ภาวะตลาดสินค้าเฟอร์นิเจอร์ในอิตาลี

ข่าวเศรษฐกิจ Monday May 21, 2007 08:57 —กรมส่งเสริมการส่งออก

สถานการณ์ทั่วไป
ในหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา แนวโน้มตลาดโลกโดยรวมของสินค้าเฟอร์นิเจอร์เคลื่อน ไหวในทางบวก มีการส่งออกรวมเพิ่มขึ้น(จากปี 1997-2007 30.7 พันล้านยูโร—73.2 พันล้านยูโร) เนื่องจากมีความต้องการรวมในตลาดเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะความต้องการนำเข้าจากประเทศนำเข้าหลัก
ประเทศผู้นำเข้าสำคัญในสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น โดยสหรัฐฯ นำเข้ามากจากประเทศจีนและแคนาดา รองลงมาได้แก่ จากประเทศ เม็กซิโก เวียตนาม มาเลเซีย อิตาลี อินโดนีเซีย ไต้หวัน ไทย และบราซิล
ประเทศที่ส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์อันดับต้นๆในโลกได้แก่ ประเทศจีน อิตาลี เยอรมัน โปแลนด์ แคนาดา อิตาลีเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดมา โดยตลอด แต่ใน 2 ปีหลังประเทศจีนเพิ่มการส่งออกขึ้นอย่างก้าวกระโดด และชิงอันดับหนึ่งจาก อิตาลีไป
กลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มนำเข้าสินค้าเฟอร์นิเจอร์มากขึ้นในปัจจุบันได้แก่ 8 ประเทศในยุโรป(บูลกาเรีย เอสโตเนีย ไอร์แลนด์ ลาติเวีย ลิตัวเนีย โปแลนด์ โรมาเนีย และ สโลวาเกีย) 3 ประเทศในยุโรป ตะวันออก(ตุรกี รัสเซีย และ ยูเครน) 7 ประเทศในเอเซีย(จีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และ เวียตนาม) 5 ประเทศในเขตตะวันออกกลางและ แอฟริกา(อิยิปต์ อิสราเอล คูเวต อิมิเรตส์ และอเมริกาใต้) 2 ประเทศในอเมริกาใต้(อาร์เจนติน่า และชิลี) ส่วนประเทศอื่นๆนั้น การเติบโตของดีมานด์ เป็นไปอย่างช้าๆ
สถานการณ์ตลาดสินค้าเฟอร์นิเจอร์ในสหภาพยุโรป
ปี 2549 สหภาพยุโรป(EU25) มีอัตราการผลิตโดยรวมเติบโตเป็นบวก เนื่องจาก ความต้องการภายในประเทศและการส่งออกสู่ประเทศนำเข้าหลักเพิ่มขึ้น ยกเว้นประเทศฝรั่งเศส ที่มีอัตราการผลิตคงที่ และประเทศโปรตุเกสที่อัตราการผลิตลดลง ทั้งนี้ ยุโรปตะวันตกสามารถ supply สินค้าเฟอร์นิเจอร์สู่ตลาดโลกได้มากถึงร้อยละ 36 เทียบกับทั้งโลก โดยมีประเทศอิตาลี เป็นผู้นำในยุโรป ตามมาด้วยประเทศเยอรมัน และอังกฤษ
การนำเข้า
ปี 2549 สหภาพยุโรป(EU25) นำเข้าสินค้าเฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.3 โดยตลาดนำเข้าหลักมาจากเอเซีย คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 70 ทั้งนี้ นำเข้าจากจีนมากเป็นอันดับหนึ่ง(+29.7%-ใน 2 ปีหลังจีนกลายเป็นผู้ส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก) และ เวียตนาม(+19%-เวียตนามกลายเป็น ประเทศ outsourcing หลักที่สำคัญสำหรับเฟอร์นิเจอร์เหล็กและ
การส่งออก
สหภาพยุโรป(EU25) ส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 อย่างไรก็ตามใน ระยะหลังสหภาพยุโรป(EU25)สูญเสียส่วนแบ่งตลาดอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุมาจาก เงินยูโรแข็งค่า และคู่แข่งจากจีน อย่างไรก็ตามตลาดส่งออกใหม่ที่น่าสนใจได้แก่ โครเอเซีย ตุรกี ยูเครน นอร์เวย์(+16%) และ รัสเซีย(+20%)
สถานการณ์ตลาดสินค้าเฟอร์นิเจอร์ในอิตาลี
อิตาลีเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่มีชื่อมายาวนาน ทั้งด้วยชื่อเสียงที่เป็นผู้ กำหนด trend และคุณลักษณะเด่นของสินค้าอันได้แก่ ดีไซน์สวยงาม แปลกใหม่ มีเอกลักษณ์ ประโยชน์ใช้สอย และคุณภาพ ดี มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในโลก สินค้า Made-In-Italy จึงมีความ ต้องการในตลาดอยู่ตลอด จะเห็นได้จากอิตาลีเป็น 1 ใน 7 ประเทศผู้ผลิตสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่มี Trade Balance เป็นบวกอยู่เสมอ
การนำเข้า
ปี 2549 อิตาลีเป็นประเทศที่นำเข้าสินค้าเฟอร์นิเจอร์ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลกรอง จากสหรัฐอเมริกา เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น สถานการณ์ตลาดเฟอร์นิเจอร์ในอิตาลีโดย รวมมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ไม่มาก และเป็นไปอย่างช้าๆ การค้ารวมในตลาดมีมูลค่าประมาณ 20 พัน ล้านยูโร การผลิตในปี 2550 เพิ่มขึ้นแต่ไม่มากประมาณร้อยละ 0.3 เทียบกับปี 2549(+0.5%) การ บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1-1.2 เทียบกับปี 2549(+1.4%) การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 เทียบกับปี 2549(+2.8%) การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อย ละ 11.8 เทียบกับปี 2549(+13.5) อิตาลีเคยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่ง ออกรายใหญ่ของโลกจนกระทั่งเศรษฐกิจจีน เติบโตอย่างก้าวกระโดดและกลายเป็นผู้ส่งออกราย ใหญ่ที่สุดไป อิตาลีแม้ว่าจะมีการย้ายฐานการผลิต/ร่วมทุนในประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้น แต่การผลิต สินค้าเฟอร์นิเจอร์ Made-In-Italy(artisan) ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของอุตสาหกรรมในอิตาลี ก็ยังคงมี จำนวนมากที่สุดถึงร้อยละ 70 พบว่าประเทศอิตาลีเป็นประเทศที่มี furniture outlets มากที่สุดใน ยุโรปถึง 18,000 แห่ง แต่มีจำนวนแรงงานต่อหน่วยเฉลี่ยน้อยที่สุดเทียบกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป ทั้งนี้ ร้อยละ 11 เป็น high-end specialists
อิตาลีนำเข้าสินค้าเฟอร์นิเจอร์ปี 2549 คิดเป็นมูลค่า 2.4 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 คิดเป็นอันดับที่ 25 ของสินค้านำเข้าของประเทศ โดยตลาดนำเข้าสำคัญได้แก่ จีน(สัดส่วน ตลาดร้อยละ 20.5) เยอรมัน(สัดส่วนตลาดร้อยละ 14.1) ออสเตรีย(สัดส่วนตลาดร้อยละ 10.5) ฝรั่งเศส(สัดส่วนตลาด ร้อยละ 5.8) โรมาเนีย(สัดส่วนตลาดร้อยละ 5.6) อิตาลีนำเข้าจากประเทศ ไทยเป็นอันดับที่ 24 คิดเป็นมูลค่า 19.2 ล้านยูโร เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 ประเทศนำเข้าใหม่ที่น่าสนใจ ได้แก่ โปแลนด์(+65%) ฮังการี(+103%) โครเอเซีย(+30%) เบลเยี่ยม(+27%) เวียตนาม(+27%) สโลวาเกีย(+82%) บูลกาเรีย(+23%) เชค(+37%) และไต้หวัน(+34%)
โรมาเนียเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปตั้งแต่เดือนมกราคม 2550 เป็นประเทศที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ มีการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม เฟอร์นิเจอร์(Wooden craft and furniture industry Internationalization)อย่างมากและรวดเร็วตั้งแต่ เข้าเป็นสมาชิกในกลุ่มสหภาพยุโรป ในระยะ 2-3 ปีหลัง โรมาเนียได้รับการยอมรับ(great considered)ว่าเป็นประเทศที่มี added value ในสินค้าเฟอร์นิเจอร์เพิ่มสูงมาก แรงงานฝีมือมีความ ละเอียด ปราณีต เป็นที่ยอมรับระดับสากล นอกจากนั้น มีการนำเข้าเครื่องจักรที่มี high performace technology โดยผลผลิตในประเทศร้อยละ 75 ผลิตเพื่อการส่งออกและส่งออกหลักไปยังประเทศ ยุโรปตะวันตก(เยอรมัน ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ อิตาลี ออสเตรีย อังกฤษ) เนื่องจากราคาถูกกว่าคู่แข่ง ทั้งนี้ เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นที่ต้องการของตลาดและถือเป็นลักษณะเด่นของสินค้า เฟอร์นิจอร์ที่ผลิตจาก โรมาเนียคือ มีรูปแบบหลากหลาย โดยเฉพาะที่ทำจาก solid wood ที่มีการเพิ่มมูลค่าโดยการตกแต่ง ในรูปแบบที่เป็น art-decor รวมไปถึงใช้กระบวนการผลิตที่ทันสมัย และใส่ใจกับการเก็บราย ละเอียดในขั้นตอนสุดท้าย(product finishing) ปัจจุบัน ใน 66 ประเทศผู้ผลิตสินค้าเฟอร์นิจอร์สำคัญ ของโลก ประเทศโรมาเนียจัดอยู่ในลำดับที่ 35 และเป็นประเทศผู้ส่งออกเฟอร์นิเจอร์อันดับที่ 22 ของโลก
การส่งออก
อิตาลีส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ปี 2549 คิดเป็นมูลค่า 10.7 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 คิดเป็นอันดับที่ 7 ของสินค้าส่งออกของประเทศ โดยตลาดส่งออกหลักได้แก่ ฝรั่งเศส(สัดส่วนตลาดร้อยละ 14.3) เยอรมัน(สัดส่วนตลาดร้อยละ 11.3) อังกฤษ(สัดส่วนตลาดร้อยละ 11.1) สหรัฐอเมริกา(สัดส่วน ตลาดร้อยละ 8) โดยมีตลาดส่งออกใหม่ที่น่าสนใจได้แก่ รัสเซีย ยูเครน โครเอเซีย ตุรกี และ โรมาเนีย
รัสเซียเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่น่าสนใจ มีบทบาทสำคัญในตลาด โลก เป็นตลาดที่กว้างเนื่องจากมีผู้บริโภคมากกว่า 140 ล้านคน ในปี 2548 มีการนำเข้าสินค้า เฟอร์นิเจอร์ราว 881.6 ล้านยูโร โดยมูลค่าราว 460 ล้านยูโร(เกือบร้อยละ 50)นำเข้าจากประเทศ อิตาลี อย่างไรก็ตาม ในปี 2549 อิตาลีสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดรัสเซียไปค่อนข้าง มาก
ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ในอิตาลีได้แก่ Natuzzi มียอดขายถึง 700 ล้านยูโร บริษัท ที่มีรายได้อยู่ในระดับ 250-300 ล้านยูโร มีประมาณ 10 บริษัท ได้แก่ Divani, Nicoletti, Calia, Flou ,Polyform อีก 3 ราย อยู่ทางตอนใต้ผลิต Sofa และอีก 2 ราย ผลิตเครื่องครัวอยู่ที่ Meda และ Udine
ปัจจุบันอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์อิตาลีอยู่ในยุคของการลงทุนนอกประเทศ เนื่องจากมีประเทศผู้ผลิตหลายๆ ประเทศที่สามารถผลิตสินค้าได้ถูกกว่า เช่นจีน อินเดีย ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมทั้ง ในยุโรปตะวันออก แต่ประเทศเหล่านี้ยังขาดการวิจัยด้านเทคนิค และการออกแบบ ดังนั้น การดำเนินงานของบริษัทส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จะเน้นที่การวิจัยด้านเทคนิคและการออกแบบ ส่วนการผลิตมักจะส่งไปผลิตที่อื่น หรือประเทศอื่นที่มีค่าแรงงานถูกกว่า ถ้าเป็นสินค้าระดับ คุณภาพสูง บริษัทก็อาจจะส่งชิ้นส่วนไปผลิตตามที่ต่างๆ และนำเข้าชิ้นส่วนนั้นๆ กลับมาประกอบ เป็นสินค้าสำเร็จรูปเองเพื่อการควบคุมคุณภาพ และรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
ในปัจจุบันตลาดที่สำคัญของอิตาลีคือตลาดในประเทศเอเซียโดยเฉพาะจีน เนื่องจาก นักธุรกิจอิตาลีเห็นความจำเป็นที่จะต้องนำเสนอสินค้า Made in Italy ออกสู่ตลาดต่าง ประเทศให้มากขึ้น ประกอบกับค่าแรงงานในอิตาลีมีราคาสูงขึ้นหลังจากการปรับค่าเงินเป็นเงินยูโร เมื่อปี 2543 ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์อิตาลีหลายรายจึงเริ่มที่จะหันไปจ้างผลิตในประเทศที่มีค่าแรงงานต่ำ ภายใต้แบบและเทคนิคของอิตาลีเอง และด้วยเหตุดังกล่าว จึงทำให้การนำเข้าในปีหลังๆ เพิ่มสูงขึ้น ด้วย
การบริโภคปี 2549 การบริโภคสินค้าเฟอร์นิเจอร์ในอิตาลีมีอัตราเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 1.2 เนื่องจาก ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มดีขึ้น ผู้บริโภคหันมาลงทุนซื้อบ้านมากกว่าเช่าอย่างที่เคยเป็น ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้นและอัตราเงินเฟ้อลดลง อย่างไรก็ตามอัตราการบริโภคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างช้าๆ อย่างต่อเนื่องและคาดว่าแนวโน้มจะดีขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากลักษณะของผู้นำเข้าและตลาดในอิตาลีจะเป็น SMEs จำนวนมาก ร้านค้าปลีกหลายรายเป็นทั้งผู้นำเข้าและค้าปลีก จะเห็นว่าร้อยละ 70 ของช่องการกระจายสินค้า เฟอร์นิเจอร์ภายในอิตาลีมาจากผู้ประกอบการรายย่อย(furniture retailers) นอกนั้นมาจากช่องทาง large scale distribution, craftsmen และ specialists ผู้นำเข้าจะเป็น Distributor หรือห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องตกแต่งบ้านรายย่อยในปีหลังๆ ก็เริ่มนำเข้าเองโดยตรง
รสนิยมการบริโภค
ชาวอิตาเลียนนิยมไปเลือกซื้อสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ห้างสรรพสินค้าเฟอร์นิเจอร์ขนาด ใหญ่ และร้านค้าประเภท Furniture concept เช่น IKEA, CONFORAMA ITALIA เนื่องจากมีสินค้า หลากหลาย และครบวงจร คิดเป็นประมาณร้อยละ 75 โดยเฉพาะครอบครัวใหม่ที่เพิ่งซื้อบ้านใหม่ หลังแรก ทั้งนี้ผู้บริโภคร้อยละ 51 ที่นิยมซื้อจากร้านข้างต้นจะคำนึงเรื่องราคามากเป็นลำดับแรก และร้อยละ 20 จะดูความสวยงาม มีเอกลักษณ์ ประโยชน์ใช้สอย เนื้อไม้เป็น solid wood และเข้ากับ บ้าน/เฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นๆในบ้าน และร้อยละ 25 นิยมซื้อจากร้าน high/medium-high furniture store แต่ถ้าเป็นการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยก็จะ เลือกซื้อที่ร้านขายสินค้าเฉพาะชนิด โดยราคาจะขึ้นอยู่ กับรูปแบบ วัสดุ และเทคนิคการผลิต ทั้งนี้ หากผู้บริโภคซื้อสินค้าครบชุดจะได้ราคาที่ถูกกว่าซื้อ แยกชิ้น ซึ่งเป็นวิธีการจูงใจอีกทางหนึ่งของห้างฯ ขนาดใหญ่
สำหรับสินค้าเฟอร์นิเจอร์ห้องครัวถือว่ามีร้อยละการจำหน่ายมากที่สุดคือคิดเป็น ประมาณร้อยละ 40 ของยอดจำหน่ายทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เฟอร์นิเจอร์ชุดครัวและห้องน้ำสำหรับ ตลาดระดับสูงจะผลิตในประเทศโดยโรงงานที่มีชื่อขนาดใหญ่ จำหน่ายในลักษณะเป็น set เช่น ชุดห้องครัว ห้องนอน ห้องน้ำ เป็นต้น โดยผู้บริโภคนิยมหาซื้อจาก Independent furniture store(65%) ร้านขายปลีกขนาดใหญ่(9%-ผู้บริโภค นิยมสูงมากหลังปี 2545) specialist store(15%) direct-sales จากผู้ผลิต(10%)
ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีความเคลื่อนไหวในตลาดเพิ่มขึ้น แต่จะเห็นว่าผู้บริโภคยังคงให้ความ สนใจเรื่องราคาโดยระมัดระวังค่าใช้จ่ายอยู่มาก (ร้อยละ 40 สามารถตัดสินใจซื้อทันทีในร้านแรก และร้อยละ 12 จะสำรวจแบบและราคาก่อนอย่างน้อย 5 ร้านขึ้นไป)
งานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์
งานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่สำคัญที่สุดคือ Salone Internazionale del Mobile โดย ครั้งที่ 47 ที่จะจัดขึ้นในปี 2551 จะจัดระหว่างวันที่ 16-21 เมษายน(www.cosmit.it) นอกจากนั้นยังมี งานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ SAMP,MOA CASA,MOBILIA,SICAI LUX และอื่นๆอีกมาก ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.webmobili.it/default.asp?pagina=calfiere
งานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์
SALONE INTERNAZIONALE DEL MOBILE
งานแสดงสินค้า SALONE DEL MOBILE เป็นงานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่สำคัญ ที่สุดและรู้จักกันเป็นอย่างดีทั่วโลก เริ่มจัดเมื่อปี 1961 โดยจัดขึ้นปีละครั้งในช่วงเดือนเมษายน ในปีนี้จัดระหว่างวันที่ 18-23 เมษายน 2550 ถือเป็นครั้งที่ 46 ณ ศูนย์แสดงสินค้าแห่งใหม่ Rho Fiera เมืองมิลาน ผู้จัด Cosmit spa(Foro Bonaparte 65-20121 Milan โทรศัพท์ +39.02.725941 แฟกส์ +39.02.890.115.63 info@cosmit.it)
งานแสดงสินค้า SALONE DEL MOBILE ถือเป็นศูนย์รวมการพบปะทางธุรกิจ
ระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขายและเป็นจุดกำเนิดของ International Design และ Trend สำหรับตลาด เฟอร์นิเจอร์ของโลกที่สำคัญ ที่ทุกประเทศให้ความสนใจติดตามเข้าชมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนอกจาก ผู้ซื้อผู้ขายแล้ว จึงกลายเป็นแหล่งนัดพบ ของเหล่าดีไซเนอร์ สถาปนิก และ trend-setters ที่สำคัญ ด้วย โดยในระยะเริ่มแรก คณะผู้จัดฯ ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการสินค้าเฟอร์นิเจอร์แห่งอิตาลี(Federmobili) มีความคิดที่จะจัดงานฯ ดังกล่าวเพื่อผลักดันให้สินค้าเฟอร์นิเจอร์ Made-In-Italy เป็นที่รู้จักในตลาดโลก ซึ่งงานฯ ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมและกลายเป็นงานแสดงสินค้า Designed Furniture อันดับ 1 ของโลกตลอดระยะ 40 ปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จทั้ง ผู้เข้าร่วม แสดงฯ ผู้เยี่ยมชม รวมถึงผู้จัดฯ สำหรับผู้จัดฯ พบว่างานฯ ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นด้วย จำนวนผู้เข้าร่วมแสดงฯ 2,578 ราย โดย 542 รายมาจาก 40 ประเทศ ผู้เยี่ยมชมกว่า 223,000 ราย โดย จำนวน 123,391 รายมาจาก 146 ประเทศ จัดแสดงในพื้นที่งานฯกว่า 209,417 ตารางเมตร ใน 22 อาคารแสดงสินค้า ทั้งนี้ พื้นที่งานฯ นั้นถูกจองอย่างต่อเนื่องมาตลอด แม้ว่าจะมีความต้องการเข้า งานฯ ของรายใหม่ๆ จากหลายประเทศ แต่จำนวนพื้นที่งานฯ ที่จำกัด ทำให้จำนวนพื้นที่ใน waiting list มีเกินกว่าครึ่งของพื้นที่งานฯปัจจุบัน นอกจากนั้น SALONE DEL MOBILE ยังเป็นงานฯ ที่ได้ ต้อนรับนักข่าวมากที่สุดงานฯ หนึ่งในโลกถึง 4,128 ราย โดยจำนวน 2,065 รายมาจาก 57 ประเทศ ทั่วโลก
นอกจากนั้น ทุกปี งานฯ SALONE DEL MOBILE ยังได้เปลี่ยนเมืองแห่งวัฒนธรรม และแฟชั่นดีไซด์ทั่วทั้งเมืองให้เป็นเสมือนลานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ งานฯ ดีไซน์สำคัญในเมืองมิลาน ได้แก่ Zona Tortona (www.zonatortona.com 20,000 ต.ร.ม./50 locations),Centro , Magenta , Solferino และโซนอื่นๆ รวมไปถึง Showroom สินค้าเฟอร์นิเจอร์ ชั้นนำต่างๆ ที่พร้อมใจกันจัดกิจกรรมพิเศษระหว่างช่วงเทศกาลงานฯ เพื่อนำเสนอ innovations สร้างสีสันและความหลากหลายแก่เมืองแห่งแฟชั่น รวมทั้งเพื่อรองรับผู้เยี่ยมชมจำนวนมากที่หลั่ง ไหลเข้าสู่เมืองมิลานเพื่องานฯดังกล่าวโดยเฉพาะ Lighting สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับ Design and Decor Furniture Section
การจัดไฟ (Lighting Fixture)เป็นสินค้าและบริการที่มาคู่กับสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่
ใน decor-design sector ที่ดีไซเนอร์ สถาปนิกและผู้บริโภคโดยเฉพาะชาวอิตาเลียนให้ความสำคัญ เป็นอย่างมาก เนื่องจากการออกแบบจัดวาง object ประกอบกับการกำหนดตำแหน่งและรูปแบบ ของไฟและแสงภายในสถานที่ นั้นถือเป็นศิลปะที่น่าอัศจรรย์ที่สามารถสร้าง กำหนดหรือเปลี่ยน แปลงบรรยากาศของสถานที่ได้ตามที่ผู้จัดต้องการ นอกจากนั้น พบว่าการจัดไฟยังเป็นสินค้าที่ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมาก โดยสามารถทำให้ สถานที่ที่จัดตกแต่งมีความแตกต่างจากเดิม ได้อย่างน่าสนใจ
Lighting Fixture sector ในตลาดโลกมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 ปี 2549 มีมูลค่า 45 พันล้านยูโร ร้อยละ 51 ผลิตในกลุ่มประเทศ Developed Countries ซึ่งมี 7 ประเทศ ผู้ผลิตหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา(22%) ญี่ปุ่น อิตาลี เยอรมัน อังกฤษ สเปน เกาหลีใต้ คิดเป็นสัดส่วน รวมประมาณร้อยละ 41 ของการผลิตในตลาดโลก สำหรับกลุ่มประเทศ Emerging Countries มี สัดส่วนการผลิตรวมร้อยละ 49 ประเทศผู้ผลิตหลักได้แก่ จีน(18%) เม็กซิโก อินเดีย บราซิล และ โปแลนด์
การบริโภค มีตลาดหลักเป็นกลุ่มประเทศ Developed Countries ถึงร้อยละ 63 โดยมี สัดส่วนการบริโภคต่อหัวประมาณ 29-37 ยูโร ในขณะที่สัดส่วนการบริโภคต่อหัวในกลุ่มประเทศ Emerging Countries อยู่ประมาณเพียง 6.6 ยูโร
ประเทศที่นำเข้ามากที่สุดได้แก่ สหรัฐอเมริกา(+17%-โดยนำเข้าจากจีนและเม็กซิโก เป็นหลัก) เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี รัสเซีย ออสเตรเลีย และเดนมาร์ก ส่วนประเทศที่ ส่งออกมากที่สุดได้แก่ จีน(+17%ต่อปี) เยอรมัน อิตาลี เม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ เยอรมัน ยังเป็น strong performace exporter ในสินค้าดังกล่าว ในขณะที่อิตาลีส่งออกเป็นอันดับที่ 3 แต่อัตรา การเติบโตคงที่และมีตลาดส่งออกหลักมุ่งที่ตลาดเพื่อนบ้านเท่านั้น
ข้อควรคำนึงในตลาดอิตาลี
1. บ้านที่อยู่อาศัยในอิตาลีเป็นลักษณะห้องชุด มีขนาดพื้นที่จำกัด โดยเฉพาะบ้านเก่าที่ตกแต่งภายในใหม่ จะมีข้อจำกัดในการตกแต่งมากดังนั้นบริษัทที่รับทำเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่าง และขนาดให้เข้ากับบ้านได้ จึงได้รับความนิยม
2. ราคา ผู้บริโภคร้อยละ 75 นิยมเลือกซื้อในร้านที่เป็น mass product และร้อยละ 51 คำนึงเรื่องราคา อันดับหนึ่ง
3. คุณภาพสินค้า ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ
ที่มา: http://www.depthai.go.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ