หลังจากที่วานนี้ (4 มีค.50 ) นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเปิด แอลซี รถดับเพลิงไปแล้ว วันนี้ 5 มีนาคม 2550 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครทำกรณีเรื่องรถเรือดับเพลิงให้โปร่งใส ตรงไปตรงมา ผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก มีข้อมูลเท่าไหร่ อย่างไร ให้มอบต่อคตส.หรือองค์กรใดที่จะเข้ามาตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ โดยไม่มีเหตุที่จะไปปิดบังอำพราง และไม่มีอะไรที่จะไปแก้ไขแอลซี หรือแก้ไขเอกสารใด ๆ เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือเพื่อประโยชน์ของใครทั้งสิ้น
นายองอาจกล่าวต่อไปว่า การดำเนินการที่ผ่านมาของผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครนั้นเป็นไปด้วยเหตุด้วยผล และทำตามภาระหน้าที่ของคนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ใช่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของกรุงเทพมหานครหรือของตนเองเท่านั้น เพราะฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงมั่นใจในการบริหารงานของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยเสียงเล่าลือเสียงเล่าอ้างต่าง ๆ ที่ออกมาในช่วงของการพิจารณาเกี่ยวกับการพิจารณาของคตส.เกี่ยวกับเรื่องรถและเรือดับเพลิง จึงเป็นเสียงเล่าลือเสียงเล่าอ้างที่ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น
พร้อมกันนี้นายองอาจได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณีรถดับเพลิงว่า หลังจากที่การพิจารณาของอนุกรรมการคตส.ออกมาว่านายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่แทนที่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดในเรื่องนี้จะออกมาชี้แจงว่าตนเองทำความผิดหรือไม่ผิดอย่างไร แต่ปรากฎว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องที่มีรายชื่อปรากฎจากการพิจารณาดังกล่าว กลับพยายามชี้ให้สังคมเห็นว่าทำไมไม่เอาผิดกับผู้ว่าฯอภิรักษ์ คล้ายกับต้องการดึงผู้ว่าฯ อภิรักษ์เป็นตัวประกันในการพิจารณาความผิดเหมือนกับกรณีคดียุบพรรค
“เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากแทนที่จะชี้แจงเรื่องของตัวเองว่าเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องอย่างไร แต่พยายามที่จะบอกว่าทำไมไม่พิจารณาเอาผิดกับผู้ว่าฯอภิรักษ์ด้วย ในประเด็นนี้ผมคิดว่าเป็นกลวิธีของการเอาผู้ว่าฯกทม.ไปเป็นตัวประกันในการพิจารณาความผิด เหมือนกับเรื่องกรณียุบพรรค พอพรรคไทยรักไทยถูกอนุกรรมการการเลือกตั้งบอกว่าดำเนินการกระทำผิด สมควรที่จะถูกยุบพรรค ผ่านไป 1 เดือนก็ไปยื่นเรื่องร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์เพื่อที่จะให้พรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นตัวประกันตนเองด้วย” นายองอาจกล่าว
นายองอาจได้ตั้งคำถามกับการที่นายสมัคร สุนทรเวช ออกมาระบุในฐานะอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต่อการพิจารณาของอนุกรรมการคตส.ว่า “เฮงซวย” นั้นว่า การที่นายสมัคร ลงนามสัญญาซื้อขายรถเรือดับเพลิงในวันสุดท้ายของการรับตำแหน่งผู้ว่าราชการ กทม. เป็นพฤติกรรมที่ควรจะเรียกว่าอะไร
“ผมอยากจะเรียนถามว่าการลงนามในสัญญาซื้อขายรถเรือดับเพลิงในวันสุดท้ายของการรับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครของคุณสมัคร สุนทรเวช เป็นพฤติกรรมที่เราควรจะเรียกว่าอะไร คุณกำลังจะหมดหน้าที่วันสุดท้ายอยู่แล้ว ทำไมต้องไปลงนามสัญญาซื้อขายนี้ จนกระทั่งเป็นปัญหาเป็นภาระของประเทศชาติบ้านเมืองจนกระทั่งถึงทุกวันนี้” นายองอาจกล่าว
นายองอาจระบุว่า การกระทำนี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าน่าจะมีความไม่ปกติเกิดขึ้น เพราะในระหว่างนั้นก็มีการรณรงค์การเลือกตั้งผู้ว่าฯ อยู่ และขณะนั้นยังไม่รู้ว่าใครจะเข้ามาทำหน้าที่ผู้ว่าฯ คนต่อไป ดังนั้นจึงอยากเสนอให้คตส.เรียกบริษัทที่ขายรถ เรือดับเพลิง คือบริษัทสไตเออร์ มาสอบ ซึ่งที่ผ่านมามีการตรวจสอบเฉพาะคนไทย และตรวจสอบเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย
“ผมว่าให้คตส.เรียกบริษัทที่ขายรถ เรือดับเพลิง คือบริษัทสไตเออร์ มาสอบเลยครับว่ายัดเงินให้ใครไปบ้าง ให้เงินใต้โต๊ะใครไปบ้างหรือเปล่าอย่างไร ผมเชื่อว่าถ้าเรียกมาสอบสวนในเรื่องนี้คงจะได้ความจริงประจักษ์ออกมาว่าใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มีนักการเมืองคนไหนที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ได้ผลประโยชน์ในเรื่องนี้กันไปแล้วบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าความจริงตรงนี้กระจ่างชัดออกมาก็จะทำให้เราได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าใครคือผู้สร้างปัญหาตัวจริงเกี่ยวกับเรื่องรถเรือดับเพลิงที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 มี.ค. 2550--จบ--
นายองอาจกล่าวต่อไปว่า การดำเนินการที่ผ่านมาของผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครนั้นเป็นไปด้วยเหตุด้วยผล และทำตามภาระหน้าที่ของคนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ใช่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของกรุงเทพมหานครหรือของตนเองเท่านั้น เพราะฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงมั่นใจในการบริหารงานของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยเสียงเล่าลือเสียงเล่าอ้างต่าง ๆ ที่ออกมาในช่วงของการพิจารณาเกี่ยวกับการพิจารณาของคตส.เกี่ยวกับเรื่องรถและเรือดับเพลิง จึงเป็นเสียงเล่าลือเสียงเล่าอ้างที่ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น
พร้อมกันนี้นายองอาจได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณีรถดับเพลิงว่า หลังจากที่การพิจารณาของอนุกรรมการคตส.ออกมาว่านายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่แทนที่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดในเรื่องนี้จะออกมาชี้แจงว่าตนเองทำความผิดหรือไม่ผิดอย่างไร แต่ปรากฎว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องที่มีรายชื่อปรากฎจากการพิจารณาดังกล่าว กลับพยายามชี้ให้สังคมเห็นว่าทำไมไม่เอาผิดกับผู้ว่าฯอภิรักษ์ คล้ายกับต้องการดึงผู้ว่าฯ อภิรักษ์เป็นตัวประกันในการพิจารณาความผิดเหมือนกับกรณีคดียุบพรรค
“เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากแทนที่จะชี้แจงเรื่องของตัวเองว่าเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องอย่างไร แต่พยายามที่จะบอกว่าทำไมไม่พิจารณาเอาผิดกับผู้ว่าฯอภิรักษ์ด้วย ในประเด็นนี้ผมคิดว่าเป็นกลวิธีของการเอาผู้ว่าฯกทม.ไปเป็นตัวประกันในการพิจารณาความผิด เหมือนกับเรื่องกรณียุบพรรค พอพรรคไทยรักไทยถูกอนุกรรมการการเลือกตั้งบอกว่าดำเนินการกระทำผิด สมควรที่จะถูกยุบพรรค ผ่านไป 1 เดือนก็ไปยื่นเรื่องร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์เพื่อที่จะให้พรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นตัวประกันตนเองด้วย” นายองอาจกล่าว
นายองอาจได้ตั้งคำถามกับการที่นายสมัคร สุนทรเวช ออกมาระบุในฐานะอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต่อการพิจารณาของอนุกรรมการคตส.ว่า “เฮงซวย” นั้นว่า การที่นายสมัคร ลงนามสัญญาซื้อขายรถเรือดับเพลิงในวันสุดท้ายของการรับตำแหน่งผู้ว่าราชการ กทม. เป็นพฤติกรรมที่ควรจะเรียกว่าอะไร
“ผมอยากจะเรียนถามว่าการลงนามในสัญญาซื้อขายรถเรือดับเพลิงในวันสุดท้ายของการรับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครของคุณสมัคร สุนทรเวช เป็นพฤติกรรมที่เราควรจะเรียกว่าอะไร คุณกำลังจะหมดหน้าที่วันสุดท้ายอยู่แล้ว ทำไมต้องไปลงนามสัญญาซื้อขายนี้ จนกระทั่งเป็นปัญหาเป็นภาระของประเทศชาติบ้านเมืองจนกระทั่งถึงทุกวันนี้” นายองอาจกล่าว
นายองอาจระบุว่า การกระทำนี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าน่าจะมีความไม่ปกติเกิดขึ้น เพราะในระหว่างนั้นก็มีการรณรงค์การเลือกตั้งผู้ว่าฯ อยู่ และขณะนั้นยังไม่รู้ว่าใครจะเข้ามาทำหน้าที่ผู้ว่าฯ คนต่อไป ดังนั้นจึงอยากเสนอให้คตส.เรียกบริษัทที่ขายรถ เรือดับเพลิง คือบริษัทสไตเออร์ มาสอบ ซึ่งที่ผ่านมามีการตรวจสอบเฉพาะคนไทย และตรวจสอบเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย
“ผมว่าให้คตส.เรียกบริษัทที่ขายรถ เรือดับเพลิง คือบริษัทสไตเออร์ มาสอบเลยครับว่ายัดเงินให้ใครไปบ้าง ให้เงินใต้โต๊ะใครไปบ้างหรือเปล่าอย่างไร ผมเชื่อว่าถ้าเรียกมาสอบสวนในเรื่องนี้คงจะได้ความจริงประจักษ์ออกมาว่าใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มีนักการเมืองคนไหนที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ได้ผลประโยชน์ในเรื่องนี้กันไปแล้วบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าความจริงตรงนี้กระจ่างชัดออกมาก็จะทำให้เราได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าใครคือผู้สร้างปัญหาตัวจริงเกี่ยวกับเรื่องรถเรือดับเพลิงที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 มี.ค. 2550--จบ--