สศอ.ลุยสร้างฐานข้อมูลเชิงลึก อุตฯพลาสติก ผนึก ปตท. ล้วงลึกข้อมูลคู่แข่ง ญี่ปุ่น- จีน - ไต้หวัน- เกาหลีใต้ —มาเลย์ หวังเพิ่มขีดแข่งขันอย่างเหนือชั้นรักษามูลค่าตลาดกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี หวังชิงธงนำตลาดเอเชีย เติมความมั่นใจผู้ประกอบการ พร้อมรุกอย่างมีเชิง
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการแปรรูปพลาสติกมีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านบาท มีจำนวนผู้ผลิตกว่า 5,000 ราย ขนาดอุตสาหกรรมรวมประมาณ 3 ล้านตัน โดยใช้ในกระบวนการผลิตฟิล์มมากที่สุด ร้อยละ 37 หรือประมาณ 1,088,000 ตัน รองลงมาได้แก่การฉีดเม็ดพลาสติก ร้อยละ 26 หรือประมาณ 769,000 ตัน และการผลิตพลาสติกขึ้นรูป ร้อยละ 11 หรือประมาณ 319,000 ตัน ซึ่งปริมาณการใช้มีทิศทางการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องทั้งใช้ในประเทศและส่งออก ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อรักษาระดับการขยายตัวเพิ่มมูลค่าและขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมพลาสติกไทย สศอ.จึงได้มอบหมายให้สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ลงมือศึกษาข้อมูลเชิงลึกเพื่อใช้เปรียบเทียบขีดความสามารถการแข่งขัน (Competitive Benchmarking) ในอุตสาหกรรมพลาสติกของไทย กับประเทศคู่แข่งที่สำคัญ ประกอบด้วย ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน เกาหลีไต้ และมาเลเซีย ซึ่งข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาจากการลงมือศึกษาครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อวงการพลาสติกทั้งระบบ เนื่องจากจะสามารถกำหนดแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
“ทั้ง 5 ประเทศที่ลงมือศึกษาข้อมูลอย่างจริงจังในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นคู่แข่งที่สำคัญของเรา ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต้องศึกษาชั้นเชิงการก้าวไปของอุตสาหกรรมประเทศเหล่านี้ เพื่อใช้เป็นกรณีศึกษาแนวทางการพัฒนา ตลอดจนการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมนี้ว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะประเทศ จีนและ ญี่ปุ่น ที่เป็นยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมพลาสติกของเอเชียและของโลก ซึ่งจีนมีขนาดอุตสาหกรรมพลาสติกใหญ่ที่สุดในเอเชียขนาด 35.37 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของอุตสาหกรรมพลาสติกทั่วโลก ญี่ปุ่นขนาดอุตสาหกรรมพลาสติกใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชีย 10.07 ล้านตัน ส่วนประเทศไต้หวัน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย มีศักยภาพใกล้เคียงกับไทย จึงจำเป็นต้องศึกษาเจาะลึกควบคู่ไปด้วย เพื่อนำมาจัดทำแผนในการกำหนดทิศทางการก้าวไปของอุตสาหกรรมพลาสติกไทยอย่างมีระบบและมีฐานข้อมูลที่น่าเชื่อถือรองรับที่ชัดเจน”
ดร.อรรชกา กล่าวว่า โครงการศึกษานี้จะแล้วเสร็จภายในปี 2550 นี้ และ สศอ.จะได้มีการผลักดันผลการศึกษาออกไปสู่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่ชัดเจนตามแนวทางที่ได้จากการศึกษาวิเคราะห์อย่างรอบด้าน เพราะหากไม่มีการปรับตัวที่รวดเร็วประเทศจะสูญเสียโอกาสในการแข่งขัน เนื่องจากโลกแห่งการแข่งขันเชิงธุรกิจโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมมีการแข่งขันกันสูง และคู่แข่งล้วนแต่มีความน่ากลัวหากไม่มีการปรับตัวอย่างมีชั้นเชิงย่อมเสียโอกาสไป ซึ่งการสูญเสียโอกาสย่อมหมายถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจหายไปด้วยเช่นกัน ดังนั้น การเปรียบเทียบขีดความสามารถการแข่งขัน (Competitive Benchmarking) ที่สศอ.จัดทำขึ้นจะทำให้เราได้รับรู้ถึงสถานะของอุตสาหกรรมพลาสติกของประเทศว่าอยู่ในระดับใดเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งต่างๆ หากเห็นว่าขีดความสามารถอยู่ในระดับต่ำจำเป็นจะต้องปรับตัวจะได้มีแนวทางการพัฒนาอย่างทันท่วงทีและมีทิศทาง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้เกิดขึ้นแก่อุตสาหกรรมพลาสติกของไทยต่อไป
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--
-พห-
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการแปรรูปพลาสติกมีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านบาท มีจำนวนผู้ผลิตกว่า 5,000 ราย ขนาดอุตสาหกรรมรวมประมาณ 3 ล้านตัน โดยใช้ในกระบวนการผลิตฟิล์มมากที่สุด ร้อยละ 37 หรือประมาณ 1,088,000 ตัน รองลงมาได้แก่การฉีดเม็ดพลาสติก ร้อยละ 26 หรือประมาณ 769,000 ตัน และการผลิตพลาสติกขึ้นรูป ร้อยละ 11 หรือประมาณ 319,000 ตัน ซึ่งปริมาณการใช้มีทิศทางการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องทั้งใช้ในประเทศและส่งออก ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อรักษาระดับการขยายตัวเพิ่มมูลค่าและขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมพลาสติกไทย สศอ.จึงได้มอบหมายให้สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ลงมือศึกษาข้อมูลเชิงลึกเพื่อใช้เปรียบเทียบขีดความสามารถการแข่งขัน (Competitive Benchmarking) ในอุตสาหกรรมพลาสติกของไทย กับประเทศคู่แข่งที่สำคัญ ประกอบด้วย ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน เกาหลีไต้ และมาเลเซีย ซึ่งข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาจากการลงมือศึกษาครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อวงการพลาสติกทั้งระบบ เนื่องจากจะสามารถกำหนดแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
“ทั้ง 5 ประเทศที่ลงมือศึกษาข้อมูลอย่างจริงจังในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นคู่แข่งที่สำคัญของเรา ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต้องศึกษาชั้นเชิงการก้าวไปของอุตสาหกรรมประเทศเหล่านี้ เพื่อใช้เป็นกรณีศึกษาแนวทางการพัฒนา ตลอดจนการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมนี้ว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะประเทศ จีนและ ญี่ปุ่น ที่เป็นยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมพลาสติกของเอเชียและของโลก ซึ่งจีนมีขนาดอุตสาหกรรมพลาสติกใหญ่ที่สุดในเอเชียขนาด 35.37 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของอุตสาหกรรมพลาสติกทั่วโลก ญี่ปุ่นขนาดอุตสาหกรรมพลาสติกใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชีย 10.07 ล้านตัน ส่วนประเทศไต้หวัน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย มีศักยภาพใกล้เคียงกับไทย จึงจำเป็นต้องศึกษาเจาะลึกควบคู่ไปด้วย เพื่อนำมาจัดทำแผนในการกำหนดทิศทางการก้าวไปของอุตสาหกรรมพลาสติกไทยอย่างมีระบบและมีฐานข้อมูลที่น่าเชื่อถือรองรับที่ชัดเจน”
ดร.อรรชกา กล่าวว่า โครงการศึกษานี้จะแล้วเสร็จภายในปี 2550 นี้ และ สศอ.จะได้มีการผลักดันผลการศึกษาออกไปสู่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่ชัดเจนตามแนวทางที่ได้จากการศึกษาวิเคราะห์อย่างรอบด้าน เพราะหากไม่มีการปรับตัวที่รวดเร็วประเทศจะสูญเสียโอกาสในการแข่งขัน เนื่องจากโลกแห่งการแข่งขันเชิงธุรกิจโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมมีการแข่งขันกันสูง และคู่แข่งล้วนแต่มีความน่ากลัวหากไม่มีการปรับตัวอย่างมีชั้นเชิงย่อมเสียโอกาสไป ซึ่งการสูญเสียโอกาสย่อมหมายถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจหายไปด้วยเช่นกัน ดังนั้น การเปรียบเทียบขีดความสามารถการแข่งขัน (Competitive Benchmarking) ที่สศอ.จัดทำขึ้นจะทำให้เราได้รับรู้ถึงสถานะของอุตสาหกรรมพลาสติกของประเทศว่าอยู่ในระดับใดเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งต่างๆ หากเห็นว่าขีดความสามารถอยู่ในระดับต่ำจำเป็นจะต้องปรับตัวจะได้มีแนวทางการพัฒนาอย่างทันท่วงทีและมีทิศทาง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้เกิดขึ้นแก่อุตสาหกรรมพลาสติกของไทยต่อไป
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--
-พห-