ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธพ.เหลือภาระกันสำรองตามมาตรฐานไอเอเอส 39 อีก 20,000 ล.บาทภายในปลายปี 50 ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย
นโยบายความเสี่ยงสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธปท.ได้กำหนดให้ ธพ.ต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน
บัญชีไอเอเอส 39 จะส่งผลให้ ธพ.ทั้งระบบมีภาระในการกันสำรองเพิ่มขึ้น 68,000 ล.บาท ซึ่งคำนวณจากยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(เอ็นพีแอล) ของทั้งระบบ โดย ธพ.ได้ทยอยกันสำรองตามมาตรฐานบัญชีดังกล่าวตั้งแต่งวดปลายปี 49 ซึ่งจนถึงขณะนี้ได้กันสำรองไปแล้ว
กว่า 40,000 ล.บาท ฉะนั้นยังเหลือภาระต้องกันสำรองให้ครบถ้วนภายในปลายปี 50 อีกประมาณ 20,000 ล.บาท อย่างไรก็ดี
ธพ.ส่วนใหญ่ได้กันสำรองครบถ้วนแล้ว เหลืออีกเพียง 5-6 รายเท่านั้นที่ต้องดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หลังจากที่ ธพ.ทุกแห่งกันสำรองครบถ้วน
จะส่งผลให้เอ็นพีแอลสุทธิที่หักการกันสำรองแล้วมีสัดส่วนลดลงเหลือ 3% ของสินเชื่อรวม จาก ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 49 ที่เอ็นพีแอลมีสัดส่วน
4.19% ของสินเชื่อรวม อนึ่ง ขณะนี้ในระดับสากลได้มีการพูดถึงผลกระทบจากการใช้เอไอเอส 39 ที่จะทำให้เงินกองทุนของธนาคารมีความ
ผันผวน เนื่องจากราคาสินทรัพย์ต้องประเมินตามมูลค่าตลาด ฉะนั้นมูลค่าสินทรัพย์อาจจะไม่ได้สะท้อนผลกำไรขาดทุนจากการดำเนินงานที่แท้จริง
หรือในกรณีที่บริษัทถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง ก็จะส่งผลให้หุ้นกู้ที่บริษัทออกเพื่อกู้ยืมเงินก่อนหน้ามีราคาถูกลง ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการหารือ
เพื่อหามาตรการรองรับปัญหาต่อไป (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, ไทยโพสต์, โพสต์ทูเดย์)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย.50 ลดลงต่ำสุดในรอบ 61 เดือน ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย.50 ว่า ยังคงปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่อง
เป็นเดือนที่ 6 และเกือบทุกรายการต่ำสุดในรอบ 47-98 เดือน เนื่องจากราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเริ่มปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งสถานการณ์
การเมืองที่ยังขาดเสถียรภาพ เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และความกังวลเกี่ยวกับการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทที่
ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐยังไม่มีความชัดเจน คาดว่า
ผู้บริโภคจะชะลอการใช้จ่ายในช่วงครึ่งปีแรก และจะเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยในปลายไตรมาสที่ 3/2550 หากสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลาย
ไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 72.1 ต่ำสุดในรอบ 62 เดือน ดัชนีฯ เกี่ยวกับเศรษฐกิจ
ในอนาคตอยู่ที่ 67.9 ต่ำสุดในรอบ 98 เดือน ดัชนีฯ เกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวมอยู่ที่ 73 ต่ำสุดในรอบ 54 เดือน ดัชนีฯ เกี่ยวกับ
โอกาสหางานทำในปัจจุบันอยู่ที่ 74.7 ต่ำสุดในรอบ 47 เดือน และดัชนีฯ เกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 87.7 ต่ำสุดในรอบ 63 เดือน
ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเฉลี่ยเดือน เม.ย.อยู่ที่ 77.6 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 61 เดือน สอดคล้องกับดัชนีการใช้จ่ายของ
ผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลงทุกรายการ (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด)
3. กกร.เตรียมขอขยายวงเงินสินเชื่อซอฟท์โลนจาก ธปท.เพิ่มอีก 5,000 ล.บาท เพื่อสร้างแรงจูงใจการลงทุนในพื้นที่ภาคใต้
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า คณะทำงานศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากความไม่สงบใน
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีการประชุมเพื่อติดตามผลมาตรการลดผลกระทบและสร้างแรงจูงใจให้นักธุรกิจและประชาชนไม่ย้ายออกจากพื้นที่
โดยที่ประชุมมีมติว่าให้ขอขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือซอฟท์โลน จาก ธปท.เพิ่มอีกประมาณ 5,000 ล.บาท ระยะเวลาจนถึงเดือน
ก.พ.51 จากวงเงินเดิม 27,000 ล.บาท โดยล่าสุด ธพ.มีการขอใช้วงเงินแล้ว 22,000 ล.บาท นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นว่าควรมีการ
ขยายขอบเขตและวัตถุประสงค์ของการใช้วงเงิน เพื่อชี้นำ ธพ. และเปิดโอกาสให้นักลงทุนใหม่ใช้วงเงินได้เพื่อเป็นการสร้างงานในพื้นที่
รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้สามารถใช้สินเชื่อซอฟต์โลนเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์รวมถึงที่อยู่อาศัยด้วย (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางอังกฤษขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 5.5 ต่อปีสูงสุดในรอบ 6 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 10 พ.ค.50
ธ.กลางอังกฤษตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 5.5 ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 6 ปีนับตั้งแต่เดือน
พ.ค.44 นับเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 นับตั้งแต่เดือน ส.ค.49 และเป็นไปตามที่ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์
คาดไว้ โดยนักวิเคราะห์หลายคนคาดว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกซึ่งอาจเป็นเดือนหน้า ทั้งนี้ เศรษฐกิจอังกฤษยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
โดยราคาบ้านสูงขึ้นร้อยละ 1.1 ในเดือน เม.ย.50 ที่ผ่านมา แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยได้สูงขึ้นแล้วก็ตาม นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อในเดือน
มี.ค.50 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 3.1 ต่อปี ในขณะที่ ธ.กลางอังกฤษพยายามรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อไว้ไม่ให้เกินร้อยละ 2.0 ต่อปี (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางเกาหลีใต้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.50 ต่อปีเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน รายงานโซล เมื่อ 10 พ.ค.50
ธ.กลางเกาหลีใต้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.50 ต่อปีเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน ตรงกับที่ผลสำรวจโดยรอยเตอร์คาดไว้
โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำและราคาบ้านที่ชะลอตัวลงอาจทำให้ ธ.กลางเกาหลีใต้คงอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบัน
ต่อไปจนถึงสิ้นปี 50 ในขณะที่ผลสำรวจโดยหน่วยงานของรัฐเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุด
ในรอบปีที่ผ่านมา แม้ว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมองแนวโน้มในทางลบ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าหากมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกซึ่งคาดว่า
จะอยู่ในช่วงไตรมาสแรกปี 51 จะมีสาเหตุมาจากการขยายตัวอย่างมากของปริมาณเงินที่ ธ.พาณิชย์ในประเทศกู้เงินระยะสั้นจากต่างประเทศ
เพื่อใช้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากคาดการณ์ว่าค่าเงินวอนจะแข็งขึ้นอีก โดยปริมาณเงินหมุนเวียนในเดือน มี.ค.50 เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 12.3 ต่อปี ขยายตัวในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค.46 ซึ่งขยายตัวร้อยละ 12.9 ต่อปี ทั้งนี้ รัฐบาลได้ออกมาเตือนว่าหากจำเป็น
อาจมีมาตรการออกมาเพื่อลดการกู้เงินระยะสั้นจากต่างประเทศดังกล่าว (รอยเตอร์)
3. ผลสำรวจดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของทั้ง G7 และ OECD ในเดือน มี.ค. ขยายตัวในระดับปานกลางอย่างต่อเนื่อง
รายงานจากปารีส เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 50 องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เปิดเผยว่าในเดือน มี.ค.
ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ (Composite Leading Indicator - CLI) ที่บ่งชี้ถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะ 6 เดือนข้างหน้า
ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) ขยายตัวอยู่ในระดับ 105.4 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 105.2 เมื่อเดือนก่อนหน้า
แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศ สรอ. อังกฤษ และอิตาลีจะฟื้นตัวเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็มีสัญญานว่าเศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่ในกลุ่ม G7
จะขยายตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่ CLI ของ 30 ประเทศในกลุ่ม OECD ในเดือน มี.ค. อยู่ที่ระดับ 109.9 เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
จากระดับ 109.7 ในเดือน ก.พ. อย่างไรก็ตามการสำรวจบ่งชี้ว่ายังมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในประเทศจีน อินเดีย
และบราซิล แต่รัสเซียมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว (รอยเตอร์)
4. เมื่อปีที่แล้วจีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดทำสถิติสูงสุดถึงร้อยละ 9.5 ของ GDP รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 50
the State Administration of foreign exchange — SAFE เปิดเผยว่า ในปี 49 จีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง
249.9 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจาก 160.8 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ในปี 48 หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 55.4 และเมื่อเทียบกับ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเมื่อปี 49 สูงถึงร้อยละ 9.5 ของ GDP เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.9 ของ GDP
เมื่อปี 43 ทั้งนี้เพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจจีนมีดุลการชำระเงินระหว่างประเทศที่มีความสมดุลมากขึ้น SAFE เห็นว่าทางการจีนควรที่จะดำเนิน
นโยบายโดยใช้เครื่องมือหลายอย่างผสมผสานกัน อาทิ นโยบายการคลัง การเงิน อุตสาหกรรม และนโบบายทางด้านอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้ง
การปฏิรูปกลไกอัตราแลกเปลี่ยน และเปิดกว้างให้มีช่องทางในการใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น นอกจากนั้นจีนควรที่จะมีความ
คืบหน้าในการกระตุ้นให้เกิดการบริโภค ลดการลงทุนที่ขยายตัวมากจนเกินไป ขณะเดียวกันควรที่จะนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น และจำกัดการส่งออก
ผลิตภัณฑ์ที่มีขั้นตอนการผลิตที่ใช้พลังงานมากและทำลายสภาพแวดล้อม (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 พ.ค.50 10 พ.ค.50 29 ธ.ค.49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.573 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.3591/34.6948 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.13813 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 707.19/14.69 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,900/11,000 11,100/11,200 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 61.51 61.03 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.59*/25.34** 29.59*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 3 พ.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธพ.เหลือภาระกันสำรองตามมาตรฐานไอเอเอส 39 อีก 20,000 ล.บาทภายในปลายปี 50 ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย
นโยบายความเสี่ยงสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธปท.ได้กำหนดให้ ธพ.ต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน
บัญชีไอเอเอส 39 จะส่งผลให้ ธพ.ทั้งระบบมีภาระในการกันสำรองเพิ่มขึ้น 68,000 ล.บาท ซึ่งคำนวณจากยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(เอ็นพีแอล) ของทั้งระบบ โดย ธพ.ได้ทยอยกันสำรองตามมาตรฐานบัญชีดังกล่าวตั้งแต่งวดปลายปี 49 ซึ่งจนถึงขณะนี้ได้กันสำรองไปแล้ว
กว่า 40,000 ล.บาท ฉะนั้นยังเหลือภาระต้องกันสำรองให้ครบถ้วนภายในปลายปี 50 อีกประมาณ 20,000 ล.บาท อย่างไรก็ดี
ธพ.ส่วนใหญ่ได้กันสำรองครบถ้วนแล้ว เหลืออีกเพียง 5-6 รายเท่านั้นที่ต้องดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หลังจากที่ ธพ.ทุกแห่งกันสำรองครบถ้วน
จะส่งผลให้เอ็นพีแอลสุทธิที่หักการกันสำรองแล้วมีสัดส่วนลดลงเหลือ 3% ของสินเชื่อรวม จาก ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 49 ที่เอ็นพีแอลมีสัดส่วน
4.19% ของสินเชื่อรวม อนึ่ง ขณะนี้ในระดับสากลได้มีการพูดถึงผลกระทบจากการใช้เอไอเอส 39 ที่จะทำให้เงินกองทุนของธนาคารมีความ
ผันผวน เนื่องจากราคาสินทรัพย์ต้องประเมินตามมูลค่าตลาด ฉะนั้นมูลค่าสินทรัพย์อาจจะไม่ได้สะท้อนผลกำไรขาดทุนจากการดำเนินงานที่แท้จริง
หรือในกรณีที่บริษัทถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง ก็จะส่งผลให้หุ้นกู้ที่บริษัทออกเพื่อกู้ยืมเงินก่อนหน้ามีราคาถูกลง ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการหารือ
เพื่อหามาตรการรองรับปัญหาต่อไป (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, ไทยโพสต์, โพสต์ทูเดย์)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย.50 ลดลงต่ำสุดในรอบ 61 เดือน ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย.50 ว่า ยังคงปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่อง
เป็นเดือนที่ 6 และเกือบทุกรายการต่ำสุดในรอบ 47-98 เดือน เนื่องจากราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเริ่มปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งสถานการณ์
การเมืองที่ยังขาดเสถียรภาพ เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และความกังวลเกี่ยวกับการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทที่
ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐยังไม่มีความชัดเจน คาดว่า
ผู้บริโภคจะชะลอการใช้จ่ายในช่วงครึ่งปีแรก และจะเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยในปลายไตรมาสที่ 3/2550 หากสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลาย
ไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 72.1 ต่ำสุดในรอบ 62 เดือน ดัชนีฯ เกี่ยวกับเศรษฐกิจ
ในอนาคตอยู่ที่ 67.9 ต่ำสุดในรอบ 98 เดือน ดัชนีฯ เกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวมอยู่ที่ 73 ต่ำสุดในรอบ 54 เดือน ดัชนีฯ เกี่ยวกับ
โอกาสหางานทำในปัจจุบันอยู่ที่ 74.7 ต่ำสุดในรอบ 47 เดือน และดัชนีฯ เกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 87.7 ต่ำสุดในรอบ 63 เดือน
ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเฉลี่ยเดือน เม.ย.อยู่ที่ 77.6 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 61 เดือน สอดคล้องกับดัชนีการใช้จ่ายของ
ผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลงทุกรายการ (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด)
3. กกร.เตรียมขอขยายวงเงินสินเชื่อซอฟท์โลนจาก ธปท.เพิ่มอีก 5,000 ล.บาท เพื่อสร้างแรงจูงใจการลงทุนในพื้นที่ภาคใต้
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า คณะทำงานศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากความไม่สงบใน
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีการประชุมเพื่อติดตามผลมาตรการลดผลกระทบและสร้างแรงจูงใจให้นักธุรกิจและประชาชนไม่ย้ายออกจากพื้นที่
โดยที่ประชุมมีมติว่าให้ขอขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือซอฟท์โลน จาก ธปท.เพิ่มอีกประมาณ 5,000 ล.บาท ระยะเวลาจนถึงเดือน
ก.พ.51 จากวงเงินเดิม 27,000 ล.บาท โดยล่าสุด ธพ.มีการขอใช้วงเงินแล้ว 22,000 ล.บาท นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นว่าควรมีการ
ขยายขอบเขตและวัตถุประสงค์ของการใช้วงเงิน เพื่อชี้นำ ธพ. และเปิดโอกาสให้นักลงทุนใหม่ใช้วงเงินได้เพื่อเป็นการสร้างงานในพื้นที่
รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้สามารถใช้สินเชื่อซอฟต์โลนเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์รวมถึงที่อยู่อาศัยด้วย (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางอังกฤษขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 5.5 ต่อปีสูงสุดในรอบ 6 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 10 พ.ค.50
ธ.กลางอังกฤษตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 5.5 ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 6 ปีนับตั้งแต่เดือน
พ.ค.44 นับเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 นับตั้งแต่เดือน ส.ค.49 และเป็นไปตามที่ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์
คาดไว้ โดยนักวิเคราะห์หลายคนคาดว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกซึ่งอาจเป็นเดือนหน้า ทั้งนี้ เศรษฐกิจอังกฤษยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
โดยราคาบ้านสูงขึ้นร้อยละ 1.1 ในเดือน เม.ย.50 ที่ผ่านมา แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยได้สูงขึ้นแล้วก็ตาม นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อในเดือน
มี.ค.50 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 3.1 ต่อปี ในขณะที่ ธ.กลางอังกฤษพยายามรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อไว้ไม่ให้เกินร้อยละ 2.0 ต่อปี (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางเกาหลีใต้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.50 ต่อปีเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน รายงานโซล เมื่อ 10 พ.ค.50
ธ.กลางเกาหลีใต้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.50 ต่อปีเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน ตรงกับที่ผลสำรวจโดยรอยเตอร์คาดไว้
โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำและราคาบ้านที่ชะลอตัวลงอาจทำให้ ธ.กลางเกาหลีใต้คงอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบัน
ต่อไปจนถึงสิ้นปี 50 ในขณะที่ผลสำรวจโดยหน่วยงานของรัฐเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุด
ในรอบปีที่ผ่านมา แม้ว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมองแนวโน้มในทางลบ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าหากมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกซึ่งคาดว่า
จะอยู่ในช่วงไตรมาสแรกปี 51 จะมีสาเหตุมาจากการขยายตัวอย่างมากของปริมาณเงินที่ ธ.พาณิชย์ในประเทศกู้เงินระยะสั้นจากต่างประเทศ
เพื่อใช้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากคาดการณ์ว่าค่าเงินวอนจะแข็งขึ้นอีก โดยปริมาณเงินหมุนเวียนในเดือน มี.ค.50 เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 12.3 ต่อปี ขยายตัวในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค.46 ซึ่งขยายตัวร้อยละ 12.9 ต่อปี ทั้งนี้ รัฐบาลได้ออกมาเตือนว่าหากจำเป็น
อาจมีมาตรการออกมาเพื่อลดการกู้เงินระยะสั้นจากต่างประเทศดังกล่าว (รอยเตอร์)
3. ผลสำรวจดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของทั้ง G7 และ OECD ในเดือน มี.ค. ขยายตัวในระดับปานกลางอย่างต่อเนื่อง
รายงานจากปารีส เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 50 องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เปิดเผยว่าในเดือน มี.ค.
ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ (Composite Leading Indicator - CLI) ที่บ่งชี้ถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะ 6 เดือนข้างหน้า
ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) ขยายตัวอยู่ในระดับ 105.4 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 105.2 เมื่อเดือนก่อนหน้า
แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศ สรอ. อังกฤษ และอิตาลีจะฟื้นตัวเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็มีสัญญานว่าเศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่ในกลุ่ม G7
จะขยายตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่ CLI ของ 30 ประเทศในกลุ่ม OECD ในเดือน มี.ค. อยู่ที่ระดับ 109.9 เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
จากระดับ 109.7 ในเดือน ก.พ. อย่างไรก็ตามการสำรวจบ่งชี้ว่ายังมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในประเทศจีน อินเดีย
และบราซิล แต่รัสเซียมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว (รอยเตอร์)
4. เมื่อปีที่แล้วจีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดทำสถิติสูงสุดถึงร้อยละ 9.5 ของ GDP รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 50
the State Administration of foreign exchange — SAFE เปิดเผยว่า ในปี 49 จีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง
249.9 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจาก 160.8 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ในปี 48 หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 55.4 และเมื่อเทียบกับ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเมื่อปี 49 สูงถึงร้อยละ 9.5 ของ GDP เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.9 ของ GDP
เมื่อปี 43 ทั้งนี้เพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจจีนมีดุลการชำระเงินระหว่างประเทศที่มีความสมดุลมากขึ้น SAFE เห็นว่าทางการจีนควรที่จะดำเนิน
นโยบายโดยใช้เครื่องมือหลายอย่างผสมผสานกัน อาทิ นโยบายการคลัง การเงิน อุตสาหกรรม และนโบบายทางด้านอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้ง
การปฏิรูปกลไกอัตราแลกเปลี่ยน และเปิดกว้างให้มีช่องทางในการใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น นอกจากนั้นจีนควรที่จะมีความ
คืบหน้าในการกระตุ้นให้เกิดการบริโภค ลดการลงทุนที่ขยายตัวมากจนเกินไป ขณะเดียวกันควรที่จะนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น และจำกัดการส่งออก
ผลิตภัณฑ์ที่มีขั้นตอนการผลิตที่ใช้พลังงานมากและทำลายสภาพแวดล้อม (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 พ.ค.50 10 พ.ค.50 29 ธ.ค.49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.573 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.3591/34.6948 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.13813 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 707.19/14.69 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,900/11,000 11,100/11,200 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 61.51 61.03 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.59*/25.34** 29.59*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 3 พ.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--