค ฟาวน์เดชั่น แคนาดา กล่าวว่า
จะเห็นว่าเงินทุนไหลเข้าดังกล่าวในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่ตลาดทุน ไม่ใช่เพื่อการกู้ยืมระยะสั้นที่เคยก่อปัญหาให้เกิดวิกฤตในปี 40 อย่างไรก็ตาม
เงินทุนไหลเข้าอาจไหลออกกะทันหันหากไทยออกมาตรการควบคุมเงินทุนอย่างที่เคยทำในเดือน ธ.ค.49 เพื่อแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็ง
ซึ่งหากไทยออกมาตรการที่รุนแรงเหมือนเมื่อเดือน ธ.ค.49 อาจส่งผลกระทบในลักษณะเดียวกับที่เกิดกับปี 40 (มติชน)
3. ธปท. ออกโครงการเออร์ลี่ รีไทร์พนักงานกว่า 100 ตำแหน่ง นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ รองผู้ว่าการด้านบริหาร ธปท.
กล่าวว่า คณะกรรมการ ธปท. ได้อนุมัติให้ลดจำนวนพนักงานประจำปี 50 ลง เพื่อให้เหมาะสมกับประสิทธิภาพของงานในปัจจุบัน โดยจะลด
จำนวนพนักงานลงให้ใกล้เคียงกับจำนวนที่ลดไปในปีที่แล้วประมาณ 100 ตำแหน่ง โดยใช้วิธีสมัครใจลาออก (เออร์ลี่ รีไทร์) อย่างไรก็ตาม
การลดจำนวนพนักงานไม่ได้มีผลมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและผลการดำเนินงานขาดทุนของ ธปท. ในปีที่ผ่านมา ที่มีผลขาดทุนสุทธิ
102,287.1 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 99,727.5 ล้านบาท โดยขณะนี้พนักงาน ธปท. จำนวนมาก
ต้องการไปประกอบอาชีพอื่น การเปิดโอกาสให้ลาออกก่อนกำหนดเป็นทางเลือกที่ดี ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีการยื่นใบลาออกบ้างแล้ว ทั้งนี้ ในปี 49
ธปท. มีพนักงาน 4,171 คน แบ่งเป็นชาย 1,936 คน และ หญิง 2,235 คน (โพสต์ทูเดย์)
4. ค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ขึ้นอยู่กับมาตรการของรัฐและการเคลื่อนไหวของเงินทุนจากต่างประเทศ บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงาน
ภาวะตลาดเงินในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เงินบาทในประเทศอ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี จากแรงกดดันในการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ.
ซึ่งตลาดคาดว่าเป็นการแทรกแซงของ ธปท. และแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ สรอ. อันเนื่องมาจากความกังวลของนักลงทุนก่อนการออกมาตรการ
สกัดการแข็งค่าของเงินบาทจากทางการ ขณะที่การขายเงินดอลลาร์ สรอ. ของผู้ส่งออกเริ่มชะลอลง ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อ
วันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมามีส่วนช่วยลดแรงกดดันต่อการแข็งค่าของเงินบาท สำหรับปัจจัยที่ควรจับตาคือการออกมาตรการเพื่อชะลอการแข็งค่า
ของเงินบาทจากทางการ การเข้าแทรกแซงตลาดของ ธปท. และการเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ (แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในเยอรมนีโดย Ifo จะลดลงในเดือน ก.ค.50 รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 20 ก.ค.50 ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์คาดว่าดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในเยอรมนีโดย Ifo จาก
ผลสำรวจความเห็นของธุรกิจประมาณ 7,000 แห่งและมีกำหนดจะรายงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 มิ.ย.50 นี้ จะลดลงเป็นเดือนที่ 2
ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 106.5 ในเดือน ก.ค.50 จากระดับ 107.0 ในเดือนก่อน โดยผลสำรวจที่ออกมามีตั้งแต่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่
ระดับ 105.0 จนถึงคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 107.8 โดยนักวิเคราะห์ที่คาดว่าดัชนีจะลดลงอ้างความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยลบ
เช่น ราคาน้ำมัน เงินยูโรที่แข็งค่าขึ้นและความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ สรอ. ในขณะที่นักวิเคราะห์ที่คาดว่าดัชนีจะคงที่หรือเพิ่มขึ้นให้
เหตุผลว่าทั้งคำสั่งซื้อสินค้าและผลผลิตอุตสาหกรรมได้กลับฟื้นตัวขึ้นในเดือน พ.ค.50 ที่ผ่านมาเช่นเดียวกับยอดเกินดุลการค้าที่ขยายตัวกว้าง
ขึ้น นอกจากนี้การใช้จ่ายของภาคเอกชนยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ดี ดัชนี Ifo ดังกล่าวยังอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย
ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีจะขยายตัวในปี 50 ในอัตราใกล้เคียงกับปีก่อนซึ่งขยายตัวถึงร้อยละ 2.8
สูงสุดในรอบ 6 ปี (รอยเตอร์)
2. คาดว่าจำนวนผู้ว่างงานเฉลี่ยของเยอรมนีจะอยู่ในระดับต่ำจนถึงปี 52 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 22 ก.ค.50
รมว.เศรษฐกิจของเยอรมนี (Michael Glos) ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ว่างงาน
เฉลี่ยปี 51 จะน้อยกว่าจำนวน 3.5 ล้านคน ขณะที่ ก.แรงงานเยอรมนี เปิดเผยว่า จำนวนผู้ว่างงานของเยอรมนีในเดือน มิ.ย.50 มี
จำนวนมากกว่า 3.8 ล้านคน นอกจากนี้ รมว.เศรษฐกิจยังคาดการณ์ว่าในปี 52 ตลาดแรงงานของเยอรมนีจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ (Bert Ruerup) .กล่าวว่า เขามีมุมมองเกี่ยวกับตลาดแรงงานของเยอรมนีในด้านบวก
โดยเห็นว่าระดับอัตราการว่างงานเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 3.7 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 38 เป็นต้นมา และหากภาวะเศรษฐกิจ
ของเยอรมนีฟื้นตัวต่อเนื่อง จะสนับสนุนให้จำนวนผู้ว่างงานเฉลี่ยในปี 51 ลดลงอยู่ที่จำนวน 3.5 ล้านคน ขณะเดียวกัน มีข้อมูลบางอย่างที่
สนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดแรงงานในเยอรมนี คือ หัวหน้ากลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กกล้าและวิศวกรรม กล่าวว่า
กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กกล้าและวิศวกรรมมีการรับสมัครงานใหม่ถึงประมาณ 120,000 ตำแหน่งในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
3. คาดว่าเดือน มิ.ย.50 ญี่ปุ่นจะเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.6 ยอดขายปลีกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค
พื้นฐานลดลงร้อยละ 0.1 รายงานจากโตเกียวเมื่อ 23 ก.ค.50 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับ
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของญี่ปุ่น 3 ดัชนีหลัก โดยคาดว่า เดือน มิ.ย.50 ดุลการค้าจะเกินดุลเป็นจำนวน 948.5 พัน ล.เยน (7.76 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ.) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งร้อยละ 14.0 โดยเฉพาะการ
ส่งออกไปยังจีนและยุโรป แม้ว่าการส่งออกไปยัง สรอ. จะชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม ขณะที่คาดว่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9
เนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น สำหรับยอดขายปลีกในเดือน มิ.ย. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.6 เทียบต่อปี โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจาก
ยอดขายของห้างสรรพสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนมีความเห็นว่ายอดขายของห้างสรรพสินค้าที่เพิ่มขึ้น
มีสาเหตุจากการลดราคากลางปีของห้างสรรพสินค้าบางแห่งเร็วกว่าปกติที่เคยจัดในช่วงต้นเดือน ก.ค. ในขณะที่คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน
ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสดที่มีความผันผวน ในเดือน มิ.ย. จะลดลงร้อยละ 0.1 เทียบต่อปี และลดลงร้อยละ 0.1 เช่นกันเมื่อเทียบต่อเดือน
เป็นผลจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นต้นมา รวมถึงการที่ราคาสินค้าไฮเทค อาทิเช่น ทีวีจอแบน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
และโทรศัพท์มือถือ ปรับตัวลดลง ทั้งนี้ ธ.กลางญี่ปุ่นคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานอาจเคลื่อนไหวอยู่ใกล้เคียงระดับร้อยละ 0 ในระยะนี้
แต่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะยาว ตามการขยายตัวของผลผลิตอุตสาหกรรม (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางจีนปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากระยะเวลา 1 ปีของธพ. อีกร้อยละ 0.27 รายงานจากปักกิ่ง เมื่อ
วันที่ 20 ก.ค. 50 ธ.กลางจีนมีคำสั่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาให้ ธพ. ปรับเพิ่มทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมระยะเวลา 1 ปีอีก
ร้อยละ 0.27 อยู่ที่ร้อยละ 3.33 และร้อยละ 6.84 ตามลำดับ โดยให้มีผลในวันเสาร์ เพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อและป้องกันมิให้เศรษฐกิจ
เติบโตอย่างร้อนแรงจนเกินไป ทั้งนี้นับเป็นการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย. 49 รวมทั้งปรับเพิ่มทุนสำรองที่
ธพ.ต้องดำรงไว้เพื่อเป็นสภาพคล่องเป็นครั้งที่ 8 นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 49 ซึ่ง ธ.กลางจีนกล่าวว่าปรับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะทำให้สินเชื่อ
และการลงทุนขยายตัวอย่างเหมาะสม รวมทั้งทำให้ระดับราคาเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพด้วย นอกจากนั้นยังจะปรับลดอัตราภาษีที่จัดเก็บ
จากรายได้ดอกเบี้ยเงินฝากจากเดิมร้อยละ 20 เหลือร้อยละ 5 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 15 ส.ค. เป็นต้นไปโดยคาดว่าจะสามารถสร้าง
ความสมดุลในระบบเศรษฐกิจท่ามกลางการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการลงทุนรวมถึงการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในประเทศด้วยเช่นกัน
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 23 ก.ค. 50 20 ก.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.626 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.3663/33.6931 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.40078 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 850.54/21.13 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,800/10,900 10,600/10,700 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 71.04 n.a. 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 29.59*/25.74** 29.59*/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 19 ก.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 11 ก.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--