กรุงเทพ--21 มิ.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
คำปราศรัย
ของนายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ จุฬาราชมนตรี
เนื่องในวันอิสลามโลก
วันที่ 2 ตุลาคม 2547
วันนี้ผมจะกล่าวถึงถึงการประชุมองค์กรรอบิเฏาะฮ์ หรือ สันนิบาตมุสลิมโลก ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า World Muslim League อันนี้มีสมาชิกทั่วโลก เจตนาที่ประชุมนั้นก็เพื่อทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนา เป็นองค์กรด้านมนุษยธรรม ทำหน้าที่ในการกำหนดสร้างเอกภาพความร่วมมือ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือมุสลิมที่ประสบปัญหาทั่วโลก ในการประชุมครั้งนี้ผมขอชมเชยท่านวันนอร์ มะทา ไปประชุมในนามประเทศไทย และเขาก็ให้ความสำคัญแก่ท่านวันนอร์ เป็นอย่างมาก ที่สามารถอภิปรายเรื่องข้อมูลไทยให้มุสลิมในโลกทราบ เมื่อมุสลิมในโลกประชุมทราบแล้ว เขาก็ประชุมและมีข้อความบันทึกประเทศต่างๆ ไม่ว่าประเทศไหน อิรัก อิหร่าน อินโดนีเซีย มาเลเซีย แต่เฉพาะประเทศไทยนั้นมีข้อความที่น่าชื่นใจ ข้อความที่มุสลิมโลกพูดถึง ข้อความนั้นปรากฏว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ชาวไทยของเรา กล่าวคือเขากล่าวว่าที่ประชุมได้เรียกร้องชาวมุสลิมทั้งหลายอย่าเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ก่อความไม่สงบ เพราะฉะนั้นมุสลิมโลกไม่เห็นด้วยกับมุสลิมจะไปร่วมกับการก่อการไม่สงบ และต้องการที่จะเห็นชาวมุสลิมในประเทศไทยดำรงชีวิตด้วยความสงบสุข
ดังนั้นจึงเสนอให้สันนิบาตชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องเพื่อดำรงรักษาไว้ซึ่งความเป็นมุสลิมของตน พร้อมมอบความช่วยเหลือแก่สถาบันการเรียนการสอนอิสลามในประเทศไทย และช่วยเหลือในการจัดวางแนวการสอนให้สอดคล้องกันของมุสลิมในประเทศไทย ซึ่งเป็นมุสลิมของชนส่วนน้อย แต่อย่างไรก็ตามส่วนสำคัญยิ่งนั้น เราน่าจะได้สดับในพระราชดำรัสแห่ง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงกล่าวที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ทรงกล่าวถึงว่ามุสลิมในประเทศไทยนี้ เรามีสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกัน ในประเทศไทยนั้นมีทั้งศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม คริสต์ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก เราอยู่ด้วยกัน วัดกับมัสยิดก็อยู่ด้วยกัน ไม่มีอันใด แต่อาจจะมีบุคคลใดมาสร้างความเข้าใจผิด เราไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เราอยากอยู่ร่วมกันด้วยความสงบ มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นองค์ประมุข และองค์อัครศาสนูปถัมภก
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 ที่กำหนดไว้ว่า ชนชาวไทย ไม่ว่า เพศ และ ศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองของรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน เพราะฉะนั้นแม่บทกฎหมายสูงสุดของชาติได้เขียนไว้สวย ไม่มีการแบ่งแยก ไม่ว่าศาสนา ภาษา ถิ่นกำเนิด เพศ เท่าเทียมกัน และมาตรา 38 ยังบัญญัติไว้ชัดเจนว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนา นิกายศาสนา และมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน ในเมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่พลเมือง และไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ในการให้เสรีภาพดังกล่าว ห้ามมิให้รัฐทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นการริดรอนสิทธิอันพึงมีพึงได้ ในการที่บุคคลนับถือศาสนานิกายแตกต่างจากคนอื่น เราจะเห็นว่ารัฐธรรมนูญเราประเสริฐ โดยให้เสรีภาพอย่างแท้จริงตามมาตรา 38 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ชอบที่ข้าราชการทั้งหลายจะได้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท กล่าวคือทำนุบำรุงทุกศาสนา ให้เกิดความเป็นพี่น้อง ให้เกิดความสามัคคีธรรมอย่างสงบสุข เพราะคนเราจะเกิดความสงบสุขได้นั้น ด้วยเหตุ 3 ประการคือ
หนึ่ง ต้องไม่ทำลายชีวิต เลือดเนื้อ ซึ่งกันและกัน เพราะการที่คนใดคนหนึ่งตายลงไปนั้น ย่อมทำให้เกิดเป็นหม้าย สามี ภรรยา หรือ พ่อแก่แม่แก่ที่หวังพึ่ง หรือลูกที่ต้องเล่าเรียนศึกษาต้องอาศัยหัวหน้าครอบครัว เพราะฉะนั้นการที่ผู้ใดถูกฆ่าตายก็กระเทือนคนทั้งหมด ดังนั้นศาสนาจึงให้คนทุกคนนั้นให้ความเคารพในชีวิต เลือดเนื้อ และทรัพย์สิน ทุกคนรักทรัพย์สมบัติของเรา เราก็ไม่อยากให้ทรัพย์สมบัติถูกขโมย ถูกปล้น เราก็ไม่ขโมยไม่ปล้นคนอื่น และทุกคนรักเกียรติยศชื่อเสียง เราก็รักษาเกียรติยศชื่อเสียงของเรา และรักษาของผู้อื่นด้วย เมื่อเรารักษา 3 ประการนี้ เราก็อยู่เย็นเป็นสุข เพราะฉะนั้นท่านวันนอร์ มะทา รองนายกฯ ที่ประชุมนั้นได้ผลมาก และกติกาทั้งหลายนั้น ไม่ว่ารัฐธรรมนูญก็ดี กติกาขนบธรรมเนียมก็ดี เราอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข แต่ถ้าผู้ใดคิดมิชอบอย่างอื่นอย่างใดนั้น ก็ขอได้โปรดระลึกถึงคำสอนของศาสนา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์อัครศาสนูปถัมภก และให้คำนึงถึงรัฐธรรมนูญที่ให้เสรีภาพไว้ เรามีหลักกฎเกณฑ์ที่ดีพอสมควร
ข้าพเจ้าหวังว่าคนไทยทั้งชาติ ไม่ว่าศาสนา ประเพณีอันใด เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ ขอให้คนไทยทุกคนได้สำนึกว่า เราเกิดมาในแผ่นดินอันดีงาม ซึ่งในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ถ้าเราไปเกิดในแผ่นดินที่แห้งแล้ง มีแต่ทะเลทรายจะเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงให้เราเกิดในแผ่นดินซึ่งไม้งาม แผ่นดินดี น้ำดี มีอาหารการกินสมบูรณ์ดี เราตั้งใจประกอบสัมมาอาชีวะ เคารพศาสนา เคารพกฎหมาย เราก็อยู่ได้อย่างสุขสบาย ขอให้ทุกคนมีความสงบสุข และเจริญโดยทั่วกัน
ในโอกาสนี้ผมขอถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นพระประมุข และทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก และขอถวายพระพรแด่องค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวาระที่พระองค์ทรงครบ 6 รอบ 72 พรรษา และขอถวายพระพรแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และทุกพระองค์ ที่ได้ทรงทำหน้าที่เพื่อชาติมาตลอดเวลา เราจึงอยู่ในประเทศที่ร่มเย็นที่มีระเบียบ มีกฎหมายมีพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ ขอให้เราภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
คำปราศรัย
ของนายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ จุฬาราชมนตรี
เนื่องในวันอิสลามโลก
วันที่ 2 ตุลาคม 2547
วันนี้ผมจะกล่าวถึงถึงการประชุมองค์กรรอบิเฏาะฮ์ หรือ สันนิบาตมุสลิมโลก ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า World Muslim League อันนี้มีสมาชิกทั่วโลก เจตนาที่ประชุมนั้นก็เพื่อทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนา เป็นองค์กรด้านมนุษยธรรม ทำหน้าที่ในการกำหนดสร้างเอกภาพความร่วมมือ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือมุสลิมที่ประสบปัญหาทั่วโลก ในการประชุมครั้งนี้ผมขอชมเชยท่านวันนอร์ มะทา ไปประชุมในนามประเทศไทย และเขาก็ให้ความสำคัญแก่ท่านวันนอร์ เป็นอย่างมาก ที่สามารถอภิปรายเรื่องข้อมูลไทยให้มุสลิมในโลกทราบ เมื่อมุสลิมในโลกประชุมทราบแล้ว เขาก็ประชุมและมีข้อความบันทึกประเทศต่างๆ ไม่ว่าประเทศไหน อิรัก อิหร่าน อินโดนีเซีย มาเลเซีย แต่เฉพาะประเทศไทยนั้นมีข้อความที่น่าชื่นใจ ข้อความที่มุสลิมโลกพูดถึง ข้อความนั้นปรากฏว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ชาวไทยของเรา กล่าวคือเขากล่าวว่าที่ประชุมได้เรียกร้องชาวมุสลิมทั้งหลายอย่าเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ก่อความไม่สงบ เพราะฉะนั้นมุสลิมโลกไม่เห็นด้วยกับมุสลิมจะไปร่วมกับการก่อการไม่สงบ และต้องการที่จะเห็นชาวมุสลิมในประเทศไทยดำรงชีวิตด้วยความสงบสุข
ดังนั้นจึงเสนอให้สันนิบาตชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องเพื่อดำรงรักษาไว้ซึ่งความเป็นมุสลิมของตน พร้อมมอบความช่วยเหลือแก่สถาบันการเรียนการสอนอิสลามในประเทศไทย และช่วยเหลือในการจัดวางแนวการสอนให้สอดคล้องกันของมุสลิมในประเทศไทย ซึ่งเป็นมุสลิมของชนส่วนน้อย แต่อย่างไรก็ตามส่วนสำคัญยิ่งนั้น เราน่าจะได้สดับในพระราชดำรัสแห่ง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงกล่าวที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ทรงกล่าวถึงว่ามุสลิมในประเทศไทยนี้ เรามีสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกัน ในประเทศไทยนั้นมีทั้งศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม คริสต์ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก เราอยู่ด้วยกัน วัดกับมัสยิดก็อยู่ด้วยกัน ไม่มีอันใด แต่อาจจะมีบุคคลใดมาสร้างความเข้าใจผิด เราไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เราอยากอยู่ร่วมกันด้วยความสงบ มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นองค์ประมุข และองค์อัครศาสนูปถัมภก
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 ที่กำหนดไว้ว่า ชนชาวไทย ไม่ว่า เพศ และ ศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองของรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน เพราะฉะนั้นแม่บทกฎหมายสูงสุดของชาติได้เขียนไว้สวย ไม่มีการแบ่งแยก ไม่ว่าศาสนา ภาษา ถิ่นกำเนิด เพศ เท่าเทียมกัน และมาตรา 38 ยังบัญญัติไว้ชัดเจนว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนา นิกายศาสนา และมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน ในเมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่พลเมือง และไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ในการให้เสรีภาพดังกล่าว ห้ามมิให้รัฐทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นการริดรอนสิทธิอันพึงมีพึงได้ ในการที่บุคคลนับถือศาสนานิกายแตกต่างจากคนอื่น เราจะเห็นว่ารัฐธรรมนูญเราประเสริฐ โดยให้เสรีภาพอย่างแท้จริงตามมาตรา 38 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ชอบที่ข้าราชการทั้งหลายจะได้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท กล่าวคือทำนุบำรุงทุกศาสนา ให้เกิดความเป็นพี่น้อง ให้เกิดความสามัคคีธรรมอย่างสงบสุข เพราะคนเราจะเกิดความสงบสุขได้นั้น ด้วยเหตุ 3 ประการคือ
หนึ่ง ต้องไม่ทำลายชีวิต เลือดเนื้อ ซึ่งกันและกัน เพราะการที่คนใดคนหนึ่งตายลงไปนั้น ย่อมทำให้เกิดเป็นหม้าย สามี ภรรยา หรือ พ่อแก่แม่แก่ที่หวังพึ่ง หรือลูกที่ต้องเล่าเรียนศึกษาต้องอาศัยหัวหน้าครอบครัว เพราะฉะนั้นการที่ผู้ใดถูกฆ่าตายก็กระเทือนคนทั้งหมด ดังนั้นศาสนาจึงให้คนทุกคนนั้นให้ความเคารพในชีวิต เลือดเนื้อ และทรัพย์สิน ทุกคนรักทรัพย์สมบัติของเรา เราก็ไม่อยากให้ทรัพย์สมบัติถูกขโมย ถูกปล้น เราก็ไม่ขโมยไม่ปล้นคนอื่น และทุกคนรักเกียรติยศชื่อเสียง เราก็รักษาเกียรติยศชื่อเสียงของเรา และรักษาของผู้อื่นด้วย เมื่อเรารักษา 3 ประการนี้ เราก็อยู่เย็นเป็นสุข เพราะฉะนั้นท่านวันนอร์ มะทา รองนายกฯ ที่ประชุมนั้นได้ผลมาก และกติกาทั้งหลายนั้น ไม่ว่ารัฐธรรมนูญก็ดี กติกาขนบธรรมเนียมก็ดี เราอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข แต่ถ้าผู้ใดคิดมิชอบอย่างอื่นอย่างใดนั้น ก็ขอได้โปรดระลึกถึงคำสอนของศาสนา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์อัครศาสนูปถัมภก และให้คำนึงถึงรัฐธรรมนูญที่ให้เสรีภาพไว้ เรามีหลักกฎเกณฑ์ที่ดีพอสมควร
ข้าพเจ้าหวังว่าคนไทยทั้งชาติ ไม่ว่าศาสนา ประเพณีอันใด เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ ขอให้คนไทยทุกคนได้สำนึกว่า เราเกิดมาในแผ่นดินอันดีงาม ซึ่งในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ถ้าเราไปเกิดในแผ่นดินที่แห้งแล้ง มีแต่ทะเลทรายจะเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงให้เราเกิดในแผ่นดินซึ่งไม้งาม แผ่นดินดี น้ำดี มีอาหารการกินสมบูรณ์ดี เราตั้งใจประกอบสัมมาอาชีวะ เคารพศาสนา เคารพกฎหมาย เราก็อยู่ได้อย่างสุขสบาย ขอให้ทุกคนมีความสงบสุข และเจริญโดยทั่วกัน
ในโอกาสนี้ผมขอถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นพระประมุข และทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก และขอถวายพระพรแด่องค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวาระที่พระองค์ทรงครบ 6 รอบ 72 พรรษา และขอถวายพระพรแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และทุกพระองค์ ที่ได้ทรงทำหน้าที่เพื่อชาติมาตลอดเวลา เราจึงอยู่ในประเทศที่ร่มเย็นที่มีระเบียบ มีกฎหมายมีพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ ขอให้เราภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-