นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 50 ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ …
กรณีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขอถอนตัวจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการประสานงานและกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
คุณอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าที่คุณสมคิดได้ตัดสินใจไปในวันนี้ก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะว่าจะช่วยลดปัญหาความตรึงเครียดในสังคมและความแตกแยกที่เกิดขึ้น และผมคิดว่าคุณสมคิดก็คงจะเข้าใจเงื่อนไขของสังคม อาจจะใช้เวลาช่วงนี้ไปตั้งหลัก เพราะว่าถ้าคุณสมคิดมีเจตนาที่จะทำงานการเมืองต่อไปผมเชื่อว่าสังคมไม่ได้ปิดกั้น เพียงแต่ว่าคงจะไปใช้เวลาในการทบทวนดู เพราะว่าสิ่งที่ได้ทำมาในอดีตมันก็มีเรื่องที่จะต้องไปสะสาง เพราะฉะนั้นเมื่อความชัดเจนในเรื่องของคตส.และจุดยืนทางเศรษฐกิจ ซึ่งในเรื่องที่พูดในขณะนี้กับสิ่งที่ทำมาในสายตาของคนมันยังไม่สอดคล้องกัน ผมคิดว่าพอไปทบทวนตรงนั้นแล้ววันข้างหน้าก็ยังไม่ได้มีการปิดกั้นไม่ให้มาทำงาน
กรณีการเปิดสถานีโทรทัศน์ และการเคลื่อนไหวของกลุ่มพรรคไทยรักไทยกับคำสั่ง คปค.
คำถาม : คิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นบทเรียนอะไรสำหรับนายกรัฐมนตรีบ้าง
คุณอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าสำหรับท่านนายกฯเองก็คงจะได้เห็นภาพว่าในที่สุดแล้วความรู้สึกของประชาชนที่สืบเนื่องมาจากวิกฤติก่อนหน้านี้มันเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมาก จะเจตนาดีอย่างไรก็ตามแต่ว่าถ้าไม่ไวต่อความรู้สึกตรงนี้มันก็ทำให้สถานการณ์มันมีปัญหาได้ แล้วทุกเรื่องผมอยากให้มีความละเอียดรอบคอบ อย่างที่เห็นชัดเจนตอนนี้ก็คือเรื่องที่มีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเป็นกระบวนการ จะเป็นเรื่องของการเปิดสถานีโทรทัศน์หรือจะเป็นการไปพบปะกับสื่อมวลชน ซึ่งผมก็อยากจะให้ข้อคิดว่าที่จริงแล้วมันก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการพยายามยึดหลักของประชาธิปไตย ถ้าสมมติว่าพีทีวีมันเป็นเงื่อนไขเดียวกับเอเอสทีวีก็ต้องปฎิบัติเหมือนกัน ซึ่งก็มีความชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องปฎิบัติอย่างไร หรือกรณีของคุณจาตุรนต์ ฉายแสง ก็ควรจะหลีกเลี่ยงในการไปสร้างเงื่อนไขขึ้นมา เช่น ไปพูดเรื่องการจับกุม ไปพูดเรื่องการปรับอะไรต่าง ๆ เหล่านี้
ผมถึงได้เสนอมาตลอดว่าขณะนี้คำสั่งคปค.เรื่องของพรรคการเมือง มันเป็นคำสั่งซึ่งจะปฎิบัติยาก น่าจะหันกลับมาใช้กฎหมายที่ดูแลด้านความมั่นคงตามปกติมากกว่า ถ้าคุณจาตุรนต์ไปทำอะไรซึ่งมันขัดต่อความมั่นคง ถึงไม่มีคำสั่งนี้คุณจาตุรนต์ก็ผิดอยู่แล้ว แต่พออ้างคำสั่งนี้มันจะตกเป็นเหยื่อ จะตกเป็นเหยื่อของกระบวนการซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งและการต่อต้านคมช.มากขึ้น เพราะฉะนั้นนี่เป็นรูปธรรมที่ดีเลยที่ชี้ให้เห็นว่าคำสั่งในเรื่องของพรรคการเมืองน่าจะต้องไปทบทวนในการผ่อนคลาย โดยระบุให้ชัดเจนเพียงแค่ว่ากิจกรรมไหนที่มันล่อแหลมต่อความมั่นคงก็อาจจะกำหนดเอาไว้ นอกนั้นก็ควรจะใช้กฎหมายตามปกติ แต่ถ้าส่งสัญญาณแบบนี้ ผมคิดว่าตกเป็นเหยื่อของฝ่ายที่ต้องการจะยั่วยุให้เกิดปัญหา
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร
ผู้สื่อข่าว : ตอนนี้พันธมิตรเองก็เริ่มจะมีการเคลื่อนไหว เขาจะมีการเคลื่อนไหว เขาจะมีการเดินสายในนาม ความเคลื่อนไหว
คุณอภิสิทธิ์ : คือทั้งหมดนี้ถ้าเรายังยึดหลักง่าย ๆ ว่าการใช้สิทธิโดยสุจริตและการเอาข้อเท็จจริงไปเผยแพร่ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้แล้วก็ใจกว้าง ผมก็ย้ำมาตลอดว่ารัฐบาลกับคมช. ต้องใจกว้างว่าคนที่เขาไม่เห็นด้วยด้วยความบริสุทธิ์ใจจะเสนอมุมมองอะไรเขาต้องเสนอได้ แต่วิธีการที่ไม่ถูกต้องต่างหากที่ต้องจัดการเด็ดขาด และจนถึงวันนี้เราก็ยังอยากจะเห็นความคืบหน้าในคดีเรื่องเผาโรงเรียน เรื่องอะไรที่มันชัดเจนกว่านี้ นั่นจะเป็นตัวกลาง แต่ว่าถ้าพยายามไปเหมารวมว่าพรรคการเมืองเคลื่อนไหวไม่ได้ หรืออะไรไม่ได้ สุดท้ายคนที่จะปฎิบัติตัวลำบากที่สุดคือคมช.กับรัฐบาล
ปัญหาการลอบเผาโรงเรียน
ผู้สื่อข่าว : อย่างล่าสุดเรื่องการเผาโรงเรียน ตำรวจเขาก็ออกมาสรุป คือเหมือนกับว่าไม่ได้เกี่ยวกับคลื่นใต้น้ำเลย
คุณอภิสิทธิ์ : คือมันต้องดูข้อเท็จจริงง่าย ๆ ว่าผมไม่เคยมียุคไหนที่เกิดปัญหาการเผาโรงเรียนมากเท่ากับช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่มันจะเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่มันไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเพียงลำพังเพียงเท่านี้ผมคิดว่ามันชัดเจนอยู่แล้ว และถ้าสมมติว่าไม่เกี่ยวจริง ๆ มันก็ต้องเอาคนผิดมาลงโทษอยู่ดี เพราะว่าถึงไม่ใช่คลื่นใต้น้ำจะเป็นการเผาด้วยเหตุผลอะไรมันก็เป็นความผิด
กรณีกุหลาบแก้ว — ปัญหาดาวเทียม
ผู้สื่อข่าว: และคิดว่าจำเป็นที่ต้องสปช.ควรที่จะเข้าไปดูเพิ่มเติมจากที่ในพื้นที่ได้มีการสอบสวนไว้แล้ว
คุณอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าจำเป็นนะครับ และมันมีหลายคดีที่ตอนนี้เราอยากเห็นการขับเคลื่อนที่มันชัด อย่างเช่นกรณีของกุหลาบแก้ว ซึ่งความจริงแล้วมันก็เป็นกุญแจดอกสำคัญดอกหนึ่งในการที่จะแก้ปัญหาเรื่องดาวเทียมด้วย ผมก็เข้าใจว่าไปอยู่กับตำรวจในพื้นที่ ทั้ง ๆ ที่คดีนี้มันเป็นคดีที่มีความสำคัญมากทั้งในทางเศรษฐกิจและทางสังคม และมีผลกระทบทางการเมืองอย่างกว้างขวาง เพราะฉะนั้นน่าที่จะยกระดับและให้ความสำคัญกับมัน
ผู้สื่อข่าว : ตอนนี้ล่าสุดอย่างทางกระทรวงไอซีทีบอกว่าถ้าจะยึดคืนต้องใช้ ใช้วิธีการซื้อคืน
คุณอภิสิทธิ์ : คือผมคิดว่าเราอย่าเพิ่งไปสรุปอะไรง่าย ๆ เป้าหมายในเรื่องของดาวเทียมมันเป็นเรื่องปัญหาของความมั่นคงกับการดูแลว่าผู้ที่ใช้ทรัพยากรตรงนี้ไม่ผิดไปจากกฎระเบียบต่าง ๆ เราอย่าเอาความรู้สึกไปว่าไปเป็นเรื่องไปปลุกกระแสความนิยม หรือเราอย่าไปตั้งเป้าว่าเพราะมันเคยเป็นของคนนั้น หรือมันจะเป็นของคนนี้ไม่ได้ แต่ว่าเราต้องดูว่าเขาประกอบธุรกิจที่มันผิดเงื่อนไปหรือเปล่า ปัญหาที่มันชัดเจนในช่วงที่ผ่านมาคือว่าการซื้อขายหุ้นมันทำให้ธุรกิจตกไปอยู่ในมือของต่างชาติ ก็ในเมื่อเราสรุปชัดเจนว่ากุหลาบแก้วเป็นนอมินี แล้วบริษัทที่รับสัมปทานในเรื่องดาวเทียมไม่ใช่ชินแซทเทิลไลท์ เป็นชินคอร์ป นั้นชินคอร์ปนี่ถ้ากุหลาบแก้วไม่เป็นไทยชินคอร์ปก็ไม่เป็นไทย มันก็ผิดเงื่อนไขการสัมปทานอยู่แล้ว นั้นเราก็ควรจะต้องว่าไปตามกระบวนการนี้ก่อน
ขณะเดียวกันรัฐก็มีสิทธิ์อยู่เสมอว่าเมื่อใดก็ตามที่มีการใช้ทรัพยากรอย่างนี้แล้วไปกระทบต่อความมั่นคง เราก็สามารถใช้มาตรการในการบริหารแก้ไขปัญหาได้ การจะไปซื้อก็ดีการจะไปยึดก็ดีมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก การยึดแน่นอนอยู่แล้วจะส่งสัญญาณที่ผิด แต่การบังคับกฎหมายตรงไปตรงมาไม่เป็นปัญหา การซื้อเราก็ต้องคิดด้วยว่าถ้าจะต้องมีการไประดมเงินซื้อ ถามว่ามันเป็นธรรมกับเงินของประชาชนไหม และขณะเดียวกันมันจะยิ่งไปส่งเสริมผลประโยชน์ของผู้ขายหรือเปล่า ยิ่งถ้าเขารู้ว่าจะซื้อแน่ ๆ ราคามันก็ต้องสูงขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้ผมว่าเราดูดีกว่าว่าการละเมิดปัญหาของความมั่นคงของประเทศมันอยู่ที่ไหน แก้ให้ตรงจุดเสียก่อน แล้วมันจะมีคำตอบของมันเอง
ผู้สื่อข่าว : มันจะกลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ถูกต้องด้วยไหมคะว่าทีนี้ต่อไปก็ไม่มีใครเคารพกฎหมายและจะต้องมีการซื้อคืน
คุณอภิสิทธิ์ : ผมถึงบอกว่าเราต้องเอาเป้าหมายเป็นหลักก่อน ว่าเป้าหมายเราคือรักษาความมั่นคงทรัพยากรที่ต้องใช้เพื่อความมั่นคงของชาติ และมามีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติเรายอมไม่ได้ เราก็ต้องแก้ที่ตรงนั้น เราอย่าเพิ่งไปพูดเรื่องว่าไปซื้อหรือว่าจะไปยึดหรือว่าอย่างไร
ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดภาคใต้
ผู้สื่อข่าว : เรื่องใต้ เพราะว่าเหตุระเบิดหลายจุด ก็ยังดูเหมือนว่าควบคุมไม่ได้ อันนี้มีเรื่องพรบ.ศอ.บต.จะช่วยได้ไหม
คุณอภิสิทธิ์ : ที่จริงในเรื่องของกฎหมายเราก็เสนอมาด้วยว่าศอ.บต.นี้ก็ควรจะมีสถานะทางกฎหมายยอมรับ แล้วก็เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ก็ทำให้การทำงานต้องมีความเข้มข้นมาก และก็ต้องทำงานเชิงรุก เป็นเอกภาพให้มาก สร้างเจตนาร่วมในแง่ของความจำเป็นเร่งด่วนให้กับเจ้าหน้าที่ในทุกหน่วยงานที่จะไปในทิศทางเดียวกัน
ผู้สื่อข่าว : ถ้าออกเป็นพระราชบัญญัติ
คุณอภิสิทธิ์ : ที่จริงถ้าสมมติว่า ผมไม่ทราบว่ากฎหมายมันซับซ้อนแค่ไหน แล้วก็โดยสภาพสภาปัจจุบันมันก็รวดเร็วพอสมควร คงจะต้องดู
ผู้สื่อข่าว : ที่มันล่าช้าเกินไปเพราะว่ารัฐบาล ยังเห็นว่า 4 เดือนแล้ว กฎหมายที่รองรับ
คุณอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าต้องเร่งรัดแล้วก็ผมก็อยากเสนอว่าจริง ๆ เวลานี้รัฐบาลมีเวลาค่อนข้างจำกัด ถึงเวลาเหมือนกันที่จะมีแผนที่ชัดเจน เช่นแผนนิติบัญญัติ ว่าที่สุดแล้วเป็นกฎหมายอะไรบ้างที่จำเป็นที่จะต้องทำก่อนเลือกตั้ง ซึ่งผมก็เคยเสนอไปว่ากฎหมายเรื่องสิทธิเสรีภาพ กฎหมายเรื่องของการปรับปรุงมาตรการคอร์รัปชั่นมันควรจะมาก่อนกฎหมายอื่น ๆ ตามปกติ ซึ่งอาจจะรอรัฐบาลจากการเลือกตั้งได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 22 ก.พ. 2550--จบ--
กรณีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขอถอนตัวจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการประสานงานและกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
คุณอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าที่คุณสมคิดได้ตัดสินใจไปในวันนี้ก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะว่าจะช่วยลดปัญหาความตรึงเครียดในสังคมและความแตกแยกที่เกิดขึ้น และผมคิดว่าคุณสมคิดก็คงจะเข้าใจเงื่อนไขของสังคม อาจจะใช้เวลาช่วงนี้ไปตั้งหลัก เพราะว่าถ้าคุณสมคิดมีเจตนาที่จะทำงานการเมืองต่อไปผมเชื่อว่าสังคมไม่ได้ปิดกั้น เพียงแต่ว่าคงจะไปใช้เวลาในการทบทวนดู เพราะว่าสิ่งที่ได้ทำมาในอดีตมันก็มีเรื่องที่จะต้องไปสะสาง เพราะฉะนั้นเมื่อความชัดเจนในเรื่องของคตส.และจุดยืนทางเศรษฐกิจ ซึ่งในเรื่องที่พูดในขณะนี้กับสิ่งที่ทำมาในสายตาของคนมันยังไม่สอดคล้องกัน ผมคิดว่าพอไปทบทวนตรงนั้นแล้ววันข้างหน้าก็ยังไม่ได้มีการปิดกั้นไม่ให้มาทำงาน
กรณีการเปิดสถานีโทรทัศน์ และการเคลื่อนไหวของกลุ่มพรรคไทยรักไทยกับคำสั่ง คปค.
คำถาม : คิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นบทเรียนอะไรสำหรับนายกรัฐมนตรีบ้าง
คุณอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าสำหรับท่านนายกฯเองก็คงจะได้เห็นภาพว่าในที่สุดแล้วความรู้สึกของประชาชนที่สืบเนื่องมาจากวิกฤติก่อนหน้านี้มันเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมาก จะเจตนาดีอย่างไรก็ตามแต่ว่าถ้าไม่ไวต่อความรู้สึกตรงนี้มันก็ทำให้สถานการณ์มันมีปัญหาได้ แล้วทุกเรื่องผมอยากให้มีความละเอียดรอบคอบ อย่างที่เห็นชัดเจนตอนนี้ก็คือเรื่องที่มีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเป็นกระบวนการ จะเป็นเรื่องของการเปิดสถานีโทรทัศน์หรือจะเป็นการไปพบปะกับสื่อมวลชน ซึ่งผมก็อยากจะให้ข้อคิดว่าที่จริงแล้วมันก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการพยายามยึดหลักของประชาธิปไตย ถ้าสมมติว่าพีทีวีมันเป็นเงื่อนไขเดียวกับเอเอสทีวีก็ต้องปฎิบัติเหมือนกัน ซึ่งก็มีความชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องปฎิบัติอย่างไร หรือกรณีของคุณจาตุรนต์ ฉายแสง ก็ควรจะหลีกเลี่ยงในการไปสร้างเงื่อนไขขึ้นมา เช่น ไปพูดเรื่องการจับกุม ไปพูดเรื่องการปรับอะไรต่าง ๆ เหล่านี้
ผมถึงได้เสนอมาตลอดว่าขณะนี้คำสั่งคปค.เรื่องของพรรคการเมือง มันเป็นคำสั่งซึ่งจะปฎิบัติยาก น่าจะหันกลับมาใช้กฎหมายที่ดูแลด้านความมั่นคงตามปกติมากกว่า ถ้าคุณจาตุรนต์ไปทำอะไรซึ่งมันขัดต่อความมั่นคง ถึงไม่มีคำสั่งนี้คุณจาตุรนต์ก็ผิดอยู่แล้ว แต่พออ้างคำสั่งนี้มันจะตกเป็นเหยื่อ จะตกเป็นเหยื่อของกระบวนการซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งและการต่อต้านคมช.มากขึ้น เพราะฉะนั้นนี่เป็นรูปธรรมที่ดีเลยที่ชี้ให้เห็นว่าคำสั่งในเรื่องของพรรคการเมืองน่าจะต้องไปทบทวนในการผ่อนคลาย โดยระบุให้ชัดเจนเพียงแค่ว่ากิจกรรมไหนที่มันล่อแหลมต่อความมั่นคงก็อาจจะกำหนดเอาไว้ นอกนั้นก็ควรจะใช้กฎหมายตามปกติ แต่ถ้าส่งสัญญาณแบบนี้ ผมคิดว่าตกเป็นเหยื่อของฝ่ายที่ต้องการจะยั่วยุให้เกิดปัญหา
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร
ผู้สื่อข่าว : ตอนนี้พันธมิตรเองก็เริ่มจะมีการเคลื่อนไหว เขาจะมีการเคลื่อนไหว เขาจะมีการเดินสายในนาม ความเคลื่อนไหว
คุณอภิสิทธิ์ : คือทั้งหมดนี้ถ้าเรายังยึดหลักง่าย ๆ ว่าการใช้สิทธิโดยสุจริตและการเอาข้อเท็จจริงไปเผยแพร่ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้แล้วก็ใจกว้าง ผมก็ย้ำมาตลอดว่ารัฐบาลกับคมช. ต้องใจกว้างว่าคนที่เขาไม่เห็นด้วยด้วยความบริสุทธิ์ใจจะเสนอมุมมองอะไรเขาต้องเสนอได้ แต่วิธีการที่ไม่ถูกต้องต่างหากที่ต้องจัดการเด็ดขาด และจนถึงวันนี้เราก็ยังอยากจะเห็นความคืบหน้าในคดีเรื่องเผาโรงเรียน เรื่องอะไรที่มันชัดเจนกว่านี้ นั่นจะเป็นตัวกลาง แต่ว่าถ้าพยายามไปเหมารวมว่าพรรคการเมืองเคลื่อนไหวไม่ได้ หรืออะไรไม่ได้ สุดท้ายคนที่จะปฎิบัติตัวลำบากที่สุดคือคมช.กับรัฐบาล
ปัญหาการลอบเผาโรงเรียน
ผู้สื่อข่าว : อย่างล่าสุดเรื่องการเผาโรงเรียน ตำรวจเขาก็ออกมาสรุป คือเหมือนกับว่าไม่ได้เกี่ยวกับคลื่นใต้น้ำเลย
คุณอภิสิทธิ์ : คือมันต้องดูข้อเท็จจริงง่าย ๆ ว่าผมไม่เคยมียุคไหนที่เกิดปัญหาการเผาโรงเรียนมากเท่ากับช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่มันจะเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่มันไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเพียงลำพังเพียงเท่านี้ผมคิดว่ามันชัดเจนอยู่แล้ว และถ้าสมมติว่าไม่เกี่ยวจริง ๆ มันก็ต้องเอาคนผิดมาลงโทษอยู่ดี เพราะว่าถึงไม่ใช่คลื่นใต้น้ำจะเป็นการเผาด้วยเหตุผลอะไรมันก็เป็นความผิด
กรณีกุหลาบแก้ว — ปัญหาดาวเทียม
ผู้สื่อข่าว: และคิดว่าจำเป็นที่ต้องสปช.ควรที่จะเข้าไปดูเพิ่มเติมจากที่ในพื้นที่ได้มีการสอบสวนไว้แล้ว
คุณอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าจำเป็นนะครับ และมันมีหลายคดีที่ตอนนี้เราอยากเห็นการขับเคลื่อนที่มันชัด อย่างเช่นกรณีของกุหลาบแก้ว ซึ่งความจริงแล้วมันก็เป็นกุญแจดอกสำคัญดอกหนึ่งในการที่จะแก้ปัญหาเรื่องดาวเทียมด้วย ผมก็เข้าใจว่าไปอยู่กับตำรวจในพื้นที่ ทั้ง ๆ ที่คดีนี้มันเป็นคดีที่มีความสำคัญมากทั้งในทางเศรษฐกิจและทางสังคม และมีผลกระทบทางการเมืองอย่างกว้างขวาง เพราะฉะนั้นน่าที่จะยกระดับและให้ความสำคัญกับมัน
ผู้สื่อข่าว : ตอนนี้ล่าสุดอย่างทางกระทรวงไอซีทีบอกว่าถ้าจะยึดคืนต้องใช้ ใช้วิธีการซื้อคืน
คุณอภิสิทธิ์ : คือผมคิดว่าเราอย่าเพิ่งไปสรุปอะไรง่าย ๆ เป้าหมายในเรื่องของดาวเทียมมันเป็นเรื่องปัญหาของความมั่นคงกับการดูแลว่าผู้ที่ใช้ทรัพยากรตรงนี้ไม่ผิดไปจากกฎระเบียบต่าง ๆ เราอย่าเอาความรู้สึกไปว่าไปเป็นเรื่องไปปลุกกระแสความนิยม หรือเราอย่าไปตั้งเป้าว่าเพราะมันเคยเป็นของคนนั้น หรือมันจะเป็นของคนนี้ไม่ได้ แต่ว่าเราต้องดูว่าเขาประกอบธุรกิจที่มันผิดเงื่อนไปหรือเปล่า ปัญหาที่มันชัดเจนในช่วงที่ผ่านมาคือว่าการซื้อขายหุ้นมันทำให้ธุรกิจตกไปอยู่ในมือของต่างชาติ ก็ในเมื่อเราสรุปชัดเจนว่ากุหลาบแก้วเป็นนอมินี แล้วบริษัทที่รับสัมปทานในเรื่องดาวเทียมไม่ใช่ชินแซทเทิลไลท์ เป็นชินคอร์ป นั้นชินคอร์ปนี่ถ้ากุหลาบแก้วไม่เป็นไทยชินคอร์ปก็ไม่เป็นไทย มันก็ผิดเงื่อนไขการสัมปทานอยู่แล้ว นั้นเราก็ควรจะต้องว่าไปตามกระบวนการนี้ก่อน
ขณะเดียวกันรัฐก็มีสิทธิ์อยู่เสมอว่าเมื่อใดก็ตามที่มีการใช้ทรัพยากรอย่างนี้แล้วไปกระทบต่อความมั่นคง เราก็สามารถใช้มาตรการในการบริหารแก้ไขปัญหาได้ การจะไปซื้อก็ดีการจะไปยึดก็ดีมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก การยึดแน่นอนอยู่แล้วจะส่งสัญญาณที่ผิด แต่การบังคับกฎหมายตรงไปตรงมาไม่เป็นปัญหา การซื้อเราก็ต้องคิดด้วยว่าถ้าจะต้องมีการไประดมเงินซื้อ ถามว่ามันเป็นธรรมกับเงินของประชาชนไหม และขณะเดียวกันมันจะยิ่งไปส่งเสริมผลประโยชน์ของผู้ขายหรือเปล่า ยิ่งถ้าเขารู้ว่าจะซื้อแน่ ๆ ราคามันก็ต้องสูงขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้ผมว่าเราดูดีกว่าว่าการละเมิดปัญหาของความมั่นคงของประเทศมันอยู่ที่ไหน แก้ให้ตรงจุดเสียก่อน แล้วมันจะมีคำตอบของมันเอง
ผู้สื่อข่าว : มันจะกลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ถูกต้องด้วยไหมคะว่าทีนี้ต่อไปก็ไม่มีใครเคารพกฎหมายและจะต้องมีการซื้อคืน
คุณอภิสิทธิ์ : ผมถึงบอกว่าเราต้องเอาเป้าหมายเป็นหลักก่อน ว่าเป้าหมายเราคือรักษาความมั่นคงทรัพยากรที่ต้องใช้เพื่อความมั่นคงของชาติ และมามีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติเรายอมไม่ได้ เราก็ต้องแก้ที่ตรงนั้น เราอย่าเพิ่งไปพูดเรื่องว่าไปซื้อหรือว่าจะไปยึดหรือว่าอย่างไร
ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดภาคใต้
ผู้สื่อข่าว : เรื่องใต้ เพราะว่าเหตุระเบิดหลายจุด ก็ยังดูเหมือนว่าควบคุมไม่ได้ อันนี้มีเรื่องพรบ.ศอ.บต.จะช่วยได้ไหม
คุณอภิสิทธิ์ : ที่จริงในเรื่องของกฎหมายเราก็เสนอมาด้วยว่าศอ.บต.นี้ก็ควรจะมีสถานะทางกฎหมายยอมรับ แล้วก็เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ก็ทำให้การทำงานต้องมีความเข้มข้นมาก และก็ต้องทำงานเชิงรุก เป็นเอกภาพให้มาก สร้างเจตนาร่วมในแง่ของความจำเป็นเร่งด่วนให้กับเจ้าหน้าที่ในทุกหน่วยงานที่จะไปในทิศทางเดียวกัน
ผู้สื่อข่าว : ถ้าออกเป็นพระราชบัญญัติ
คุณอภิสิทธิ์ : ที่จริงถ้าสมมติว่า ผมไม่ทราบว่ากฎหมายมันซับซ้อนแค่ไหน แล้วก็โดยสภาพสภาปัจจุบันมันก็รวดเร็วพอสมควร คงจะต้องดู
ผู้สื่อข่าว : ที่มันล่าช้าเกินไปเพราะว่ารัฐบาล ยังเห็นว่า 4 เดือนแล้ว กฎหมายที่รองรับ
คุณอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าต้องเร่งรัดแล้วก็ผมก็อยากเสนอว่าจริง ๆ เวลานี้รัฐบาลมีเวลาค่อนข้างจำกัด ถึงเวลาเหมือนกันที่จะมีแผนที่ชัดเจน เช่นแผนนิติบัญญัติ ว่าที่สุดแล้วเป็นกฎหมายอะไรบ้างที่จำเป็นที่จะต้องทำก่อนเลือกตั้ง ซึ่งผมก็เคยเสนอไปว่ากฎหมายเรื่องสิทธิเสรีภาพ กฎหมายเรื่องของการปรับปรุงมาตรการคอร์รัปชั่นมันควรจะมาก่อนกฎหมายอื่น ๆ ตามปกติ ซึ่งอาจจะรอรัฐบาลจากการเลือกตั้งได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 22 ก.พ. 2550--จบ--