คำต่อคำปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ในวันครบรอบ 61 ปีพรรคประชาธิปัตย์
วันศุกร์ที่ 6 เมษายน 2550
ท่านประธานสภาที่ปรึกษา พี่น้องชาวประชาธิปัตย์ที่เคารพรักทุกท่าน เป็นประเพณีของพรรคทุกปีนะครับที่เราจะมีการจัดงานทำบุญประกอบพิธีทางศาสนา ในโอกาสที่ครบรอบวันก่อตั้งพรรค ซึ่งปีนี้ก็เป็นการครบรอบ 61 ปี ก้าวเข้าสู่ปีที่ 62 และก็เป็นธรรมดาเช่นเดียวกันที่เมื่อมีการประกอบพิธีเรียบร้อย ก็จะต้องมีการพบปะพูดคุยกันระหว่างผู้บริหารพรรค กับสมาชิกของพรรค ผมต้องขอกราบขอบพระคุณบรรดาสมาชิกทุกท่านที่ได้มาร่วมงานในวันนี้และก็เป็นการยืนยันถึงความแน่นแฟ้นที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เรามีความผูกพันต่อกัน และมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ภารกิจของเราต่อไป
ผมเองก็ถูกถามเรื่องยุบพรรคเยอะครับ แต่ว่าคิดว่าคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกล่าวอะไรเพิ่มเติมเพราะว่าท่านประธานที่ปรึกษาและท่านอดีตหัวหน้าซึ่งได้กรุณารับทำหน้าที่เตรียมคดีและเป็นหัวหน้าคณะผู้ว่าคดีได้กล่าวไปมาแล้ว ผมก็เรียนว่าผมเสียดายอย่างเดียวคือ ท่านประธานที่ปรึกษาไม่สเก็ตช์รูปผม ที่ไม่ สเก็ตช์เพราะว่าสเก็ตช์ไม่ได้เนื่องจากต้องเป็นผู้ซักผมในศาล แต่ว่าก็ถือว่าในชีวิตนี้ถ้าสามารถผ่านการตอบกระทู้นายชวน หลีกภัยได้ ผมว่าอนาคตทางการเมืองไม่มีปัญหาหรอกครับ (เสียงปรบมือ)
ก็ขออนุญาตอีกครั้งหนึ่งกราบขอบพระคุณท่านหัวหน้าบัญญัติที่เป็นผู้เตรียมคดีทั้งหมด แล้วก็คณะทำงานภายใต้การนำของท่านประธานสภาที่ปรึกษา ปรบมือดัง ๆ อีกครั้งหนึ่งครับจะได้เป็นส่วนลดค่าทนายไปอีก (เสียงปรบมือ)
วันนี้นอกจากที่เราจะได้พูดคุยกันตรงนี้ แล้วก็มีพิธีทางศาสนา และก็มีนิทรรศการซึ่งอีกสักครู่ก็จะไปเปิดนะครับในเรื่องของการยุบพรรค ท่านคงสังเกตว่าวันนี้มีหนังสือมาขายเยอะ มีหนังสือที่ท่านประธานที่ปรึกษาได้แสดงให้เห็นไปแล้วก็คือว่าเป็นคำให้การของผม ท่านเลขาธิการพรรค รวม 3 เล่ม ซึ่งเราจะจำหน่าย 3 เล่ม 100 บาท เพื่อที่จะนำเงินเข้ามาเพื่ออุดหนุนพรรค ผมมีหนังสือที่เพิ่งเขียนเสร็จคือ “เขียนรัฐธรรมนูญอย่างไร ไม่ถูกฉีก” วันนี้ก็ขอทางสำนักพิมพ์เขามาส่วนหนึ่ง แล้วก็รายได้ส่วนหนึ่ง และก็รายได้ทั้งหมดก็จะส่งมอบให้กับพรรคเช่นเดียวกัน
พอดีตอนนี้ตอนนี้มีผู้แทนจากพรรคชาติไทยนะครับ มาร่วมแสดงความยินดี ต้อนรับซักนิดนะครับ (เสียงปรบมือ) ผมกำลังจะบอกว่านำโดยท่านรองหัวหน้าพรรค สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แต่โฆษกฯ อาคม บอกว่าให้บอกว่า “น้องแบม” มา ก็มาทั้ง 2 ท่านนะครับ รวมทั้งคุณสรศักดิ์ เกษม ด้วยนะครับ ก็ต้องขอขอบคุณในไมตรีที่ทางพรรคชาติไทยมอบให้ ที่ผมพูดเรื่องหนังสือมีนิดเดียวครับ คือบังเอิญคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ชอบไปเดินสัปดาห์หนังสือแห่งชาติปีนี้ก็ไปเดินแล้วก็ไปร้านหนังสือเก่าไปได้หนังสือเก่ามาเล่มหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมมีความรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก อยู่ในมือผมนี่ครับ อุตส่าห์ไปหาหนังสือซึ่งพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2511 ชื่อ “ชุมนุมวรรณคดีทางการเมือง” โดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แต่ว่าที่สำคัญไปกว่านั้นคือบนหน้าปกเขียนว่าอย่างนี้ครับ “พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีทุน ไม่มีอำนาจ เราช่วยกันหาทุนให้เพื่อผนึกกำลังให้อำนาจอธิปไตยของปวงชน จัดพิมพ์เพื่อหาทุนให้พรรคประชาธิปัตย์” ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช 2511 (เสียงปรบมือ) ก็เลยต้องย้ำว่าอุดมการณ์ไม่เคยเปลี่ยน (เสียงปรบมือ) เราอยู่ของเรามาในฐานะพรรคการเมืองซึ่งต่อสู้เพื่ออำนาจอธิปไตยของปวงชนตามวิถีอันบริสุทธิ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ก่อตั้งพรรคได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 คือปีที่มีการก่อตั้ง
ผมอยากจะเรียนกับพวกเราทุกคนครับว่า เราอาจจะมีความวิตกกังวล สนใจอยู่กับเรื่องของคดีแต่วันนี้ฟังท่านผู้ว่าคดีแล้วก็คิดว่าเราคงจะมีความสบายใจ เราอาจจะคิดถึงเรื่องของปัญหาของบ้านเมืองในเรื่องรัฐธรรมนูญในเรื่องการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นหรือไม่ในเดือนธันวาคมก็สุดแล้วแต่ แต่สิ่งที่ผมอยากจะย้ำพี่น้องชาวประชาธิปัตย์วันนี้ก็คือว่า ภารกิจของเราในฐานะพรรคการเมือง มีอะไรที่สำคัญและยิ่งใหญ่กว่าประเด็นเหล่านี้มากครับ ถ้าถามผมวันนี้คดีผ่านพ้นไปก็คงจะเป็นปลายเดือนพฤษภาคม ผมก็รับนโยบายจากท่านประธานที่ปรึกษาว่าไม่ให้พูดว่า “ชนะแน่” แต่ว่าผมบอกได้อย่างเดียวว่าหลังเดือนพฤษภาคม อย่างไรคำว่าประชาธิปัตย์มีต่อไปและทำงานเพื่อประชาชนต่อไปแน่นอน (เสียงปรบมือ)
ผมย้ำสิ่งนี้และก็อยากจะบอกต่อว่า เรามีความเห็นเรื่องรัฐธรรมนูญซึ่งไม่แน่ใจว่าทาง สสร. หรือผู้เกี่ยวข้องจะรับข้อเสนอเราไปมากน้อยแค่ไหนอย่างไรก็ตาม และเราจะแน่ใจหรือไม่ว่าจะผ่านประชามติหรืออย่างไรก็ตาม ผมมีความเชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่าบ้านเมืองในยุคนี้ หนีประชาธิปไตยไม่พ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในช่วงกี่เดือนข้างหน้าก็ตาม ผมยังมั่นใจว่า ปีหน้าบ้านเมืองเรากลับเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตย เราต้องมั่นใจตรงนี้ครับ และผมเชื่อว่าใครที่คิดหรืออยากจะทำเป็นอย่างอื่นไม่มีทางประสบความสำเร็จ วันนี้บ้านเมืองของเราประเทศของเราเดินมาไกลเกินกว่าที่จะเลือกเส้นทางอื่นแต่ต้องยึดมั่นในเส้นทางประชาธิปไตย ฉะนั้นวันนี้สิ่งที่ผมอยากจะกราบเรียนกับเพื่อนสมาชิกทุกคนก็คือว่า อย่ากังวลจนเกินไปกับเหตุการณ์เฉพาะหน้า วันนี้เรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าและควรจะอยู่ในหัวใจของพวกเราทุกคน คือปัญหาของประเทศชาติ ประชาชน ซึ่งจะมีต่อไปเกินสิ้นปีนี้
บ้านเมืองบอบช้ำมากครับ เราเผชิญกับวิกฤติ เผด็จการในคราบประชาธิปไตยมาหลายปี เราต้องมาเผชิญกับการเมืองหลังรัฐประหารอยู่ก็คงประมาณ 1 ปี ปัญหาวันนี้มันจึงไม่ใช่เรื่องที่จะมาถกเถียงกันแค่ว่ารัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติหรือไม่ แต่พื้นฐานของสังคมความเป็นอยู่ของประชาชนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมาก เรื่องนี้ผมอยากให้เป็นเรื่องที่อยู่ในหัวใจของชาวประชาธิปัตย์ทุกคน และนี่คือเหตุผลหลักที่ผมเรียกร้องว่าคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 15 กับฉบับที่ 27 ถึงเวลาแล้วที่คณะรัฐมนตรีควรจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาทบทวน ผมย้ำว่าคณะรัฐมนตรีและย้ำว่าพิจารณาทบทวนเพราะผมถูกถามตลอดเวลาว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไปขออนุญาต คมช. ทำกิจกรรมอะไรไหม ผมก็ต้องบอกกับพี่น้องตรงไปตรงมาว่า ผมไม่รู้จะไปขออนุญาตคมช.ได้อย่างไร คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองฯ เป็นกฎหมายครับ เมื่อเป็นกฎหมายเขียนว่า “ห้ามพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมใด ๆ ในทางการเมือง เว้นแต่คณะรัฐมนตรี หรือจนกว่าคณะรัฐมนตรี จะมีมติเป็นอย่างอื่น” นั่นคือกฎหมาย คมช. ก็ไม่มีอำนาจจะไปอนุญาตใครให้ทำผิดกฎหมายได้ครับ คนขอถ้า คมช. อนุญาต ผิดทั้งคนขอ ผิดทั้งคนให้ เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจ คมช. ที่จะไปยกเว้นกฎหมายให้กับใคร มีกรณีเดียวคือคณะรัฐมนตรีไม่ใช่อนุญาตครับ แต่มีมติเป็นอย่างอื่นนอกเหนือไปจากประกาศเช่น ยกเลิกหรือปรับปรุงแก้ไขว่า ต่อไปนี้ทำกิจกรรมเหล่านี้ได้ ต่อไปนี้ทำกิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้ บ้านเมืองเราต้องปกครองด้วยระบบนิติรัฐ ข้อกฎหมายเป็นอย่างนี้ ที่ผมเรียกร้องต่อ คปค. ที่จะให้ทบทวนคำสั่ง คปค.นั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องหาเสียงเลยครับ เพราะผมก็รู้ว่าการเลือกตั้งอย่างไรเสียก็คงจะเป็นปลายปีเป็นอย่างเร็ว ระยะเวลาจากวันนี้ไปถึงปลายปีมันนานเกินกว่าเรื่องการหาเสียง แต่ผมอยากจะบอกว่าสำหรับพวกเราประชาธิปัตย์ เรานักการเมืองครับไม่ใช่นักเลือกตั้ง (เสียงปรบมือ)
นักการเมืองมีภาระหน้าที่สำคัญกว่าการเลือกตั้งมากมาย และสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์เชื่อมาตลอดก็คือบ้านเมืองต้องบริหารจัดการด้วยการเมืองมืออาชีพ (เสียงปรบมือ) ประสบการณ์ในช่วง 4 — 5 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วครับ พิสูจน์แล้วว่าเอานักการเมืองสมัครเล่นที่รู้จักแต่เรื่องของกำไรขาดทุนมาบริหารบ้านเมือง เกิดวิกฤต พิสูจน์แล้วว่าแม้จะมีผู้ตั้งใจดีมีประสบการณ์ในการบริหารราชการมาบริหารบ้านเมือง ปัญหาต่าง ๆ ก็แก้ไขได้ยาก การบริหารบ้านเมืองเป็นทักษะเฉพาะ และประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกเขาใช้นักการเมืองมืออาชีพ (เสียงปรบมือ) นักการเมืองมืออาชีพไม่ได้คิดแต่ว่าทำอย่างไรไปทำการตลาดชนะการเลือกตั้ง แล้วไปมีอำนาจ นักการเมืองมืออาชีพคือคนที่ต้องสัมผัสกับประชาชนตลอดเวลา แล้วหาคำตอบให้กับประเทศชาติว่า จะเดินไปในทางทิศไหนทางใดเพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชน นักการเมืองมืออาชีพจะรู้ว่าปัญหาของประเทศไม่เคยหมด และไม่อาจแก้ไขได้โดยความคิดของคน ๆ เดียวหรือคนหยิบมือเดียว แต่การแก้ไขปัญหาทุกปัญหาต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องประชาชนโดยอาศัยกระบวนการของประชาธิปไตยเป็นพื้นฐาน
วันนี้เราถูกห้ามไม่ให้ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ทางเมือง พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีแนวคิดที่จะไปทำอะไรผิดกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์แม้ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่มีแนวคิดที่จะสร้างปัญหาเพิ่มเติมให้กับบ้านเมืองด้วยการสร้างความวุ่นวาย แต่จะประคับประคองให้บ้านเมืองกลับไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยเร็วด้วยความราบรื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ การพบปะพูดคุยกับประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่ผมและสมาชิกพรรคจะทำครับ และได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ขอเรียนกับสมาชิกว่าเป็นสิ่งที่ผมอยากให้พวกเราทุกคนได้ทำในเรื่องหลัก ๆ ของประเทศ เรื่องแรกที่ผมขอฝากว่าอย่างไรเราทิ้งหน้าที่ไม่ได้คือปัญหาของพี่น้องใน 3 จังหวัดภาคใต้ เราสูญเสียคนของเราทุกวันหรือเกือบทุกวัน ผมไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ยอดผู้เสียชีวิตจะแซงสงครามอิรัก ถ้าเราปล่อยปละสถานการณ์เป็นอย่างนี้ แล้วที่พูดนี้ไม่ตำหนินโยบายของรัฐบาลเลยครับ ที่พูดเรื่องสมานฉันท์ ที่ต้องการแก้นโยบายที่ผิดพลาดรัฐบาลที่แล้วเรื่องความรุนแรง แต่สิ่งทีเห็นสิ่งที่สัมผัสก็คือว่า นโยบายนี้ยังไม่สามารถเป็นจริงในทางปฏิบัติเพราะนโยบายนี้ขาดกระบวนการของการซักซ้อมทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติในพื้นที่ ประชาชนในพื้นที่ และประชาชนนอกพื้นที่ หลายคนไม่เข้าใจ สมานฉันท์คืออะไร สมานฉันท์คือไม่จับคนทำความผิดหรือเปล่า สมานฉันท์คือถ้าเขาไปล้อมโรงพักต้องปล่อยผู้ต้องหาหรือเปล่า สมานฉันท์คือเกียร์ว่างหรือเปล่า เราปล่อยอย่างนี้ไปไม่ได้ครับ ผมยืนยันว่า คนของเราในพื้นที่ยังทำหน้าที่ในการรับฟังข้อมูลต่าง ๆ แล้วรายงานมาให้ผมทราบ แล้วก็มีการปรึกษาหารือกันเป็นการภายใน สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดถ้าเขายกเลิกคำสั่งคือ เราไปอย่างเป็นทางการในฐานะพรรคการเมืองไปรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องใน 3 จังหวัดภาคใต้ ผมไม่เข้าใจว่ากิจกรรมเช่นนี้จะไปกระทบต่อความมั่นคงของประเทศได้อย่างไร มีแต่จะเสริมสร้างความมั่นคงโดยนักการเมืองมืออาชีพที่พร้อมทำงาน แม้ไม่มีตำแหน่งครับ (เสียงปรบมือ)
ประการถัดมา ผมอยากจะกราบเรียนว่า คณะรัฐประหารชุดนี้เรียกชื่อตัวเองว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถ้าบอกผมว่า เมื่อคณะชุดนี้จะพ้นไปปลายปีนี้โดยมีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง ผมถามว่าเราปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือยัง ผมยังไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงครับ ผมไม่ต้องการมีการเลือกตั้งปลายปีนี้เพียงเพราะมันเป็นการเลือกตั้งและพรรคการเมืองได้ลงไปสมัคร พวกผมได้กลับไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผมต้องการเห็นการเลือกตั้งปลายปีนี้ เป็นการเลือกตั้งที่สุจริต เที่ยงธรรม เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนในวิถีทางประชาธิปไตยที่แท้จริง ผ่านมา 6 เดือนยังไม่มีการรณรงค์เลยเรื่องการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม ผ่านมา 6 เดือนมีอะไรบ้างที่เป็นหลักประกันให้สื่อสารมวลชน มีหลักประกันอะไรบ้างให้ข้าราชการที่ดี ที่จะประคับประคองให้ประชาธิปไตยตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไปจะยั่งยืนกว่าในอดีต ผมอยากเข้าไปทำของพวกนี้ครับ ระดมความคิดไปเข้าหาวงการสื่อสารมวลชน แวดวงข้าราชการ เพื่อที่จะให้ธรรมาภิบาล และสิ่งที่จะรองรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเกิดขึ้นแบบยั่งยืน ไม่มีเรื่องหาเสียง แล้วถ้าเราดูปัญหาเศรษฐกิจ สังคม ในปัจจุบัน หนักหนาสาหัสมาก ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะที่เป็นเรื่องเฉพาะหน้า ถกเถียงกันทุกวัน มาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย จะลดดอกเบี้ยหรือไม่ จะกระทบเศรษฐกิจอย่างไร สิ่งเหล่านี้ก็ต้องทำครับ แต่ผมมองไปไกลกว่านั้นว่า บ้านเมืองเราเสียโอกาสทางเศรษฐกิจมาหลายปีแล้ว เพราะไม่ลงทุนเรื่องคน เพราะไม่ลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน วันนี้เราก็อยากไปพบปะกับผู้ประกอบการ อยากไปพบปะกับเกษตรกร อยากไปพบปะกับพี่น้องประชาชนว่า อะไรที่จะทำให้เขามีโอกาสในการมีอาชีพมีรายได้ตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียง และนำพาประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ไม่มีเรื่องหาเสียง
วันนี้ผมอยากให้เราหวนมาดูปัญหาของสังคม ซึ่งมีอะไรอีกหลายเรื่องมากไปกว่าการพูดโดยผิวเผินเรื่องวัฒนธรรมไทย เรื่องมารยาท หรือเรื่องที่เป็นเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาเป็นครั้งเป็นคราว แต่เราได้ทราบบ้างหรือเปล่าว่า เราปล่อยปละสังคมจนขณะนี้ลูกหลานของเราพออายุถึงเพียง 6 ขวบ ไอคิวก็ต่ำกว่าชาวโลกโดยเฉลี่ยไปแล้ว เพราะการดูแลเลี้ยงดูเด็กเล็กถูกทอดทิ้ง พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงลูกแล้ว เราไม่ได้สนับสนุนส่งเสริมให้เด็กเล็ก ๆ ของเรามีโภชนาการที่ถูกต้อง นี่ต่างหากเป็นสิ่งที่เป็นภารกิจของนักการเมืองและพรรคการเมืองซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับว่าเป็นฤดูกาลของการเลือกตั้งหรือไม่
ผมกราบเรียนว่าขณะนี้เราทำเป็นการภายในคือรวบรวมสิ่งเหล่านี้ไว้เป็นข้อมูล มีอีกหลายเรื่องที่ตั้งเป็นประเด็นไว้ ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม ทั้งเรื่องของปัญหาเกี่ยวกับสวัสดิการของประชาชน แต่ว่าวันนี้เราทำได้เพียงเท่านี้ แต่เราตั้งใจว่าหลังสงกรานต์ เราคงจะขอให้สมาชิกไปทำกิจกรรมทางวิชาการ เพื่อทำให้การทำงานทางการเมืองของเราเป็นไปอย่างสมบูรณ์ที่สุดเพื่อประโยชน์ของประชาชน ส่วนเลือกตั้งเป็นเรื่องรองครับ จะเลือกตั้งเมื่อไหร่ จะเขตใหญ่ เขตเล็ก จะมีบัญชีรายชื่อหรือไม่ ตราบเท่าที่การเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตย มีความเป็นธรรม ผมรับรองได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เกี่ยงหรอกครับ พร้อมลงสู่สนามเลือกตั้งแน่นอน (เสียงปรบมือ)
ฉะนั้นสิ่งที่ผมอยากจะกราบเรียนสุดท้ายนี้ก็คือว่า วันนี้เราก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 62 แล้วก็จะต้องมีปีที่ 63 — 64 — 65 อีกยาวนาน งานของเราไม่มีวันเสร็จ และงานของเราก็หยุดไม่ได้ ไม่ว่าสถานการณ์การเมืองเป็นอย่างไร สิ่งที่ผมได้กราบเรียนกับเพื่อนสมาชิกพรรคในวันนี้ขอให้ท่านถือเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด และขอให้ท่านได้เดินหน้าในการพบปะคลุกคลีกับประชาชนไม่ใช่เรื่องของการเมืองหรือการเลือกตั้ง แต่ต้องทำความเข้าใจ ต้องรับฟัง ต้องชี้แจง ต้องแลกเปลี่ยนเพื่อที่ว่าเมื่อเราก้าวเข้าสู่ปี 2551 ประเทศไทยของเราจะได้ตั้งหลักบนความมั่นคงแล้วเดินไปข้างหน้า ประวัติศาสตร์ 61 ปีของพรรค วิกฤตของประเทศมักจะถูกส่งต่อมายังสู่มือของประชาธิปัตย์เพื่อคลี่คลาย พรรคเราต้องมีความพร้อมเสมอที่จะรับภาระที่หนักหน่วงอันนี้ แต่ถ้าเรายึดมั่นอุดมการณ์ สืบสานสิ่งที่คนรุ่นก่อนได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง ผมมีความมั่นใจว่าเพื่อสมาชิกที่นี่จะร่วมกับผมคณะผู้บริหาร คณะกรรมการบริหาร และบุคลากรทุกคนของพรรคในการนำพาประเทศชาติบ้านเมืองให้พ้นจากฝันร้าย ให้พ้นจากวิกฤตไปสู่วันใหม่ที่พวกเราทุกคนนั้นจะมีทั้งความเข้มแข็ง และความหวังสำหรับคนไทยทั้งประเทศครับ กราบขอบพระคุณครับ สวัสดีครับ.
*******************************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 เม.ย. 2550--จบ--
ในวันครบรอบ 61 ปีพรรคประชาธิปัตย์
วันศุกร์ที่ 6 เมษายน 2550
ท่านประธานสภาที่ปรึกษา พี่น้องชาวประชาธิปัตย์ที่เคารพรักทุกท่าน เป็นประเพณีของพรรคทุกปีนะครับที่เราจะมีการจัดงานทำบุญประกอบพิธีทางศาสนา ในโอกาสที่ครบรอบวันก่อตั้งพรรค ซึ่งปีนี้ก็เป็นการครบรอบ 61 ปี ก้าวเข้าสู่ปีที่ 62 และก็เป็นธรรมดาเช่นเดียวกันที่เมื่อมีการประกอบพิธีเรียบร้อย ก็จะต้องมีการพบปะพูดคุยกันระหว่างผู้บริหารพรรค กับสมาชิกของพรรค ผมต้องขอกราบขอบพระคุณบรรดาสมาชิกทุกท่านที่ได้มาร่วมงานในวันนี้และก็เป็นการยืนยันถึงความแน่นแฟ้นที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เรามีความผูกพันต่อกัน และมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ภารกิจของเราต่อไป
ผมเองก็ถูกถามเรื่องยุบพรรคเยอะครับ แต่ว่าคิดว่าคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกล่าวอะไรเพิ่มเติมเพราะว่าท่านประธานที่ปรึกษาและท่านอดีตหัวหน้าซึ่งได้กรุณารับทำหน้าที่เตรียมคดีและเป็นหัวหน้าคณะผู้ว่าคดีได้กล่าวไปมาแล้ว ผมก็เรียนว่าผมเสียดายอย่างเดียวคือ ท่านประธานที่ปรึกษาไม่สเก็ตช์รูปผม ที่ไม่ สเก็ตช์เพราะว่าสเก็ตช์ไม่ได้เนื่องจากต้องเป็นผู้ซักผมในศาล แต่ว่าก็ถือว่าในชีวิตนี้ถ้าสามารถผ่านการตอบกระทู้นายชวน หลีกภัยได้ ผมว่าอนาคตทางการเมืองไม่มีปัญหาหรอกครับ (เสียงปรบมือ)
ก็ขออนุญาตอีกครั้งหนึ่งกราบขอบพระคุณท่านหัวหน้าบัญญัติที่เป็นผู้เตรียมคดีทั้งหมด แล้วก็คณะทำงานภายใต้การนำของท่านประธานสภาที่ปรึกษา ปรบมือดัง ๆ อีกครั้งหนึ่งครับจะได้เป็นส่วนลดค่าทนายไปอีก (เสียงปรบมือ)
วันนี้นอกจากที่เราจะได้พูดคุยกันตรงนี้ แล้วก็มีพิธีทางศาสนา และก็มีนิทรรศการซึ่งอีกสักครู่ก็จะไปเปิดนะครับในเรื่องของการยุบพรรค ท่านคงสังเกตว่าวันนี้มีหนังสือมาขายเยอะ มีหนังสือที่ท่านประธานที่ปรึกษาได้แสดงให้เห็นไปแล้วก็คือว่าเป็นคำให้การของผม ท่านเลขาธิการพรรค รวม 3 เล่ม ซึ่งเราจะจำหน่าย 3 เล่ม 100 บาท เพื่อที่จะนำเงินเข้ามาเพื่ออุดหนุนพรรค ผมมีหนังสือที่เพิ่งเขียนเสร็จคือ “เขียนรัฐธรรมนูญอย่างไร ไม่ถูกฉีก” วันนี้ก็ขอทางสำนักพิมพ์เขามาส่วนหนึ่ง แล้วก็รายได้ส่วนหนึ่ง และก็รายได้ทั้งหมดก็จะส่งมอบให้กับพรรคเช่นเดียวกัน
พอดีตอนนี้ตอนนี้มีผู้แทนจากพรรคชาติไทยนะครับ มาร่วมแสดงความยินดี ต้อนรับซักนิดนะครับ (เสียงปรบมือ) ผมกำลังจะบอกว่านำโดยท่านรองหัวหน้าพรรค สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แต่โฆษกฯ อาคม บอกว่าให้บอกว่า “น้องแบม” มา ก็มาทั้ง 2 ท่านนะครับ รวมทั้งคุณสรศักดิ์ เกษม ด้วยนะครับ ก็ต้องขอขอบคุณในไมตรีที่ทางพรรคชาติไทยมอบให้ ที่ผมพูดเรื่องหนังสือมีนิดเดียวครับ คือบังเอิญคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ชอบไปเดินสัปดาห์หนังสือแห่งชาติปีนี้ก็ไปเดินแล้วก็ไปร้านหนังสือเก่าไปได้หนังสือเก่ามาเล่มหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมมีความรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก อยู่ในมือผมนี่ครับ อุตส่าห์ไปหาหนังสือซึ่งพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2511 ชื่อ “ชุมนุมวรรณคดีทางการเมือง” โดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แต่ว่าที่สำคัญไปกว่านั้นคือบนหน้าปกเขียนว่าอย่างนี้ครับ “พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีทุน ไม่มีอำนาจ เราช่วยกันหาทุนให้เพื่อผนึกกำลังให้อำนาจอธิปไตยของปวงชน จัดพิมพ์เพื่อหาทุนให้พรรคประชาธิปัตย์” ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช 2511 (เสียงปรบมือ) ก็เลยต้องย้ำว่าอุดมการณ์ไม่เคยเปลี่ยน (เสียงปรบมือ) เราอยู่ของเรามาในฐานะพรรคการเมืองซึ่งต่อสู้เพื่ออำนาจอธิปไตยของปวงชนตามวิถีอันบริสุทธิ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ก่อตั้งพรรคได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 คือปีที่มีการก่อตั้ง
ผมอยากจะเรียนกับพวกเราทุกคนครับว่า เราอาจจะมีความวิตกกังวล สนใจอยู่กับเรื่องของคดีแต่วันนี้ฟังท่านผู้ว่าคดีแล้วก็คิดว่าเราคงจะมีความสบายใจ เราอาจจะคิดถึงเรื่องของปัญหาของบ้านเมืองในเรื่องรัฐธรรมนูญในเรื่องการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นหรือไม่ในเดือนธันวาคมก็สุดแล้วแต่ แต่สิ่งที่ผมอยากจะย้ำพี่น้องชาวประชาธิปัตย์วันนี้ก็คือว่า ภารกิจของเราในฐานะพรรคการเมือง มีอะไรที่สำคัญและยิ่งใหญ่กว่าประเด็นเหล่านี้มากครับ ถ้าถามผมวันนี้คดีผ่านพ้นไปก็คงจะเป็นปลายเดือนพฤษภาคม ผมก็รับนโยบายจากท่านประธานที่ปรึกษาว่าไม่ให้พูดว่า “ชนะแน่” แต่ว่าผมบอกได้อย่างเดียวว่าหลังเดือนพฤษภาคม อย่างไรคำว่าประชาธิปัตย์มีต่อไปและทำงานเพื่อประชาชนต่อไปแน่นอน (เสียงปรบมือ)
ผมย้ำสิ่งนี้และก็อยากจะบอกต่อว่า เรามีความเห็นเรื่องรัฐธรรมนูญซึ่งไม่แน่ใจว่าทาง สสร. หรือผู้เกี่ยวข้องจะรับข้อเสนอเราไปมากน้อยแค่ไหนอย่างไรก็ตาม และเราจะแน่ใจหรือไม่ว่าจะผ่านประชามติหรืออย่างไรก็ตาม ผมมีความเชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่าบ้านเมืองในยุคนี้ หนีประชาธิปไตยไม่พ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในช่วงกี่เดือนข้างหน้าก็ตาม ผมยังมั่นใจว่า ปีหน้าบ้านเมืองเรากลับเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตย เราต้องมั่นใจตรงนี้ครับ และผมเชื่อว่าใครที่คิดหรืออยากจะทำเป็นอย่างอื่นไม่มีทางประสบความสำเร็จ วันนี้บ้านเมืองของเราประเทศของเราเดินมาไกลเกินกว่าที่จะเลือกเส้นทางอื่นแต่ต้องยึดมั่นในเส้นทางประชาธิปไตย ฉะนั้นวันนี้สิ่งที่ผมอยากจะกราบเรียนกับเพื่อนสมาชิกทุกคนก็คือว่า อย่ากังวลจนเกินไปกับเหตุการณ์เฉพาะหน้า วันนี้เรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าและควรจะอยู่ในหัวใจของพวกเราทุกคน คือปัญหาของประเทศชาติ ประชาชน ซึ่งจะมีต่อไปเกินสิ้นปีนี้
บ้านเมืองบอบช้ำมากครับ เราเผชิญกับวิกฤติ เผด็จการในคราบประชาธิปไตยมาหลายปี เราต้องมาเผชิญกับการเมืองหลังรัฐประหารอยู่ก็คงประมาณ 1 ปี ปัญหาวันนี้มันจึงไม่ใช่เรื่องที่จะมาถกเถียงกันแค่ว่ารัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติหรือไม่ แต่พื้นฐานของสังคมความเป็นอยู่ของประชาชนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมาก เรื่องนี้ผมอยากให้เป็นเรื่องที่อยู่ในหัวใจของชาวประชาธิปัตย์ทุกคน และนี่คือเหตุผลหลักที่ผมเรียกร้องว่าคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 15 กับฉบับที่ 27 ถึงเวลาแล้วที่คณะรัฐมนตรีควรจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาทบทวน ผมย้ำว่าคณะรัฐมนตรีและย้ำว่าพิจารณาทบทวนเพราะผมถูกถามตลอดเวลาว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไปขออนุญาต คมช. ทำกิจกรรมอะไรไหม ผมก็ต้องบอกกับพี่น้องตรงไปตรงมาว่า ผมไม่รู้จะไปขออนุญาตคมช.ได้อย่างไร คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองฯ เป็นกฎหมายครับ เมื่อเป็นกฎหมายเขียนว่า “ห้ามพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมใด ๆ ในทางการเมือง เว้นแต่คณะรัฐมนตรี หรือจนกว่าคณะรัฐมนตรี จะมีมติเป็นอย่างอื่น” นั่นคือกฎหมาย คมช. ก็ไม่มีอำนาจจะไปอนุญาตใครให้ทำผิดกฎหมายได้ครับ คนขอถ้า คมช. อนุญาต ผิดทั้งคนขอ ผิดทั้งคนให้ เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจ คมช. ที่จะไปยกเว้นกฎหมายให้กับใคร มีกรณีเดียวคือคณะรัฐมนตรีไม่ใช่อนุญาตครับ แต่มีมติเป็นอย่างอื่นนอกเหนือไปจากประกาศเช่น ยกเลิกหรือปรับปรุงแก้ไขว่า ต่อไปนี้ทำกิจกรรมเหล่านี้ได้ ต่อไปนี้ทำกิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้ บ้านเมืองเราต้องปกครองด้วยระบบนิติรัฐ ข้อกฎหมายเป็นอย่างนี้ ที่ผมเรียกร้องต่อ คปค. ที่จะให้ทบทวนคำสั่ง คปค.นั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องหาเสียงเลยครับ เพราะผมก็รู้ว่าการเลือกตั้งอย่างไรเสียก็คงจะเป็นปลายปีเป็นอย่างเร็ว ระยะเวลาจากวันนี้ไปถึงปลายปีมันนานเกินกว่าเรื่องการหาเสียง แต่ผมอยากจะบอกว่าสำหรับพวกเราประชาธิปัตย์ เรานักการเมืองครับไม่ใช่นักเลือกตั้ง (เสียงปรบมือ)
นักการเมืองมีภาระหน้าที่สำคัญกว่าการเลือกตั้งมากมาย และสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์เชื่อมาตลอดก็คือบ้านเมืองต้องบริหารจัดการด้วยการเมืองมืออาชีพ (เสียงปรบมือ) ประสบการณ์ในช่วง 4 — 5 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วครับ พิสูจน์แล้วว่าเอานักการเมืองสมัครเล่นที่รู้จักแต่เรื่องของกำไรขาดทุนมาบริหารบ้านเมือง เกิดวิกฤต พิสูจน์แล้วว่าแม้จะมีผู้ตั้งใจดีมีประสบการณ์ในการบริหารราชการมาบริหารบ้านเมือง ปัญหาต่าง ๆ ก็แก้ไขได้ยาก การบริหารบ้านเมืองเป็นทักษะเฉพาะ และประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกเขาใช้นักการเมืองมืออาชีพ (เสียงปรบมือ) นักการเมืองมืออาชีพไม่ได้คิดแต่ว่าทำอย่างไรไปทำการตลาดชนะการเลือกตั้ง แล้วไปมีอำนาจ นักการเมืองมืออาชีพคือคนที่ต้องสัมผัสกับประชาชนตลอดเวลา แล้วหาคำตอบให้กับประเทศชาติว่า จะเดินไปในทางทิศไหนทางใดเพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชน นักการเมืองมืออาชีพจะรู้ว่าปัญหาของประเทศไม่เคยหมด และไม่อาจแก้ไขได้โดยความคิดของคน ๆ เดียวหรือคนหยิบมือเดียว แต่การแก้ไขปัญหาทุกปัญหาต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องประชาชนโดยอาศัยกระบวนการของประชาธิปไตยเป็นพื้นฐาน
วันนี้เราถูกห้ามไม่ให้ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ทางเมือง พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีแนวคิดที่จะไปทำอะไรผิดกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์แม้ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่มีแนวคิดที่จะสร้างปัญหาเพิ่มเติมให้กับบ้านเมืองด้วยการสร้างความวุ่นวาย แต่จะประคับประคองให้บ้านเมืองกลับไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยเร็วด้วยความราบรื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ การพบปะพูดคุยกับประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่ผมและสมาชิกพรรคจะทำครับ และได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ขอเรียนกับสมาชิกว่าเป็นสิ่งที่ผมอยากให้พวกเราทุกคนได้ทำในเรื่องหลัก ๆ ของประเทศ เรื่องแรกที่ผมขอฝากว่าอย่างไรเราทิ้งหน้าที่ไม่ได้คือปัญหาของพี่น้องใน 3 จังหวัดภาคใต้ เราสูญเสียคนของเราทุกวันหรือเกือบทุกวัน ผมไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ยอดผู้เสียชีวิตจะแซงสงครามอิรัก ถ้าเราปล่อยปละสถานการณ์เป็นอย่างนี้ แล้วที่พูดนี้ไม่ตำหนินโยบายของรัฐบาลเลยครับ ที่พูดเรื่องสมานฉันท์ ที่ต้องการแก้นโยบายที่ผิดพลาดรัฐบาลที่แล้วเรื่องความรุนแรง แต่สิ่งทีเห็นสิ่งที่สัมผัสก็คือว่า นโยบายนี้ยังไม่สามารถเป็นจริงในทางปฏิบัติเพราะนโยบายนี้ขาดกระบวนการของการซักซ้อมทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติในพื้นที่ ประชาชนในพื้นที่ และประชาชนนอกพื้นที่ หลายคนไม่เข้าใจ สมานฉันท์คืออะไร สมานฉันท์คือไม่จับคนทำความผิดหรือเปล่า สมานฉันท์คือถ้าเขาไปล้อมโรงพักต้องปล่อยผู้ต้องหาหรือเปล่า สมานฉันท์คือเกียร์ว่างหรือเปล่า เราปล่อยอย่างนี้ไปไม่ได้ครับ ผมยืนยันว่า คนของเราในพื้นที่ยังทำหน้าที่ในการรับฟังข้อมูลต่าง ๆ แล้วรายงานมาให้ผมทราบ แล้วก็มีการปรึกษาหารือกันเป็นการภายใน สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดถ้าเขายกเลิกคำสั่งคือ เราไปอย่างเป็นทางการในฐานะพรรคการเมืองไปรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องใน 3 จังหวัดภาคใต้ ผมไม่เข้าใจว่ากิจกรรมเช่นนี้จะไปกระทบต่อความมั่นคงของประเทศได้อย่างไร มีแต่จะเสริมสร้างความมั่นคงโดยนักการเมืองมืออาชีพที่พร้อมทำงาน แม้ไม่มีตำแหน่งครับ (เสียงปรบมือ)
ประการถัดมา ผมอยากจะกราบเรียนว่า คณะรัฐประหารชุดนี้เรียกชื่อตัวเองว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถ้าบอกผมว่า เมื่อคณะชุดนี้จะพ้นไปปลายปีนี้โดยมีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง ผมถามว่าเราปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือยัง ผมยังไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงครับ ผมไม่ต้องการมีการเลือกตั้งปลายปีนี้เพียงเพราะมันเป็นการเลือกตั้งและพรรคการเมืองได้ลงไปสมัคร พวกผมได้กลับไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผมต้องการเห็นการเลือกตั้งปลายปีนี้ เป็นการเลือกตั้งที่สุจริต เที่ยงธรรม เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนในวิถีทางประชาธิปไตยที่แท้จริง ผ่านมา 6 เดือนยังไม่มีการรณรงค์เลยเรื่องการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม ผ่านมา 6 เดือนมีอะไรบ้างที่เป็นหลักประกันให้สื่อสารมวลชน มีหลักประกันอะไรบ้างให้ข้าราชการที่ดี ที่จะประคับประคองให้ประชาธิปไตยตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไปจะยั่งยืนกว่าในอดีต ผมอยากเข้าไปทำของพวกนี้ครับ ระดมความคิดไปเข้าหาวงการสื่อสารมวลชน แวดวงข้าราชการ เพื่อที่จะให้ธรรมาภิบาล และสิ่งที่จะรองรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเกิดขึ้นแบบยั่งยืน ไม่มีเรื่องหาเสียง แล้วถ้าเราดูปัญหาเศรษฐกิจ สังคม ในปัจจุบัน หนักหนาสาหัสมาก ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะที่เป็นเรื่องเฉพาะหน้า ถกเถียงกันทุกวัน มาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย จะลดดอกเบี้ยหรือไม่ จะกระทบเศรษฐกิจอย่างไร สิ่งเหล่านี้ก็ต้องทำครับ แต่ผมมองไปไกลกว่านั้นว่า บ้านเมืองเราเสียโอกาสทางเศรษฐกิจมาหลายปีแล้ว เพราะไม่ลงทุนเรื่องคน เพราะไม่ลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน วันนี้เราก็อยากไปพบปะกับผู้ประกอบการ อยากไปพบปะกับเกษตรกร อยากไปพบปะกับพี่น้องประชาชนว่า อะไรที่จะทำให้เขามีโอกาสในการมีอาชีพมีรายได้ตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียง และนำพาประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ไม่มีเรื่องหาเสียง
วันนี้ผมอยากให้เราหวนมาดูปัญหาของสังคม ซึ่งมีอะไรอีกหลายเรื่องมากไปกว่าการพูดโดยผิวเผินเรื่องวัฒนธรรมไทย เรื่องมารยาท หรือเรื่องที่เป็นเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาเป็นครั้งเป็นคราว แต่เราได้ทราบบ้างหรือเปล่าว่า เราปล่อยปละสังคมจนขณะนี้ลูกหลานของเราพออายุถึงเพียง 6 ขวบ ไอคิวก็ต่ำกว่าชาวโลกโดยเฉลี่ยไปแล้ว เพราะการดูแลเลี้ยงดูเด็กเล็กถูกทอดทิ้ง พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงลูกแล้ว เราไม่ได้สนับสนุนส่งเสริมให้เด็กเล็ก ๆ ของเรามีโภชนาการที่ถูกต้อง นี่ต่างหากเป็นสิ่งที่เป็นภารกิจของนักการเมืองและพรรคการเมืองซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับว่าเป็นฤดูกาลของการเลือกตั้งหรือไม่
ผมกราบเรียนว่าขณะนี้เราทำเป็นการภายในคือรวบรวมสิ่งเหล่านี้ไว้เป็นข้อมูล มีอีกหลายเรื่องที่ตั้งเป็นประเด็นไว้ ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม ทั้งเรื่องของปัญหาเกี่ยวกับสวัสดิการของประชาชน แต่ว่าวันนี้เราทำได้เพียงเท่านี้ แต่เราตั้งใจว่าหลังสงกรานต์ เราคงจะขอให้สมาชิกไปทำกิจกรรมทางวิชาการ เพื่อทำให้การทำงานทางการเมืองของเราเป็นไปอย่างสมบูรณ์ที่สุดเพื่อประโยชน์ของประชาชน ส่วนเลือกตั้งเป็นเรื่องรองครับ จะเลือกตั้งเมื่อไหร่ จะเขตใหญ่ เขตเล็ก จะมีบัญชีรายชื่อหรือไม่ ตราบเท่าที่การเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตย มีความเป็นธรรม ผมรับรองได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เกี่ยงหรอกครับ พร้อมลงสู่สนามเลือกตั้งแน่นอน (เสียงปรบมือ)
ฉะนั้นสิ่งที่ผมอยากจะกราบเรียนสุดท้ายนี้ก็คือว่า วันนี้เราก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 62 แล้วก็จะต้องมีปีที่ 63 — 64 — 65 อีกยาวนาน งานของเราไม่มีวันเสร็จ และงานของเราก็หยุดไม่ได้ ไม่ว่าสถานการณ์การเมืองเป็นอย่างไร สิ่งที่ผมได้กราบเรียนกับเพื่อนสมาชิกพรรคในวันนี้ขอให้ท่านถือเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด และขอให้ท่านได้เดินหน้าในการพบปะคลุกคลีกับประชาชนไม่ใช่เรื่องของการเมืองหรือการเลือกตั้ง แต่ต้องทำความเข้าใจ ต้องรับฟัง ต้องชี้แจง ต้องแลกเปลี่ยนเพื่อที่ว่าเมื่อเราก้าวเข้าสู่ปี 2551 ประเทศไทยของเราจะได้ตั้งหลักบนความมั่นคงแล้วเดินไปข้างหน้า ประวัติศาสตร์ 61 ปีของพรรค วิกฤตของประเทศมักจะถูกส่งต่อมายังสู่มือของประชาธิปัตย์เพื่อคลี่คลาย พรรคเราต้องมีความพร้อมเสมอที่จะรับภาระที่หนักหน่วงอันนี้ แต่ถ้าเรายึดมั่นอุดมการณ์ สืบสานสิ่งที่คนรุ่นก่อนได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง ผมมีความมั่นใจว่าเพื่อสมาชิกที่นี่จะร่วมกับผมคณะผู้บริหาร คณะกรรมการบริหาร และบุคลากรทุกคนของพรรคในการนำพาประเทศชาติบ้านเมืองให้พ้นจากฝันร้าย ให้พ้นจากวิกฤตไปสู่วันใหม่ที่พวกเราทุกคนนั้นจะมีทั้งความเข้มแข็ง และความหวังสำหรับคนไทยทั้งประเทศครับ กราบขอบพระคุณครับ สวัสดีครับ.
*******************************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 เม.ย. 2550--จบ--