ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ยืนยัน 6 มาตรการช่วยให้เงินบาทมีเสถียรภาพ นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยถึงผลจากการดำเนินมาตรการดูแลค่าเงินบาท 6 มาตรการ ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ส่งผลให้เงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น
โดยเริ่มอ่อนค่าลง ส่วนกรณีที่อัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ค. ขยายตัว 1.7% จากปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 42 เดือนนั้น เป็นอัตรา
ใกล้เคียงกับที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้การนำเข้าสินค้าและน้ำมันมีมูลค่าไม่สูง ซึ่ง ธปท.ก็ได้ปรับ
การคาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐานลงแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่น่ากังวลถึงปัญหาเงินฝืด เนื่องจากการที่ ธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้ นายสุชาติ สักการโกศล ผอ.ฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อ สายตลาดการเงิน ธปท.
เปิดเผยถึงความคืบหน้าหลังจากที่ ธปท.ออกมาตรการดูแลค่าเงินบาท 6 มาตรการว่า ขณะนี้มีสถาบันการเงิน 12 แห่งเปิดให้บริการรับ
เงินฝากสกุลต่างประเทศแล้วทั้งในรูปของเงินฝากบัญชีกระแสรายวัน บัญชีออมทรัพย์ และบัญชีเงินฝากประจำ (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
2. เศรษฐกิจภาคใต้ในไตรมาสที่ 2 ปี 50 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนัก
งานภาคใต้ แถลงภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคใต้ไตรมาสที่ 2 ปี 50 ว่า เศรษฐกิจภาคใต้โดยรวมชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน โดยภาค
เกษตรปริมาณผลผลิตและราคาลดลง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวก็ชะลอตัวเช่นกัน ส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนและการบริโภค
ของประชาชนลดลง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 2.0 สำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเฉพาะกิจ
ซึ่งมีการเพิ่มวงเงินให้ความช่วยเหลือจากเดิมอีก 5,000 ล.บาท ซึ่งขยายเวลาให้ครบกำหนดในปี 2553 นั้น เมื่อสิ้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
ธปท.ได้อนุมัติวงเงินส่วนที่เพิ่มเติมแล้ว 1,677.7 ล.บาท ยังคงมีวงเงินเหลืออีก 3,322.3 ล.บาท (กรุงเทพธุรกิจ)
3. แนวโน้มเอ็นพีแอลยังคงเพิ่มขึ้นตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในขณะนี้ว่า หากพิจารณาจากแนวโน้มเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินแล้ว
หนี้ยังคงเพิ่มขึ้น เพราะเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่ตัวเลขการเพิ่มขึ้นของหนี้ระดับ 4% กว่า ก็ยังเป็นตัวเลขที่ไม่น่าห่วงมากนัก นอกจากนี้
ยอมรับว่าอาจไม่สามารถลดระดับเอ็นพีแอลให้เหลือ 2% ภายในสิ้นปี 50 ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและ
การเมืองเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะปัจจัยเงินบาทแข็งค่า ซึ่งกระทบต่อการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ (ผู้จัดการรายวัน, ไทยโพสต์)
4. กองทุนฟื้นฟูฯ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกรณีผลกำไรของ ธ.ไทยธนาคารต่ำกว่าที่ควร นายสาทร โตโพธิ์ไทย ผู้อำนวยการ
สำนักกฎหมายและติดตามทรัพย์สิน ฝ่ายบริหารกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ ธ.ไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน)
มีผลกำไร ณ สิ้นไตรมาส 2/50 ต่ำกว่าที่ควร เนื่องจากต้องกันสำรองหนี้เสียจากสินเชื่อที่ปล่อยให้กับกลุ่มบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด
และจากการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศนั้น กองทุนฟื้นฟูฯ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ธ.ไทยธนาคาร และในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาทในการ
ดูแลเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันการเงิน ได้สั่งการให้คณะกรรมการของธนาคารตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของความเสียหาย
ที่เกิดขึ้น และให้รายงานต่อกองทุนฟื้นฟูฯ ภายใน 30 วัน โดยคาดว่าผลสอบจะเรียบร้อยภายในกลางเดือน ก.ย.นี้ (มติชน, โลกวันนี้,
กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
5. ดัชนีความเชื่อมั่นเอสเอ็มอีในเดือน มิ.ย.50 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและ
ขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการเดือน มิ.ย. เทียบกับเดือน พ.ค. พบว่า
ดัชนีปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 43.6 จากระดับ 43.7 เช่นเดียวกับภาคค้าส่งและค้าปลีก ลดลงมาอยู่ที่ 43.2 จากระดับ 44.4 ส่วน
ภาคบริการ
ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 44.0 จากระดับ 42.8 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศลดลงมาอยู่ที่ 30.9 จากระดับ 39.7 และ
ความเชื่อมั่นต่อธุรกิจตัวเองลดลงมาอยู่ที่ 32.5 จากระดับ 41.6 สำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 50
ทุกดัชนี แสดงว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นไม่ดีนักเช่นเดียวกับปัจจุบัน (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าภาคการบริการของ สรอ. จะขยายตัวลดลงในเดือน ก.ค. รายงานจากนิวยอร์ค ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่ 2 ส.ค.50
นักวิเคราะห์คาดว่าภาคการบริการของ สรอ. จะขยายตัวลดลงในเดือน ก.ค. หลังจากที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา
เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการทำสัญญาจ้างในตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง โดย Institute for Supply Management
คาดว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีภาคบริการในเดือน ก.ค.50 จะอยู่ที่ระดับ 59.0 ลดลงจากระดับ 60.7 ในเดือน มิ.ย.50 ทั้งนี้ โดยมีช่วงการ
คาดคะเนอยู่ระหว่าง 57.0 — 61.0 สำหรับตัวเลขอย่างเป็นทางการจะประกาศในวันศุกร์ที่ 3 ส.ค. เวลา 10.00 น. (เวลาท้องถิ่น)
(รอยเตอร์)
2. ธ.กลางสหภาพยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 4 รายงานจากเมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี
เมื่อวันที่ 2 ส.ค.50 ธ.กลางสหภาพยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 4 ซึ่งเป็นไปตามผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์
73 คน ของสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อสัปดาห์ก่อน ขณะที่หลายฝ่ายคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ในเดือน ก.ย.นี้
เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปขยายตัวต่อเนื่องและลดปัจจัยเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ (รอยเตอร์)
3. ดัชนีภาคการก่อสร้างของอังกฤษในเดือน ก.ค.50 ขยายตัวสูงสุดในรอบมากกว่า 7 ปีที่ระดับ 61.8 รายงานจากลอนดอน
เมื่อ 2 ส.ค.50 The Chartered Institute for Purchasing and Supply (CIPS) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการก่อสร้างของอังกฤษ
ในเดือน ก.ค.50 ขยายตัวอย่างรวดเร็วสูงสุดในรอบมากกว่า 7 ปี (ตั้งแต่เดือน เม.ย.43) โดยเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 61.8 จากระดับ 60.1
ในเดือน มิ.ย.50 ขณะที่กิจกรรมภาคที่อยู่อาศัยชะลอลงอยู่ที่ระดับ 56.7 จากระดับ 61.3 นับเป็นการชะลอลงต่ำสุดตั้งแต่เดือน มี.ค.50
ทั้งนี้ จากแรงกดดันด้านต้นทุนราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 69.2 จากระดับ 68.6 ในเดือนก่อนหน้า สำหรับ
สาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีภาคก่อสร้างขยายตัวอย่างรวดเร็วในเดือน ก.ค. เนื่องจากมีแรงขับเคลื่อนจากดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่าง
แข็งแกร่งที่ระดับ 66.8 จากระดับ 63.4 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่เดือน พ.ค.40 สำหรับกิจกรรมเกี่ยวกับภาคการค้าก็เพิ่มขึ้นสูงสุด
ตั้งแต่เดือน ต.ค.49 ที่ระดับ 62.5 จากระดับ 59.1 รวมทั้งกิจกรรมภาควิศวกรรมโยธาก็เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 63.8 จากระดับ 59.5 นับ
เป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจมา (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.75 ต่อปีแต่คาดว่าอาจมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งภายในปีนี้ รายงาน
จากลอนดอน เมื่อ 2 ส.ค.50 ธ.กลางอังกฤษตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.75 ต่อปีตามที่คาดไว้ แต่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า
จะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเป็นร้อยละ 6.0 ต่อปีภายในปีนี้ จากอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันที่อยู่ในระดับสูงกว่าเป้าที่ ธ.กลางอังกฤษตั้งไว้
ในขณะที่มีสัญญาณเพียงเล็กน้อยที่แสดงว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง โดยเศรษฐกิจอังกฤษขยายตัวในอัตราสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวเป็นไตรมาส
ที่ 6 ติดต่อกัน ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เป็นการง่ายที่ธุรกิจจะขึ้นราคาสินค้า นอกจากนี้ราคาอาหารก็สูงขึ้นจากผลกระทบน้ำท่วมในหลาย
พื้นที่ของประเทศ ในขณะที่ราคาน้ำมันก็กลับมาสูงขึ้นอีกในช่วงนี้ นักเศรษฐศาสตร์จึงคาดว่ามีโอกาสน้อยที่อัตราเงินเฟ้อจะกลับมาอยู่ในช่วง
เป้าหมายที่ ธ.กลางอังกฤษตั้งไว้ (รอยเตอร์)
5. ดัชนีราคาผู้ผลิตของยูโรโซนในเดือน มิ.ย. ชะลอตัวลงแต่ยังคาดว่าธ.กลางยุโรปอาจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก
รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 50 สำนักงานสถิติแห่งชาติของยุโรปเปิดเผยว่า ในเดือน มิ.ย. ดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price
Index - PPI) ของ 13 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 จากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเดือน พ.ค. และเมื่อเทียบกับระยะ
เดียวกันปีที่แล้ว PPI เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 ชะลอลงจากร้อยละ 2.4 เมื่อเดือน พ.ค. น้อยกว่าผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์
ที่คาดว่า PPI ในเดือน มิ.ย.จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 และร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบต่อเดือน และต่อปีตามลำดับ ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า
ตัวเลข PPI ที่ชะลอตัวลงสะท้อนถึงการขยายตัวในภาคอุตสาหกรรมการผลิตชะลอลง โดยนาย Martin van Vliet นักเศรษฐศาสตร์จาก
ING Bank ในยูโรโซนกล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมการผลิตชะลอตัวลงเล็กน้อยจากการแข็งค่าของเงินยูโรและราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้ง
ความเชื่อมั่นก็ลดลงด้วย อย่างไรก็ตามภาคบริการของยูโรโซนที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องสามารถชดเชยกับการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรม
การผลิตได้จึงทำให้คาดว่า ธ.กลางยุโรปยังคงจะดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างเข้มงวดต่อไป โดยคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบายอีกเนื่องจาก ธ.กลางยุโรปต้องการรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงเกินกว่าร้อยละ 2.0ซึ่งในเดือน ก.ค. อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่
ร้อยละ 1.8 ต่อเนื่องมาเป็นเดือนที่ 11 ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นอีกในช่วงครึ่งหลังปีนี้ทำให้ธ.กลางจะต้องปรับ
เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 อยู่ที่ร้อยละ 4.25 ในเดือน ก.ย.นี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 3 ส.ค. 50 2 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.819 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6030/33.9357 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39250 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 830.29/24.13 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,600/10,700 10,600/10,700 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 69.86 71.21 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 29.19*/25.74** 29.19*/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ยืนยัน 6 มาตรการช่วยให้เงินบาทมีเสถียรภาพ นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยถึงผลจากการดำเนินมาตรการดูแลค่าเงินบาท 6 มาตรการ ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ส่งผลให้เงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น
โดยเริ่มอ่อนค่าลง ส่วนกรณีที่อัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ค. ขยายตัว 1.7% จากปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 42 เดือนนั้น เป็นอัตรา
ใกล้เคียงกับที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้การนำเข้าสินค้าและน้ำมันมีมูลค่าไม่สูง ซึ่ง ธปท.ก็ได้ปรับ
การคาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐานลงแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่น่ากังวลถึงปัญหาเงินฝืด เนื่องจากการที่ ธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้ นายสุชาติ สักการโกศล ผอ.ฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อ สายตลาดการเงิน ธปท.
เปิดเผยถึงความคืบหน้าหลังจากที่ ธปท.ออกมาตรการดูแลค่าเงินบาท 6 มาตรการว่า ขณะนี้มีสถาบันการเงิน 12 แห่งเปิดให้บริการรับ
เงินฝากสกุลต่างประเทศแล้วทั้งในรูปของเงินฝากบัญชีกระแสรายวัน บัญชีออมทรัพย์ และบัญชีเงินฝากประจำ (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
2. เศรษฐกิจภาคใต้ในไตรมาสที่ 2 ปี 50 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนัก
งานภาคใต้ แถลงภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคใต้ไตรมาสที่ 2 ปี 50 ว่า เศรษฐกิจภาคใต้โดยรวมชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน โดยภาค
เกษตรปริมาณผลผลิตและราคาลดลง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวก็ชะลอตัวเช่นกัน ส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนและการบริโภค
ของประชาชนลดลง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 2.0 สำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเฉพาะกิจ
ซึ่งมีการเพิ่มวงเงินให้ความช่วยเหลือจากเดิมอีก 5,000 ล.บาท ซึ่งขยายเวลาให้ครบกำหนดในปี 2553 นั้น เมื่อสิ้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
ธปท.ได้อนุมัติวงเงินส่วนที่เพิ่มเติมแล้ว 1,677.7 ล.บาท ยังคงมีวงเงินเหลืออีก 3,322.3 ล.บาท (กรุงเทพธุรกิจ)
3. แนวโน้มเอ็นพีแอลยังคงเพิ่มขึ้นตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในขณะนี้ว่า หากพิจารณาจากแนวโน้มเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินแล้ว
หนี้ยังคงเพิ่มขึ้น เพราะเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่ตัวเลขการเพิ่มขึ้นของหนี้ระดับ 4% กว่า ก็ยังเป็นตัวเลขที่ไม่น่าห่วงมากนัก นอกจากนี้
ยอมรับว่าอาจไม่สามารถลดระดับเอ็นพีแอลให้เหลือ 2% ภายในสิ้นปี 50 ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและ
การเมืองเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะปัจจัยเงินบาทแข็งค่า ซึ่งกระทบต่อการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ (ผู้จัดการรายวัน, ไทยโพสต์)
4. กองทุนฟื้นฟูฯ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกรณีผลกำไรของ ธ.ไทยธนาคารต่ำกว่าที่ควร นายสาทร โตโพธิ์ไทย ผู้อำนวยการ
สำนักกฎหมายและติดตามทรัพย์สิน ฝ่ายบริหารกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ ธ.ไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน)
มีผลกำไร ณ สิ้นไตรมาส 2/50 ต่ำกว่าที่ควร เนื่องจากต้องกันสำรองหนี้เสียจากสินเชื่อที่ปล่อยให้กับกลุ่มบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด
และจากการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศนั้น กองทุนฟื้นฟูฯ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ธ.ไทยธนาคาร และในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาทในการ
ดูแลเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันการเงิน ได้สั่งการให้คณะกรรมการของธนาคารตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของความเสียหาย
ที่เกิดขึ้น และให้รายงานต่อกองทุนฟื้นฟูฯ ภายใน 30 วัน โดยคาดว่าผลสอบจะเรียบร้อยภายในกลางเดือน ก.ย.นี้ (มติชน, โลกวันนี้,
กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
5. ดัชนีความเชื่อมั่นเอสเอ็มอีในเดือน มิ.ย.50 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและ
ขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการเดือน มิ.ย. เทียบกับเดือน พ.ค. พบว่า
ดัชนีปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 43.6 จากระดับ 43.7 เช่นเดียวกับภาคค้าส่งและค้าปลีก ลดลงมาอยู่ที่ 43.2 จากระดับ 44.4 ส่วน
ภาคบริการ
ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 44.0 จากระดับ 42.8 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศลดลงมาอยู่ที่ 30.9 จากระดับ 39.7 และ
ความเชื่อมั่นต่อธุรกิจตัวเองลดลงมาอยู่ที่ 32.5 จากระดับ 41.6 สำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 50
ทุกดัชนี แสดงว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นไม่ดีนักเช่นเดียวกับปัจจุบัน (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าภาคการบริการของ สรอ. จะขยายตัวลดลงในเดือน ก.ค. รายงานจากนิวยอร์ค ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่ 2 ส.ค.50
นักวิเคราะห์คาดว่าภาคการบริการของ สรอ. จะขยายตัวลดลงในเดือน ก.ค. หลังจากที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา
เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการทำสัญญาจ้างในตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง โดย Institute for Supply Management
คาดว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีภาคบริการในเดือน ก.ค.50 จะอยู่ที่ระดับ 59.0 ลดลงจากระดับ 60.7 ในเดือน มิ.ย.50 ทั้งนี้ โดยมีช่วงการ
คาดคะเนอยู่ระหว่าง 57.0 — 61.0 สำหรับตัวเลขอย่างเป็นทางการจะประกาศในวันศุกร์ที่ 3 ส.ค. เวลา 10.00 น. (เวลาท้องถิ่น)
(รอยเตอร์)
2. ธ.กลางสหภาพยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 4 รายงานจากเมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี
เมื่อวันที่ 2 ส.ค.50 ธ.กลางสหภาพยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 4 ซึ่งเป็นไปตามผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์
73 คน ของสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อสัปดาห์ก่อน ขณะที่หลายฝ่ายคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ในเดือน ก.ย.นี้
เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปขยายตัวต่อเนื่องและลดปัจจัยเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ (รอยเตอร์)
3. ดัชนีภาคการก่อสร้างของอังกฤษในเดือน ก.ค.50 ขยายตัวสูงสุดในรอบมากกว่า 7 ปีที่ระดับ 61.8 รายงานจากลอนดอน
เมื่อ 2 ส.ค.50 The Chartered Institute for Purchasing and Supply (CIPS) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการก่อสร้างของอังกฤษ
ในเดือน ก.ค.50 ขยายตัวอย่างรวดเร็วสูงสุดในรอบมากกว่า 7 ปี (ตั้งแต่เดือน เม.ย.43) โดยเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 61.8 จากระดับ 60.1
ในเดือน มิ.ย.50 ขณะที่กิจกรรมภาคที่อยู่อาศัยชะลอลงอยู่ที่ระดับ 56.7 จากระดับ 61.3 นับเป็นการชะลอลงต่ำสุดตั้งแต่เดือน มี.ค.50
ทั้งนี้ จากแรงกดดันด้านต้นทุนราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 69.2 จากระดับ 68.6 ในเดือนก่อนหน้า สำหรับ
สาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีภาคก่อสร้างขยายตัวอย่างรวดเร็วในเดือน ก.ค. เนื่องจากมีแรงขับเคลื่อนจากดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่าง
แข็งแกร่งที่ระดับ 66.8 จากระดับ 63.4 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่เดือน พ.ค.40 สำหรับกิจกรรมเกี่ยวกับภาคการค้าก็เพิ่มขึ้นสูงสุด
ตั้งแต่เดือน ต.ค.49 ที่ระดับ 62.5 จากระดับ 59.1 รวมทั้งกิจกรรมภาควิศวกรรมโยธาก็เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 63.8 จากระดับ 59.5 นับ
เป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจมา (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.75 ต่อปีแต่คาดว่าอาจมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งภายในปีนี้ รายงาน
จากลอนดอน เมื่อ 2 ส.ค.50 ธ.กลางอังกฤษตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.75 ต่อปีตามที่คาดไว้ แต่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า
จะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเป็นร้อยละ 6.0 ต่อปีภายในปีนี้ จากอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันที่อยู่ในระดับสูงกว่าเป้าที่ ธ.กลางอังกฤษตั้งไว้
ในขณะที่มีสัญญาณเพียงเล็กน้อยที่แสดงว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง โดยเศรษฐกิจอังกฤษขยายตัวในอัตราสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวเป็นไตรมาส
ที่ 6 ติดต่อกัน ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เป็นการง่ายที่ธุรกิจจะขึ้นราคาสินค้า นอกจากนี้ราคาอาหารก็สูงขึ้นจากผลกระทบน้ำท่วมในหลาย
พื้นที่ของประเทศ ในขณะที่ราคาน้ำมันก็กลับมาสูงขึ้นอีกในช่วงนี้ นักเศรษฐศาสตร์จึงคาดว่ามีโอกาสน้อยที่อัตราเงินเฟ้อจะกลับมาอยู่ในช่วง
เป้าหมายที่ ธ.กลางอังกฤษตั้งไว้ (รอยเตอร์)
5. ดัชนีราคาผู้ผลิตของยูโรโซนในเดือน มิ.ย. ชะลอตัวลงแต่ยังคาดว่าธ.กลางยุโรปอาจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก
รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 50 สำนักงานสถิติแห่งชาติของยุโรปเปิดเผยว่า ในเดือน มิ.ย. ดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price
Index - PPI) ของ 13 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 จากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเดือน พ.ค. และเมื่อเทียบกับระยะ
เดียวกันปีที่แล้ว PPI เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 ชะลอลงจากร้อยละ 2.4 เมื่อเดือน พ.ค. น้อยกว่าผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์
ที่คาดว่า PPI ในเดือน มิ.ย.จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 และร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบต่อเดือน และต่อปีตามลำดับ ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า
ตัวเลข PPI ที่ชะลอตัวลงสะท้อนถึงการขยายตัวในภาคอุตสาหกรรมการผลิตชะลอลง โดยนาย Martin van Vliet นักเศรษฐศาสตร์จาก
ING Bank ในยูโรโซนกล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมการผลิตชะลอตัวลงเล็กน้อยจากการแข็งค่าของเงินยูโรและราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้ง
ความเชื่อมั่นก็ลดลงด้วย อย่างไรก็ตามภาคบริการของยูโรโซนที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องสามารถชดเชยกับการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรม
การผลิตได้จึงทำให้คาดว่า ธ.กลางยุโรปยังคงจะดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างเข้มงวดต่อไป โดยคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบายอีกเนื่องจาก ธ.กลางยุโรปต้องการรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงเกินกว่าร้อยละ 2.0ซึ่งในเดือน ก.ค. อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่
ร้อยละ 1.8 ต่อเนื่องมาเป็นเดือนที่ 11 ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นอีกในช่วงครึ่งหลังปีนี้ทำให้ธ.กลางจะต้องปรับ
เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 อยู่ที่ร้อยละ 4.25 ในเดือน ก.ย.นี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 3 ส.ค. 50 2 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.819 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6030/33.9357 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39250 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 830.29/24.13 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,600/10,700 10,600/10,700 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 69.86 71.21 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 29.19*/25.74** 29.19*/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--