วันที่ 25 ก.พ. 50 นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวกรณีคดีอุฉกรรจ์ที่เกิดขึ้นที่ พัทยา จากการที่มีมือปืนมาบุกยิง 2 แหม่ม เสียชีวิตคาชายหาดในขณะที่กำลังพักผ่อน ซึ่งถือว่าเป็นคดีกระทำการอย่างอุกอาจ และเป็นสถานการณ์ที่รัฐบาลควรจะเข้าไปดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะว่าพัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
นายสาธิตเห็นว่า ไม่ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมาเฟียค้ากามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมาระบุในเบื้องต้นหรือว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งส่วนตัว ก็ขอให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พนักงานสอบสวน ต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังเพราะเรื่องนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลได้ประกาศว่าปีนี้จะเพิ่มรายได้ของประเทศจากการท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้รัฐบาลก็ต้องเอาจริงเอาจัง และที่สำคัญหากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องมาเฟียต่างชาติ หรือมาเฟียค้ากาม ยิ่งต้องขอให้รัฐบาลไปดำเนินการอย่างเด็ดขาด ถอนรากถอนโคนมาเฟียพวกนี้อย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
นอกจากนี้นายสาธิต ยังได้วิจารณ์ถึงการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หลังจากที่ กกต. ได้ปฏิบัติหน้าที่มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมีความคาดหวังจากประชาชนเป็นอย่างมาก ที่ต้องการให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้เป็นการเลือกตั้งอย่างสุจริตเที่ยงธรรม ที่สำคัญที่สุดก็คือการควบคุมการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตนั้น ซึ่งนายสาธิตได้ให้ข้อสังเกตและวิจารณ์ด้วยความเคารพถึง กกต. ทั้ง 5 ท่านว่า ดูเหมือน กกต. ทั้ง 5 ท่านจะให้ความสำคัญในงานรองมากกว่างานหลัก นั่นคือการทำหน้าที่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือทำหน้าที่ในการเป็นกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ในขณะเดียวกันมีงานหลักคืองานการควบคุมการเลือกตั้ง การวินิจฉัยคำร้อง ซึ่งยังตกค้าง และยังไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง
โดยนายสาธิตได้กล่าวถึงการทำงานของ กกต. ที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยคำร้องว่า ขณะนี้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นหลายเรื่องที่ยังตกค้างอยู่ที่ กกต. และยังไม่มีการวินิจฉัย และยังไม่ได้มีการรับรอง ตัวอย่างเช่นการเลือกตั้ง สก. ของ กทม. ที่ผ่านมาก็ยังไม่ครบถ้วน และการเลือกตั้งท้องถิ่นนายก อบจ. ที่ จ.ระยอง มีการเลือกตั้งตั้งแต่วันที่ 19 พย.ปีที่แล้ว โดยนับจากวันเลือกตั้งจนถึงขณะนี้เป็นเวลา 3 เดือนเศษแล้ว แต่ยังไม่มีการวินิจฉัยทั้ง ๆ ที่ กกต. จังหวัดได้วินิจฉัยคำร้องต่าง ๆ เสร็จสิ้นสมบูรณ์และส่งมาให้ กกต. กลาง เป็นเวลา 2 เดือนแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตามระเบียบของ กกต. หลังจากที่ กกต. จังหวัดส่งเรื่องมาแล้ว ต้องพิจารณาโดยพลัน ดังนั้นนายสาธิตจึงเรียกร้องให้ กกต. ได้หันกลับมาดูงานหลักที่เป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการวินิจฉัยและรับรองภายในกำหนด โดยให้เหตุผลว่า การรับรองการเลือกตั้งไปก่อนนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมนั้นสามารถเข้าไปจัดทำงบประมาณ และกอบโกยผลประโยชน์ได้ ดังนั้นการวินิจฉัยล่าช้าจะเป็นการไม่ยุติธรรม
นอกจากนี้การควบคุมการเลือกตั้งท้องถิ่นที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 1 เดือนข้างหน้า และอีก 6 เดือนข้างหน้า นายสาธิต กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการที่ กกต.ประกาศระเบียบการสมานฉันท์ เพราะว่า กกต. มีหน้าที่หลักในการทำให้ผู้สมัครเกรงกลัวที่จะทำผิดกฎหมาย ส่วนการร่างระเบียบสมานฉันท์นั้น นายสาธิตเห็นว่าจะไม่สามารถประสบผลสำเร็จเพราะว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนมุ่งจะเอาชนะการเลือกตั้ง ตราบใดที่กกต. ไม่ได้ทำให้ผู้สมัครเกรงกลัวการทำผิดกฎหมาย จะต้องถูกใบแดง หรือจะต้องใช้เงินมากหลายครั้ง ความสำเร็จในการเลือกตั้ง การแข่งขันแบบเสรี ก็คงไม่เกิดขึ้น ที่สำคัญที่สุด กกต. ควรเป็นสื่อ หรือออกสื่อเพื่อสร้างกระแสให้กับประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง อย่างรู้หน้าที่ของตนเอง และที่สำคัญจะต้องไม่ทำผิดกฎหมาย
“วันนี้เห็นสื่อแรกของกกต. ออกมา ผมไม่ทราบว่าจะสื่อความหมายอะไร เพียงแต่ออกมาบอกว่าจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า และมีองค์กร กกต. ที่จะทำหน้าที่อย่างเป็นกลางอย่างที่สุด ผมยังไม่เห็นว่าสื่อนี้จะช่วยอะไรได้ ความจริงสื่อควรจะต้องออกมาในลักษณะที่ว่า การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ การซื้อเสียงขายเสียงจะมีผลเสียหายกับการปกครองประเทศ กับการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งข้อคิดนี้ฝากไปว่าการใช้เงินซึ่งมีจำกัดของ กกต. ก็ขอให้ได้กลับมาทบทวน และกลับมาสู่การทำงานเพื่อเป็นความหวังของนักการเมืองของประชาชน เพื่อให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเต็มไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม” นายสาธิตกล่าวในที่สุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ก.พ. 2550--จบ--
นายสาธิตเห็นว่า ไม่ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมาเฟียค้ากามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมาระบุในเบื้องต้นหรือว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งส่วนตัว ก็ขอให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พนักงานสอบสวน ต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังเพราะเรื่องนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลได้ประกาศว่าปีนี้จะเพิ่มรายได้ของประเทศจากการท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้รัฐบาลก็ต้องเอาจริงเอาจัง และที่สำคัญหากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องมาเฟียต่างชาติ หรือมาเฟียค้ากาม ยิ่งต้องขอให้รัฐบาลไปดำเนินการอย่างเด็ดขาด ถอนรากถอนโคนมาเฟียพวกนี้อย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
นอกจากนี้นายสาธิต ยังได้วิจารณ์ถึงการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หลังจากที่ กกต. ได้ปฏิบัติหน้าที่มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมีความคาดหวังจากประชาชนเป็นอย่างมาก ที่ต้องการให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้เป็นการเลือกตั้งอย่างสุจริตเที่ยงธรรม ที่สำคัญที่สุดก็คือการควบคุมการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตนั้น ซึ่งนายสาธิตได้ให้ข้อสังเกตและวิจารณ์ด้วยความเคารพถึง กกต. ทั้ง 5 ท่านว่า ดูเหมือน กกต. ทั้ง 5 ท่านจะให้ความสำคัญในงานรองมากกว่างานหลัก นั่นคือการทำหน้าที่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือทำหน้าที่ในการเป็นกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ในขณะเดียวกันมีงานหลักคืองานการควบคุมการเลือกตั้ง การวินิจฉัยคำร้อง ซึ่งยังตกค้าง และยังไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง
โดยนายสาธิตได้กล่าวถึงการทำงานของ กกต. ที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยคำร้องว่า ขณะนี้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นหลายเรื่องที่ยังตกค้างอยู่ที่ กกต. และยังไม่มีการวินิจฉัย และยังไม่ได้มีการรับรอง ตัวอย่างเช่นการเลือกตั้ง สก. ของ กทม. ที่ผ่านมาก็ยังไม่ครบถ้วน และการเลือกตั้งท้องถิ่นนายก อบจ. ที่ จ.ระยอง มีการเลือกตั้งตั้งแต่วันที่ 19 พย.ปีที่แล้ว โดยนับจากวันเลือกตั้งจนถึงขณะนี้เป็นเวลา 3 เดือนเศษแล้ว แต่ยังไม่มีการวินิจฉัยทั้ง ๆ ที่ กกต. จังหวัดได้วินิจฉัยคำร้องต่าง ๆ เสร็จสิ้นสมบูรณ์และส่งมาให้ กกต. กลาง เป็นเวลา 2 เดือนแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตามระเบียบของ กกต. หลังจากที่ กกต. จังหวัดส่งเรื่องมาแล้ว ต้องพิจารณาโดยพลัน ดังนั้นนายสาธิตจึงเรียกร้องให้ กกต. ได้หันกลับมาดูงานหลักที่เป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการวินิจฉัยและรับรองภายในกำหนด โดยให้เหตุผลว่า การรับรองการเลือกตั้งไปก่อนนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมนั้นสามารถเข้าไปจัดทำงบประมาณ และกอบโกยผลประโยชน์ได้ ดังนั้นการวินิจฉัยล่าช้าจะเป็นการไม่ยุติธรรม
นอกจากนี้การควบคุมการเลือกตั้งท้องถิ่นที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 1 เดือนข้างหน้า และอีก 6 เดือนข้างหน้า นายสาธิต กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการที่ กกต.ประกาศระเบียบการสมานฉันท์ เพราะว่า กกต. มีหน้าที่หลักในการทำให้ผู้สมัครเกรงกลัวที่จะทำผิดกฎหมาย ส่วนการร่างระเบียบสมานฉันท์นั้น นายสาธิตเห็นว่าจะไม่สามารถประสบผลสำเร็จเพราะว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนมุ่งจะเอาชนะการเลือกตั้ง ตราบใดที่กกต. ไม่ได้ทำให้ผู้สมัครเกรงกลัวการทำผิดกฎหมาย จะต้องถูกใบแดง หรือจะต้องใช้เงินมากหลายครั้ง ความสำเร็จในการเลือกตั้ง การแข่งขันแบบเสรี ก็คงไม่เกิดขึ้น ที่สำคัญที่สุด กกต. ควรเป็นสื่อ หรือออกสื่อเพื่อสร้างกระแสให้กับประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง อย่างรู้หน้าที่ของตนเอง และที่สำคัญจะต้องไม่ทำผิดกฎหมาย
“วันนี้เห็นสื่อแรกของกกต. ออกมา ผมไม่ทราบว่าจะสื่อความหมายอะไร เพียงแต่ออกมาบอกว่าจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า และมีองค์กร กกต. ที่จะทำหน้าที่อย่างเป็นกลางอย่างที่สุด ผมยังไม่เห็นว่าสื่อนี้จะช่วยอะไรได้ ความจริงสื่อควรจะต้องออกมาในลักษณะที่ว่า การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ การซื้อเสียงขายเสียงจะมีผลเสียหายกับการปกครองประเทศ กับการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งข้อคิดนี้ฝากไปว่าการใช้เงินซึ่งมีจำกัดของ กกต. ก็ขอให้ได้กลับมาทบทวน และกลับมาสู่การทำงานเพื่อเป็นความหวังของนักการเมืองของประชาชน เพื่อให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเต็มไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม” นายสาธิตกล่าวในที่สุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ก.พ. 2550--จบ--