วันที่ 23 เมษายน 50 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะได้เดินทางไปเยือนกรุงโรง ประเทศอิตาลี ระหว่างวันที่ 20 — 22 เมษายน 2550 ตามคำเชิญของนายฟรานเซสโก รูเทลลี่ (Francesco Rutelli) รองนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และหัวหน้าพรรค La Margherita โดยในวันแรกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำจากประเทศต่าง ๆ ประมาณ 30 ประเทศ อาทิ นายเมซุด บาร์ซานี่ ประธานาธิบดีรัฐเคิร์ดิสถาน พร้อมด้วยนายโพรดี (Romano Prodi) นายกรัฐมนตรีประเทศอิตาลี และแกนนำสำคัญของรัฐบาลอิตาลี ได้ร่วมงานประชุมของพรรค La Margherita สำหรับในวันที่ 2 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ประชุมร่วมกับหัวหน้าพรรคการเมืองสำคัญ ๆ ในแต่ละทวีป ที่เป็นพันธมิตรต่างแดนของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือร่วมกัน เช่น ในเรื่องความมั่นคง การก่อการร้าย ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหาโลกร้อน สิ่งแวดล้อม รวมไปถึงเรื่องของประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน หลังจากนั้นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ร่วมหารือกับนายฟรานเซสโก รูเทลลี่ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและนายวินเนติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศที่รับผิดชอบภูมิภาคเอเชีย โดยทางรัฐบาลอิตาลีมีความกังวลกับสถานการณ์ในประเทศไทยหลังเกิดรัฐประหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้า การลงทุน ระหว่าง 2 ประเทศที่กำลังหยุดชะงัก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าจากการไปประชุมครั้งนี้ เป็นการยืนยันให้เห็นว่าในทุก ๆ ประเทศ ความตื่นตัวและการให้ความสำคัญกับเรื่องของประชาธิปไตย มีความชัดเจนมาก และเป็นแนวทางที่ทุกฝ่ายคาดหวังว่าจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ หรือปัญหาหลัก ๆ ของชาติของตนเองได้ เพราะว่าในการประชุมครั้งนี้มีตัวแทนจากประเทศเช่น อาฟกานิสถาน หรือแคว้นเคิร์ท ในอิรัก ซึ่งได้ชี้ให้ถึงคุณค่าของประชาธิปไตย ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมประชุมให้ความสนใจและสอบถามสถานการณ์ในประเทศไทยด้วย โดยทุกฝ่ายต้องการทราบว่าเมื่อใดไทยจะมีการเลือกตั้ง และหวนกลับคืนสู่หนทางประชาธิปไตยได้ตามกำหนดการที่ได้มีการประการไว้หรือไม่ โดยนายอภิสิทธิ์อธิบายว่าขณะนี้ทางรัฐบาลได้ประกาศวันเลือกตั้งที่ชัดเจนแล้ว และประชาชนคนไทยอยู่ในลักษณะรอคอยรัฐบาลหลังจากการเลือกตั้งเพื่อสะสางปัญหาต่าง ๆ
นอกจากนี้รัฐบาลอิตาลีมีความประสงค์จะมาเยือนประเทศไทย เพื่อดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่ติดปัญหาแนวปฏิบัติของสหภาพยุโรปว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐในสหภาพยุโรปไม่สามารถเดินทางมาเยือนประเทศไทย ในเงื่อนไขว่าประเทศไทยกำลังมีการรัฐประหาร จึงได้สอบถามและปรึกษาถึงแนวทางความเป็นไปได้ นายอภิสิทธิ์ จึงได้เสนอทางออกไว้ 2 ทาง คือ เมื่อใดก็ตามที่มีการยกเลิกกฎอัยการศึก ซึ่งอาจยกเว้นกรณีของ 3 จังหวัดภาคใต้ หรือการยกเลิกคำสั่งการห้ามดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมือง ก็อาจจะเป็นเหตุให้รัฐบาลในยุโรป ลองไปทบทวนแนวทางของสหภาพยุโรปถึงความเป็นไปได้ที่จะถือว่าสถานการณ์รัฐประหารในประเทศไทยได้เริ่มผ่อนคลายแล้ว หรืออีกแนวทางหนึ่งคือการขอมาประเทศไทยเพื่อสังเกตการณ์ในกระบวนการทำประชามติของร่างรัฐธรรมนูญ
ต่อข้อถามของสื่อมวลชนถึงข้อจำกัดที่อาจเป็นเหตุให้รัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามตินั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าผ่านหรือไม่ผ่านเป็นสิทธิ์ของประชาชนที่จะตัดสินใจ เพราะฉะนั้นถ้าต้องการให้รัฐธรรมนูญผ่าน สิ่งที่ผู้ร่างฯ ทำให้ดีที่สุดก็คือร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน
“ถ้ามีรัฐธรรมนูญซึ่งมีความเป็นประชาธิปไตยที่ชัดเจน ผมก็มองไม่เห็นว่าประชาชนจะปฏิเสธรัฐธรรมนูญทำไม เพราะว่าผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ต้องการเห็นกระบวนการทุกอย่างเดินไปด้วยความราบรื่น และต้องการเห็นการกลับคืนสู่กระบวนการของการเลือกตั้งโดยเร็ว แต่ถ้าเป็นปมปัญหาที่มีข้อสงสัยถึงความเป็นประชาธิปไตยของรัฐธรรมนูญ หรือว่าคิดว่ารัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติที่จะนำไปสร้างปัญหา อันนี้ก็เป็นสิทธิ์ของประชาชนจริง ๆ ที่จะแสดงออก เพราะฉะนั้นจากวันนี้จนถึงวันที่จะมีการทำประชามติยังมีอีกหลายขั้นตอน การรับฟังข้อเรียกร้องต่าง ๆ และการสื่อสารในลักษณะที่จะอธิบายกันได้ด้วยเหตุด้วยผลนั้นจะเป็นสิ่งที่น่าทำที่สุดทั้งในส่วนของสภาร่างฯ เองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์เห็นว่ายังมีอีก 2 — 3 เรื่องที่จะต้องทบทวน เรื่องแรกคือเรื่องวุฒิสภา โดยยืนยันว่าความชอบธรรมที่จะมีสภาที่สองที่มาจากการเลือกตั้งน่าจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้แล้ว แต่ถ้ายังยึดหรือย้อนกลับไปในลักษณะของการแต่งตั้งหรือการสรรหาก็ตาม ก็จะมีคำถามที่ตามมาอีกมากมาย โดยเฉพาะวุฒิสภาตามร่างรัฐธรรมนูญก็ยังมีอำนาจมากเหมือนกับวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว เช่นการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ซึ่งคิดว่าคงไม่เหมาะสม ประเด็นที่สอง ปัญหาพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระยังไม่ได้มีการปรับแก้เท่าที่ควร ยังคงโครงสร้างเดิม ๆ ไว้เป็นส่วนใหญ่ จะเปลี่ยนแปลงก็อาจจะมีการปรับองค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาบ้าง ซึ่งก็ยังไม่เป็นหลักประกันว่าจะแก้ปัญหาการแทรกแซงองค์กรอิสระอย่างในอดีต และอีกส่วนหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยคือ กลไกในเรื่องของสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มองว่ามีปัญหาทั้งในเรื่องความชอบธรรม และไม่สามารถปฏิบัติได้
ส่วนเรื่องของสิทธิเสรีภาพ นายอภิสิทธิ์เห็นว่าควรจะมีการประสานเพื่อให้รัฐบาลและ สนช. ขับเคลื่อนในเรื่องนี้เบื้องต้นด้วย ไม่ควรจะรอให้ทุกอย่างไปจบอยู่ที่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่จะออกตามมาเพื่อรองรับหรือเพื่ออำนวยกระบวนการของการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เป็นเรื่องของรัฐบาลชุดต่อ ๆ ไป เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าจะเป็นสิ่งที่ทำเพื่อประโยชน์ของการคุ้มครองประชาชน ไม่จำเป็นต้องไปรอให้สภาร่างฯ ทำงานเสร็จ
สำหรับคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับข้อเสนอเรื่องส.ว.ว่า อาจให้มีการสรรหาจากในส่วนตัวแทนจังหวัด แต่ให้ผู้ที่ได้รับการสรรหาไปขอเสียงยืนยันจากประชาชน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก่อนที่จะมีส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งหลังปี 40 ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งจำนวนมากเป็นข้าราชการ ซึ่งวันนี้เราเดินมาไกลกว่าที่จะไปย้อนกลับไประบบอย่างนั้นเพราะว่า มันผิดหลักการที่จะให้ทางฝ่ายราชการประจำมาเป็นฝ่ายที่สามารถตรวจสอบ หรือแม้กระทั่งถอดถอนฝ่ายที่เป็นฝ่ายนโยบายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
“การสรรหานั้นเราต้องยอมรับว่ามันจะมีปัญหาในเรื่องของความสามารถของกรรมการ เหมือนกับทุกวงการเวลามีการสรรหา แล้วมีกรรมการสรรหา ต้องยอมรับว่าแม้ว่ากรรมการสรรหาจะพยายามมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่สามารถรู้จักคนในวงกว้างได้ และถ้ายิ่งกรรมการสรรหามาจากวงการที่ค่อนข้างจำกัดอย่างที่เป็นอยู่ ก็จะมาจากสายราชการ สายตุลาการเป็นหลัก โอกาสที่ความหลากหลายหรือตัวแทนของประชาชนจะผ่านกระบวนการนี้เข้ามาจะไม่ง่าย ผมคิดว่าเราต้องมั่นใจในเรื่องของการเลือกตั้ง แต่เราต้องสามารถที่จะออกแบบให้ระบบการเลือกตั้งตรงกับความต้องการของเรา ผมเชื่อว่าสมมติว่ามีรัฐธรรมนูญที่ สว.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ช้าไม่นานก็จะต้องให้มีการแก้ไขให้มีการเลือกตั้งหรือเลิกวุฒิสภาไปเลย ทิศทางในอนาคตมันชัดเจนมาก” นายอภิสิทธิ์กล่าว
สำหรับเรื่องการบรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เข้าไว้ในร่างรัฐธรรมนูญนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้ควรจะเป็นห้วงเวลาที่ทุกฝ่าย ทั้งในส่วนของพระผู้ใหญ่ และในส่วนของ สสร. มาพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล เพราะว่าเกรงว่าขณะนี้ลักษณะของการโต้ตอบกันจะนำไปสู่การเผชิญหน้าในประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 23 เม.ย. 2550--จบ--
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าจากการไปประชุมครั้งนี้ เป็นการยืนยันให้เห็นว่าในทุก ๆ ประเทศ ความตื่นตัวและการให้ความสำคัญกับเรื่องของประชาธิปไตย มีความชัดเจนมาก และเป็นแนวทางที่ทุกฝ่ายคาดหวังว่าจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ หรือปัญหาหลัก ๆ ของชาติของตนเองได้ เพราะว่าในการประชุมครั้งนี้มีตัวแทนจากประเทศเช่น อาฟกานิสถาน หรือแคว้นเคิร์ท ในอิรัก ซึ่งได้ชี้ให้ถึงคุณค่าของประชาธิปไตย ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมประชุมให้ความสนใจและสอบถามสถานการณ์ในประเทศไทยด้วย โดยทุกฝ่ายต้องการทราบว่าเมื่อใดไทยจะมีการเลือกตั้ง และหวนกลับคืนสู่หนทางประชาธิปไตยได้ตามกำหนดการที่ได้มีการประการไว้หรือไม่ โดยนายอภิสิทธิ์อธิบายว่าขณะนี้ทางรัฐบาลได้ประกาศวันเลือกตั้งที่ชัดเจนแล้ว และประชาชนคนไทยอยู่ในลักษณะรอคอยรัฐบาลหลังจากการเลือกตั้งเพื่อสะสางปัญหาต่าง ๆ
นอกจากนี้รัฐบาลอิตาลีมีความประสงค์จะมาเยือนประเทศไทย เพื่อดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่ติดปัญหาแนวปฏิบัติของสหภาพยุโรปว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐในสหภาพยุโรปไม่สามารถเดินทางมาเยือนประเทศไทย ในเงื่อนไขว่าประเทศไทยกำลังมีการรัฐประหาร จึงได้สอบถามและปรึกษาถึงแนวทางความเป็นไปได้ นายอภิสิทธิ์ จึงได้เสนอทางออกไว้ 2 ทาง คือ เมื่อใดก็ตามที่มีการยกเลิกกฎอัยการศึก ซึ่งอาจยกเว้นกรณีของ 3 จังหวัดภาคใต้ หรือการยกเลิกคำสั่งการห้ามดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมือง ก็อาจจะเป็นเหตุให้รัฐบาลในยุโรป ลองไปทบทวนแนวทางของสหภาพยุโรปถึงความเป็นไปได้ที่จะถือว่าสถานการณ์รัฐประหารในประเทศไทยได้เริ่มผ่อนคลายแล้ว หรืออีกแนวทางหนึ่งคือการขอมาประเทศไทยเพื่อสังเกตการณ์ในกระบวนการทำประชามติของร่างรัฐธรรมนูญ
ต่อข้อถามของสื่อมวลชนถึงข้อจำกัดที่อาจเป็นเหตุให้รัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามตินั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าผ่านหรือไม่ผ่านเป็นสิทธิ์ของประชาชนที่จะตัดสินใจ เพราะฉะนั้นถ้าต้องการให้รัฐธรรมนูญผ่าน สิ่งที่ผู้ร่างฯ ทำให้ดีที่สุดก็คือร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน
“ถ้ามีรัฐธรรมนูญซึ่งมีความเป็นประชาธิปไตยที่ชัดเจน ผมก็มองไม่เห็นว่าประชาชนจะปฏิเสธรัฐธรรมนูญทำไม เพราะว่าผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ต้องการเห็นกระบวนการทุกอย่างเดินไปด้วยความราบรื่น และต้องการเห็นการกลับคืนสู่กระบวนการของการเลือกตั้งโดยเร็ว แต่ถ้าเป็นปมปัญหาที่มีข้อสงสัยถึงความเป็นประชาธิปไตยของรัฐธรรมนูญ หรือว่าคิดว่ารัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติที่จะนำไปสร้างปัญหา อันนี้ก็เป็นสิทธิ์ของประชาชนจริง ๆ ที่จะแสดงออก เพราะฉะนั้นจากวันนี้จนถึงวันที่จะมีการทำประชามติยังมีอีกหลายขั้นตอน การรับฟังข้อเรียกร้องต่าง ๆ และการสื่อสารในลักษณะที่จะอธิบายกันได้ด้วยเหตุด้วยผลนั้นจะเป็นสิ่งที่น่าทำที่สุดทั้งในส่วนของสภาร่างฯ เองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์เห็นว่ายังมีอีก 2 — 3 เรื่องที่จะต้องทบทวน เรื่องแรกคือเรื่องวุฒิสภา โดยยืนยันว่าความชอบธรรมที่จะมีสภาที่สองที่มาจากการเลือกตั้งน่าจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้แล้ว แต่ถ้ายังยึดหรือย้อนกลับไปในลักษณะของการแต่งตั้งหรือการสรรหาก็ตาม ก็จะมีคำถามที่ตามมาอีกมากมาย โดยเฉพาะวุฒิสภาตามร่างรัฐธรรมนูญก็ยังมีอำนาจมากเหมือนกับวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว เช่นการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ซึ่งคิดว่าคงไม่เหมาะสม ประเด็นที่สอง ปัญหาพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระยังไม่ได้มีการปรับแก้เท่าที่ควร ยังคงโครงสร้างเดิม ๆ ไว้เป็นส่วนใหญ่ จะเปลี่ยนแปลงก็อาจจะมีการปรับองค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาบ้าง ซึ่งก็ยังไม่เป็นหลักประกันว่าจะแก้ปัญหาการแทรกแซงองค์กรอิสระอย่างในอดีต และอีกส่วนหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยคือ กลไกในเรื่องของสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มองว่ามีปัญหาทั้งในเรื่องความชอบธรรม และไม่สามารถปฏิบัติได้
ส่วนเรื่องของสิทธิเสรีภาพ นายอภิสิทธิ์เห็นว่าควรจะมีการประสานเพื่อให้รัฐบาลและ สนช. ขับเคลื่อนในเรื่องนี้เบื้องต้นด้วย ไม่ควรจะรอให้ทุกอย่างไปจบอยู่ที่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่จะออกตามมาเพื่อรองรับหรือเพื่ออำนวยกระบวนการของการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เป็นเรื่องของรัฐบาลชุดต่อ ๆ ไป เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าจะเป็นสิ่งที่ทำเพื่อประโยชน์ของการคุ้มครองประชาชน ไม่จำเป็นต้องไปรอให้สภาร่างฯ ทำงานเสร็จ
สำหรับคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับข้อเสนอเรื่องส.ว.ว่า อาจให้มีการสรรหาจากในส่วนตัวแทนจังหวัด แต่ให้ผู้ที่ได้รับการสรรหาไปขอเสียงยืนยันจากประชาชน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก่อนที่จะมีส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งหลังปี 40 ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งจำนวนมากเป็นข้าราชการ ซึ่งวันนี้เราเดินมาไกลกว่าที่จะไปย้อนกลับไประบบอย่างนั้นเพราะว่า มันผิดหลักการที่จะให้ทางฝ่ายราชการประจำมาเป็นฝ่ายที่สามารถตรวจสอบ หรือแม้กระทั่งถอดถอนฝ่ายที่เป็นฝ่ายนโยบายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
“การสรรหานั้นเราต้องยอมรับว่ามันจะมีปัญหาในเรื่องของความสามารถของกรรมการ เหมือนกับทุกวงการเวลามีการสรรหา แล้วมีกรรมการสรรหา ต้องยอมรับว่าแม้ว่ากรรมการสรรหาจะพยายามมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่สามารถรู้จักคนในวงกว้างได้ และถ้ายิ่งกรรมการสรรหามาจากวงการที่ค่อนข้างจำกัดอย่างที่เป็นอยู่ ก็จะมาจากสายราชการ สายตุลาการเป็นหลัก โอกาสที่ความหลากหลายหรือตัวแทนของประชาชนจะผ่านกระบวนการนี้เข้ามาจะไม่ง่าย ผมคิดว่าเราต้องมั่นใจในเรื่องของการเลือกตั้ง แต่เราต้องสามารถที่จะออกแบบให้ระบบการเลือกตั้งตรงกับความต้องการของเรา ผมเชื่อว่าสมมติว่ามีรัฐธรรมนูญที่ สว.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ช้าไม่นานก็จะต้องให้มีการแก้ไขให้มีการเลือกตั้งหรือเลิกวุฒิสภาไปเลย ทิศทางในอนาคตมันชัดเจนมาก” นายอภิสิทธิ์กล่าว
สำหรับเรื่องการบรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เข้าไว้ในร่างรัฐธรรมนูญนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้ควรจะเป็นห้วงเวลาที่ทุกฝ่าย ทั้งในส่วนของพระผู้ใหญ่ และในส่วนของ สสร. มาพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล เพราะว่าเกรงว่าขณะนี้ลักษณะของการโต้ตอบกันจะนำไปสู่การเผชิญหน้าในประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 23 เม.ย. 2550--จบ--