ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. การส่งออกในเดือน ก.ค.50 ที่ขยายตัวชะลอลงเป็นไปในทิศทางที่ภาครัฐ-เอกชนคาดการณ์ไว้ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่
ก.พาณิชย์แถลงตัวเลขการส่งออกประจำเดือน ก.ค.50 ว่ามีอัตราการขยายตัวเพียง 5.89% จากเดือนก่อนที่ขยายตัว 17.7% ว่า จะนำเข้า
หารือในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมในวันที่ 24 ส.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจภาพรวมอย่างไร คงต้องรอพิจารณาสถานการณ์ต่อไป ด้านปลัด ก.คลัง เปิดเผยว่า การส่งออกที่ปรับตัวลดลง คงต้องติดตามว่าเป็น
เพียงสถานการณ์ชั่วคราวหรือมีแนวโน้มต่อเนื่อง และหากมองในภาพรวมการส่งออกของไทยที่ผ่านมาตลอดปียังเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน นอกจากนี้
นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึง อัตราการส่งออกในเดือน ก.ค.
ที่ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 29 เดือนว่า เป็นไปในทิศทางที่ ธปท.ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าการส่งออกจะขยายตัวชะลอลงในครึ่งหลังของปี โดยเดิม
ธปท.ได้คาดการณ์ไว้ว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัว 12-15% แต่จากการที่ครึ่งแรกของปีการส่งออกขยายตัวสูงมากถึง 18% ทำให้ ธปท.คาดการณ์
ว่า ครึ่งหลังของปีการส่งออกน่าจะขยายตัวได้ 9-10% ซึ่งปัจจัยเรื่องค่าเงินบาท น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การส่งออกชะลอตัวลง รวมถึงปัจจัย
ด้านฤดูกาล และปัจจัยด้านการเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งฐานการคำนวณปีก่อนนั้นการส่งออกขยายตัวได้ดี ทั้งนี้ จะนำประเด็นการ
ส่งออกชะลอตัวเข้าเป็นปัจจัยในการพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยของที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในสัปดาห์ด้วย ส่วนนายธนิต โสรัตน์
รองเลขาธิการสายงานเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การส่งออกเดือน ก.ค. เป็นตัวเลขที่ภาคเอกชนไม่ได้มองว่าผิด
ปกติแต่อย่างใด เพราะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า และส่งสัญญาณให้ภาครัฐไปแล้วว่าการส่งออกในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.อาจจะเห็นระดับที่ลดลงมาก
เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1-2 เงินบาทแข็งค่าอย่างมาก ทำให้เอกชนไม่กล้ารับคำสั่งซื้อล่วงหน้าในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. เพราะวิตกว่า
เงินบาทจะแข็งค่าขึ้น แต่หากช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. การส่งออกยังเติบโตน้อยกว่าระดับ 5-6% อาจเป็นการบ่งชี้ว่าการส่งออกของไทย
ประสบปัญหา (ข่าวสด, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, มติชน)
2. ยอดเงินฝากของครัวเรือนไทยในไตรมาสที่ 2 ปี 50 ลดลง รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
ยอดเงินฝากของครัวเรือนไทย สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 50 ลดต่ำลงจากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนว่าเงินออมภาคครัวเรือนลดลง ซึ่งเป็นผลจาก
ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและภาระด้านค่าใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มมากขึ้น จากราคาสินค้าและภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยยอดเงินรับฝาก
จากภาคครัวเรือนของระบบสถาบันการเงินไทยสิ้นเดือน มิ.ย.50 เทียบกับเดือนสิ้นเดือน มี.ค.50 พบว่า ลดลงมากถึง 37,013 ล.บาท
โดยมีจำนวน 5,467,506 ล.บาท จากยอดรับฝาก 5,504,519 ล.บาทในไตรมาสแรก ทั้งนี้ มีการถอนเงินฝากภาคครัวเรือนออกจากระบบ
ธพ.มากที่สุด โดยสิ้นเดือน มิ.ย. มียอดเงินฝากลดลง 37,508 ล.บาท อยู่ที่ 4,370,444 ล.บาท จากจำนวน 4,407,952 ล.บาทใน
ไตรมาสก่อนหน้า (โลกวันนี้)
3. คาดว่าปี 50 กรมสรรพากรจะจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 30,000 ล.บาท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า จากภาวะ
เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรต่ำกว่าเป้าหมาย โดยเฉพาะรายได้ภาษีนิติบุคคลที่คาดว่าทั้งปี
งปม.50 จะจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 10,000 ล.บาท รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งขยายตัวลดลงเหลือ 5-6% จากปีก่อนที่ขยายตัว 7-8%
และการจัดเก็บภาษีปิโตรเลียมได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท ทำให้รายได้ดังกล่าวต่ำกว่าเป้าหมาย 2,000 ล.บาท ดังนั้น คาดว่าในปี 50 นี้
กรมฯ จะจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 30,000 ล.บาท (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
4. ตลาดเชื่อมั่นปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯ ไม่กระทบเศรษฐกิจไทย นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์
ทิสโก้ จำกัด กล่าวในการสัมมนาเรื่อง “ซับไพร์ม เจาะวิกฤตชี้โอกาสตลาดหุ้นไทย” ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ปัญหา
ซับไพร์มในสหรัฐฯ ยังไม่นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ แต่เป็นวิกฤตเงินทุนเคลื่อนย้างครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นผลกระทบทางจิตวิทยาต่อความมั่นใจของนักลงทุน
จึงกระทบต่อตลาดหุ้นไทยและทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไม่น่าจะกระทบเศรษฐกิจไทย เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศมีความแข็งแกร่ง
ด้านนายปริทรรศน์ เหลืองอุทัย กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอสซีบี ควอนท์ จำกัด กล่าวว่า ปัญหาซับไพร์มจะทำให้สถาบัน
การเงินทั่วโลกมีการปล่อยกู้น้อยลง และเป็นผลทำให้ธนาคารในประเทศไทยมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้สภาพคล่อง
ภายในประเทศลดลงตาม ขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ซบเซา อาจจะส่งผลให้การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ชะลอตัวตามด้วย
แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่งและไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก (มติชน, โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าจำนวนคนว่างงานในเยอรมนีในปีหน้าจะลดลงที่ระดับ 3.44 ล้านคน รายงานจากเบอร์ลินเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 50
the Institute for Labour Market Research (IAB) ของเยอรมนีเปิดเผยผลการวิจัยว่า ในปีหน้าผู้ว่างงานในเยอรมนีจะลดลง
จากปีนี้ประมาณ 360,000 คน อยู่ที่ 3.44 ล้านคนลดลงอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 36 ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะเติบโต
ร้อยละ 2.5 และคาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงปีหน้า แม้ว่าการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานและการลดลง
ของอัตราการว่างงานจะเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็ตาม ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับนาย Michael Glos รมว.เศรษฐกิจเยอรมนี
ที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนที่แล้วว่า ในปีหน้าจำนวนผู้ว่างงานในเยอรมนีจะน้อยกว่า 3.5 ล้านคน ทั้งนี้ที่ผ่านมาเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจ
ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปจำนวนคนว่างงานได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีฟื้นตัวจาก
ภาวะชะลอตัวได้ในปีนี้ (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางสหภาพยุโรปไม่ควรขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.นี้ รายงานจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 22 ส.ค.50
Axel Nitschke หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มอุตสาหกรรม DIHK ของเยอรมนี กล่าวว่า ธ.กลางสหภาพยุโรปไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นโยบายในการประชุมเดือน ก.ย.นี้ เนื่องจากมีสัญญาณหลายอย่างแสดงให้เห็นว่าตลาดการเงินที่ผันผวนในระยะนี้จะทำให้อัตราการเติบโต
ของเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่วิกฤตการณ์สินเชื่อด้อยคุณภาพด้านอสังหาริมทรัพย์ของ สรอ. ในปัจจุบันที่มีต่อตลาดการเงินทั่วโลกอาจจะส่งผลกระทบ
ต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก สวนทางกับสมาคมธนาคารของเยอรมนีกล่าวว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจของวิกฤตสินเชื่อดังกล่าวอาจจะอยู่
ในวงจำกัด โดยให้ความเห็นว่ากำไรของบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ดีและเศรษฐกิจโลกยังแข็งแกร่ง รวมทั้งยังมีแหล่งเงินทุนจำนวนมากที่กำลังมอง
หาการลงทุนที่น่าสนใจแม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ในขณะที่ ZEW เปิดเผยผลสำรวจว่าสถานการณ์ความตึงตัวของสินเชื่อทำให้ความเชื่อมั่นของ
นักลงทุนเยอรมนีในเดือน ส.ค. ลดลงอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อ ธ.กลางสหภาพยุโรปให้คงอัตราดอกเบี้ย
ไว้ที่ระดับเดิมในเวลานี้ (รอยเตอร์)
3. คำสั่งซื้อใหม่สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมของ Euro zone ในเดือน มิ.ย.50 ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบรัสเซลส์
เมื่อ 22 ส.ค.50 Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานคำสั่งซื้อใหม่สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมของ 13 ประเทศที่ใช้เงินยูโร
เป็นเงินสกุลหลักเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 ต่อเดือนและร้อยละ 13.8 ต่อปีในเดือน มิ.ย.50 สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ต่อเดือนและ
ร้อยละ 12.4 ต่อปี โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากคำสั่งซื้อในอุตสาหกรรมขนส่ง เช่น เครื่องบิน เรือและรถไฟ ซึ่งขยายตัวถึงร้อยละ 15.7 ต่อเดือน
และร้อยละ 38.6 ต่อปี โดยหากไม่รวมคำสั่งซื้อเครื่องบิน เรือและรถไฟดังกล่าวแล้ว คำสั่งซื้อในเดือน มิ.ย.50 จะขยายตัวเพียง
ร้อยละ 1.4 ต่อเดือนและร้อยละ 7.0 ต่อปี ในขณะที่คำสั่งซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์กลับลดลงร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบต่อเดือนจากผลกระทบ
ของค่าเงินยูโรที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ.แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 เมื่อเทียบต่อปี ทั้งนี้ คำสั่งซื้อของเยอรมนีและฝรั่งเศสซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่
เป็นอันดับที่ 1 และ 2 ตามลำดับขยายตัวในอัตราร้อยละ 19.4 ต่อปี ในขณะที่คำสั่งซื้อของทั้ง 27 ประเทศในสหภาพยุโรปหรือ EU ขยายตัว
ร้อยละ 4.9 ต่อเดือนและร้อยละ 14.0 ต่อปี (รอยเตอร์)
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เทียบต่อปี รายงานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 22 ส.ค.50
รัฐบาลมาเลเซีย เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เทียบต่อปี สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์
คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และนับเป็นการเพิ่มขึ้นหลังจากที่อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปีเมื่อเดือน พ.ค. และ มิ.ย.50 ที่เพิ่มขึ้นเพียง
ร้อยละ 1.4 ขณะที่เมื่อเทียบต่อเดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 (ตัวเลขก่อนปรับปัจจัยทางฤดูกาล) ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภค
ของมาเลเซียเมื่อเทียบต่อปีในเดือน ก.ค.เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาอาหารและยาสูบเพิ่มสูงขึ้น โดยในครึ่งแรกปี 50 ราคาอาหารและยาสูบ
เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.8 และ 6.2 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับราคายาสูบที่เพิ่มสูงขึ้น มีสาเหตุจากการที่ผู้ประกอบการยาสูบ
ปรับเพิ่มราคาในเดือน ก.ค.50 หลังจากที่รัฐบาลมาเลเซียประกาศเพิ่มอัตราภาษียาสูบในไตรมาสที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 23 ส.ค. 50 22 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.522 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.3330/34.6643 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.37250 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 784.43/14.18 679.84/9.2 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,700/10,800 10,650/10,750 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 65.78 66.54 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 28.39*/25.34* 28.39*/25.34* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดสิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 9 ส.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. การส่งออกในเดือน ก.ค.50 ที่ขยายตัวชะลอลงเป็นไปในทิศทางที่ภาครัฐ-เอกชนคาดการณ์ไว้ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่
ก.พาณิชย์แถลงตัวเลขการส่งออกประจำเดือน ก.ค.50 ว่ามีอัตราการขยายตัวเพียง 5.89% จากเดือนก่อนที่ขยายตัว 17.7% ว่า จะนำเข้า
หารือในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมในวันที่ 24 ส.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจภาพรวมอย่างไร คงต้องรอพิจารณาสถานการณ์ต่อไป ด้านปลัด ก.คลัง เปิดเผยว่า การส่งออกที่ปรับตัวลดลง คงต้องติดตามว่าเป็น
เพียงสถานการณ์ชั่วคราวหรือมีแนวโน้มต่อเนื่อง และหากมองในภาพรวมการส่งออกของไทยที่ผ่านมาตลอดปียังเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน นอกจากนี้
นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึง อัตราการส่งออกในเดือน ก.ค.
ที่ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 29 เดือนว่า เป็นไปในทิศทางที่ ธปท.ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าการส่งออกจะขยายตัวชะลอลงในครึ่งหลังของปี โดยเดิม
ธปท.ได้คาดการณ์ไว้ว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัว 12-15% แต่จากการที่ครึ่งแรกของปีการส่งออกขยายตัวสูงมากถึง 18% ทำให้ ธปท.คาดการณ์
ว่า ครึ่งหลังของปีการส่งออกน่าจะขยายตัวได้ 9-10% ซึ่งปัจจัยเรื่องค่าเงินบาท น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การส่งออกชะลอตัวลง รวมถึงปัจจัย
ด้านฤดูกาล และปัจจัยด้านการเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งฐานการคำนวณปีก่อนนั้นการส่งออกขยายตัวได้ดี ทั้งนี้ จะนำประเด็นการ
ส่งออกชะลอตัวเข้าเป็นปัจจัยในการพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยของที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในสัปดาห์ด้วย ส่วนนายธนิต โสรัตน์
รองเลขาธิการสายงานเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การส่งออกเดือน ก.ค. เป็นตัวเลขที่ภาคเอกชนไม่ได้มองว่าผิด
ปกติแต่อย่างใด เพราะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า และส่งสัญญาณให้ภาครัฐไปแล้วว่าการส่งออกในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.อาจจะเห็นระดับที่ลดลงมาก
เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1-2 เงินบาทแข็งค่าอย่างมาก ทำให้เอกชนไม่กล้ารับคำสั่งซื้อล่วงหน้าในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. เพราะวิตกว่า
เงินบาทจะแข็งค่าขึ้น แต่หากช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. การส่งออกยังเติบโตน้อยกว่าระดับ 5-6% อาจเป็นการบ่งชี้ว่าการส่งออกของไทย
ประสบปัญหา (ข่าวสด, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, มติชน)
2. ยอดเงินฝากของครัวเรือนไทยในไตรมาสที่ 2 ปี 50 ลดลง รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
ยอดเงินฝากของครัวเรือนไทย สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 50 ลดต่ำลงจากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนว่าเงินออมภาคครัวเรือนลดลง ซึ่งเป็นผลจาก
ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและภาระด้านค่าใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มมากขึ้น จากราคาสินค้าและภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยยอดเงินรับฝาก
จากภาคครัวเรือนของระบบสถาบันการเงินไทยสิ้นเดือน มิ.ย.50 เทียบกับเดือนสิ้นเดือน มี.ค.50 พบว่า ลดลงมากถึง 37,013 ล.บาท
โดยมีจำนวน 5,467,506 ล.บาท จากยอดรับฝาก 5,504,519 ล.บาทในไตรมาสแรก ทั้งนี้ มีการถอนเงินฝากภาคครัวเรือนออกจากระบบ
ธพ.มากที่สุด โดยสิ้นเดือน มิ.ย. มียอดเงินฝากลดลง 37,508 ล.บาท อยู่ที่ 4,370,444 ล.บาท จากจำนวน 4,407,952 ล.บาทใน
ไตรมาสก่อนหน้า (โลกวันนี้)
3. คาดว่าปี 50 กรมสรรพากรจะจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 30,000 ล.บาท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า จากภาวะ
เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรต่ำกว่าเป้าหมาย โดยเฉพาะรายได้ภาษีนิติบุคคลที่คาดว่าทั้งปี
งปม.50 จะจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 10,000 ล.บาท รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งขยายตัวลดลงเหลือ 5-6% จากปีก่อนที่ขยายตัว 7-8%
และการจัดเก็บภาษีปิโตรเลียมได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท ทำให้รายได้ดังกล่าวต่ำกว่าเป้าหมาย 2,000 ล.บาท ดังนั้น คาดว่าในปี 50 นี้
กรมฯ จะจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 30,000 ล.บาท (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
4. ตลาดเชื่อมั่นปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯ ไม่กระทบเศรษฐกิจไทย นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์
ทิสโก้ จำกัด กล่าวในการสัมมนาเรื่อง “ซับไพร์ม เจาะวิกฤตชี้โอกาสตลาดหุ้นไทย” ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ปัญหา
ซับไพร์มในสหรัฐฯ ยังไม่นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ แต่เป็นวิกฤตเงินทุนเคลื่อนย้างครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นผลกระทบทางจิตวิทยาต่อความมั่นใจของนักลงทุน
จึงกระทบต่อตลาดหุ้นไทยและทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไม่น่าจะกระทบเศรษฐกิจไทย เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศมีความแข็งแกร่ง
ด้านนายปริทรรศน์ เหลืองอุทัย กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอสซีบี ควอนท์ จำกัด กล่าวว่า ปัญหาซับไพร์มจะทำให้สถาบัน
การเงินทั่วโลกมีการปล่อยกู้น้อยลง และเป็นผลทำให้ธนาคารในประเทศไทยมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้สภาพคล่อง
ภายในประเทศลดลงตาม ขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ซบเซา อาจจะส่งผลให้การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ชะลอตัวตามด้วย
แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่งและไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก (มติชน, โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าจำนวนคนว่างงานในเยอรมนีในปีหน้าจะลดลงที่ระดับ 3.44 ล้านคน รายงานจากเบอร์ลินเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 50
the Institute for Labour Market Research (IAB) ของเยอรมนีเปิดเผยผลการวิจัยว่า ในปีหน้าผู้ว่างงานในเยอรมนีจะลดลง
จากปีนี้ประมาณ 360,000 คน อยู่ที่ 3.44 ล้านคนลดลงอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 36 ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะเติบโต
ร้อยละ 2.5 และคาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงปีหน้า แม้ว่าการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานและการลดลง
ของอัตราการว่างงานจะเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็ตาม ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับนาย Michael Glos รมว.เศรษฐกิจเยอรมนี
ที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนที่แล้วว่า ในปีหน้าจำนวนผู้ว่างงานในเยอรมนีจะน้อยกว่า 3.5 ล้านคน ทั้งนี้ที่ผ่านมาเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจ
ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปจำนวนคนว่างงานได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีฟื้นตัวจาก
ภาวะชะลอตัวได้ในปีนี้ (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางสหภาพยุโรปไม่ควรขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.นี้ รายงานจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 22 ส.ค.50
Axel Nitschke หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มอุตสาหกรรม DIHK ของเยอรมนี กล่าวว่า ธ.กลางสหภาพยุโรปไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นโยบายในการประชุมเดือน ก.ย.นี้ เนื่องจากมีสัญญาณหลายอย่างแสดงให้เห็นว่าตลาดการเงินที่ผันผวนในระยะนี้จะทำให้อัตราการเติบโต
ของเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่วิกฤตการณ์สินเชื่อด้อยคุณภาพด้านอสังหาริมทรัพย์ของ สรอ. ในปัจจุบันที่มีต่อตลาดการเงินทั่วโลกอาจจะส่งผลกระทบ
ต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก สวนทางกับสมาคมธนาคารของเยอรมนีกล่าวว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจของวิกฤตสินเชื่อดังกล่าวอาจจะอยู่
ในวงจำกัด โดยให้ความเห็นว่ากำไรของบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ดีและเศรษฐกิจโลกยังแข็งแกร่ง รวมทั้งยังมีแหล่งเงินทุนจำนวนมากที่กำลังมอง
หาการลงทุนที่น่าสนใจแม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ในขณะที่ ZEW เปิดเผยผลสำรวจว่าสถานการณ์ความตึงตัวของสินเชื่อทำให้ความเชื่อมั่นของ
นักลงทุนเยอรมนีในเดือน ส.ค. ลดลงอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อ ธ.กลางสหภาพยุโรปให้คงอัตราดอกเบี้ย
ไว้ที่ระดับเดิมในเวลานี้ (รอยเตอร์)
3. คำสั่งซื้อใหม่สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมของ Euro zone ในเดือน มิ.ย.50 ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบรัสเซลส์
เมื่อ 22 ส.ค.50 Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานคำสั่งซื้อใหม่สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมของ 13 ประเทศที่ใช้เงินยูโร
เป็นเงินสกุลหลักเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 ต่อเดือนและร้อยละ 13.8 ต่อปีในเดือน มิ.ย.50 สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ต่อเดือนและ
ร้อยละ 12.4 ต่อปี โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากคำสั่งซื้อในอุตสาหกรรมขนส่ง เช่น เครื่องบิน เรือและรถไฟ ซึ่งขยายตัวถึงร้อยละ 15.7 ต่อเดือน
และร้อยละ 38.6 ต่อปี โดยหากไม่รวมคำสั่งซื้อเครื่องบิน เรือและรถไฟดังกล่าวแล้ว คำสั่งซื้อในเดือน มิ.ย.50 จะขยายตัวเพียง
ร้อยละ 1.4 ต่อเดือนและร้อยละ 7.0 ต่อปี ในขณะที่คำสั่งซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์กลับลดลงร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบต่อเดือนจากผลกระทบ
ของค่าเงินยูโรที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ.แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 เมื่อเทียบต่อปี ทั้งนี้ คำสั่งซื้อของเยอรมนีและฝรั่งเศสซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่
เป็นอันดับที่ 1 และ 2 ตามลำดับขยายตัวในอัตราร้อยละ 19.4 ต่อปี ในขณะที่คำสั่งซื้อของทั้ง 27 ประเทศในสหภาพยุโรปหรือ EU ขยายตัว
ร้อยละ 4.9 ต่อเดือนและร้อยละ 14.0 ต่อปี (รอยเตอร์)
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เทียบต่อปี รายงานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 22 ส.ค.50
รัฐบาลมาเลเซีย เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เทียบต่อปี สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์
คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และนับเป็นการเพิ่มขึ้นหลังจากที่อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปีเมื่อเดือน พ.ค. และ มิ.ย.50 ที่เพิ่มขึ้นเพียง
ร้อยละ 1.4 ขณะที่เมื่อเทียบต่อเดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 (ตัวเลขก่อนปรับปัจจัยทางฤดูกาล) ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภค
ของมาเลเซียเมื่อเทียบต่อปีในเดือน ก.ค.เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาอาหารและยาสูบเพิ่มสูงขึ้น โดยในครึ่งแรกปี 50 ราคาอาหารและยาสูบ
เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.8 และ 6.2 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับราคายาสูบที่เพิ่มสูงขึ้น มีสาเหตุจากการที่ผู้ประกอบการยาสูบ
ปรับเพิ่มราคาในเดือน ก.ค.50 หลังจากที่รัฐบาลมาเลเซียประกาศเพิ่มอัตราภาษียาสูบในไตรมาสที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 23 ส.ค. 50 22 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.522 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.3330/34.6643 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.37250 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 784.43/14.18 679.84/9.2 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,700/10,800 10,650/10,750 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 65.78 66.54 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 28.39*/25.34* 28.39*/25.34* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดสิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 9 ส.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--