นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดเพลิงไหม้โรงงานยางแผ่นรมควันของบริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 บ้านห้วยโอน ตำบลกำแพงเพชร อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2550 เวลาประมาณ 13.00 น. นั้น ได้สั่งการให้ตรวจสอบการทำประกันภัยทรัพย์สินดังกล่าว ในเบื้องต้นทราบว่า บริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด มีการทำประกันภัยทรัพย์สินรวม 662,890,000 บาท โดยมีบริษัทที่รับประกันภัยร่วมกัน 4 บริษัท ดังนี้
1. บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัยร้อยละ 40
2. บริษัท ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัยร้อยละ 25
3. บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัยร้อยละ 20
4. บริษัท ศรีอยุธยาประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัยร้อยละ 15
สำหรับทรัพย์สินที่เกิดไฟไหม้เป็นอาคารโกดังเก็บสต๊อกสินค้า ซึ่งได้รับรายงานว่าเสียหายสิ้นเชิงจำนวน 1 หลัง โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองโกดังที่เกิดเหตุ ดังนี้
- อาคารโกดัง จำนวนเงินเอาประกันภัย 15 ล้านบาท
- สต๊อกสินค้าในโกดัง จำนวนเงินเอาประกันภัย 150 ล้านบาท
กรมการประกันภัยได้ประสานงานให้บริษัทที่ร่วมรับประกันภัยเร่งรัดสำรวจและประเมินค่าเสียหายเพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อไป ส่วนสาเหตุของเพลิงไหม้อยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน
นางจันทรา บูรณฤกษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นที่น่าเสียใจที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน แต่การที่บริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ได้มีการเอาประกันอัคคีภัยไว้จะทำให้ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยทรัพย์สินนั้น อันเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัยได้ ดังนั้น หากประชาชนหรือผู้ประกอบการจะทำประกันภัยแล้ว ขอได้โปรดพิจารณาทำประกันภัยให้ครอบคลุมความเสี่ยงภัยที่มี เช่น กรณีเหตุที่เกิดขึ้นกับสต๊อกสินค้าของบริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ซึ่งหากเป็นสต๊อกของสินค้าที่รอการส่งออกแล้ว นอกจากจะทำประกันอัคคีภัยแล้วควรคำนึงถึงความเสี่ยงภัยกรณีที่จะถูกผู้ซื้อสินค้าเรียกเงินค่าเสียหายจากการผิดนัดส่งสินค้าด้วย เป็นต้น จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนได้ศึกษาถึงประโยชน์ของการประกันภัยและสามารถเลือกความคุ้มครองของการประกันภัยแต่ละประเภทให้เหมาะสมกับความเสี่ยงภัยที่มี อันจะเป็นการนำการประกันภัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ตนเอง และหากผู้เอาประกันภัยหรือประชาชนทั่วไปมีปัญหาข้อสงสัย หรือต้องการปรึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับการประกันภัย ขอให้สอบถามได้ที่โทรศัพท์ 0-2547-4548 หรือสายด่วนประกันภัย 1186
ที่มา: http://www.doi.go.th