นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่าการค้าระหว่างไทยกับ อาเซียน ปี 2547 มีมูลค่ารวม 21,246 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2546 ซึ่งมีมูลค่า 16,486 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 28.89 สำหรับประเทศที่มีการนำเข้าจากไทยมาก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ตามลำดับ
สำหรับการใช้สิทธิพิเศษภายใต้ CEPT ปี 2547 มีมูลค่า 4,075 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น ร้อยละ 19.18 ของมูลค่าการส่งออกไปอาเซียน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 59.11 เมื่อเทียบกับมูลค่าส่งออก ภายใต้ CEPT ปี 2546 ซึ่งมีมูลค่า 2,561 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ประเทศที่ไทยใช้สิทธิพิเศษฯ ภายใต้ CEPT มากที่สุด คือ อินโดนีเซีย โดยมีมูลค่าการใช้สิทธิพิเศษฯ 3,212 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมา คือ มาเลเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์ ซึ่งมีมูลค่า 1,170 , 630 , 191 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ
สินค้าสำคัญที่ใช้สิทธิ CEPT สูง ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม มีมูลค่าใช้สิทธิพิเศษฯ รวม 3,597.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2546 ซึ่งมีมูลค่า 2,233.23 ล้านเหรียญสหรัฐฯคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 61.09 สินค้าที่มีการใช้สิทธิพิเศษฯ ภายใต้ CEPT สูง ได้แก่ ยานยนต์ ส่วนประกอบยานยนต์ น้ำมันปาล์ม เม็ดพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า
ส่วนสินค้าเกษตรมีมูลค่า 477.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2546 ซึ่งมี มูลค่า 327.45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 45.97
นายราเชนทร์ พจนสุนทร กล่าวเพิ่มเติมว่าในปี 2547 อาเซียนเร่งผลักดันการลดภาษีของประเทศสมาชิกใหม่ 4 ประเทศ เนื่องจากการใช้สิทธิ CEPT ระหว่างสมาชิกอาเซียนเดิมกับสมาชิก อาเซียนใหม่ มีมูลค่าน้อย ทั้งนี้ประเทศเวียดนาม พม่า และกัมพูชา ได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าและระยะเวลาในการลดภาษีของสินค้าในบัญชีลดหย่อนภาษี (IL) ใหม่โดยจะเริ่มต้นในปี 2550 ให้มีอัตราภาษีไม่เกินร้อยละ 20 ปี 2553 อัตราภาษีไม่เกินร้อยละ 5 และในปี 2555 อัตราภาษีทุกรายการจะลดเหลือ 0% จากรายการสินค้าจำนวน 25,845 รายการ เมื่อประเทศสมาชิกอาเซียนใหม่มีอัตราภาษีลดลงจะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้มีการใช้สิทธิไปยังประเทศดังกล่าวมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าการค้าในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นในอนาคต
--กรมการค้าระหว่างประเทศ--
-สส-
สำหรับการใช้สิทธิพิเศษภายใต้ CEPT ปี 2547 มีมูลค่า 4,075 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น ร้อยละ 19.18 ของมูลค่าการส่งออกไปอาเซียน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 59.11 เมื่อเทียบกับมูลค่าส่งออก ภายใต้ CEPT ปี 2546 ซึ่งมีมูลค่า 2,561 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ประเทศที่ไทยใช้สิทธิพิเศษฯ ภายใต้ CEPT มากที่สุด คือ อินโดนีเซีย โดยมีมูลค่าการใช้สิทธิพิเศษฯ 3,212 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมา คือ มาเลเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์ ซึ่งมีมูลค่า 1,170 , 630 , 191 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ
สินค้าสำคัญที่ใช้สิทธิ CEPT สูง ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม มีมูลค่าใช้สิทธิพิเศษฯ รวม 3,597.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2546 ซึ่งมีมูลค่า 2,233.23 ล้านเหรียญสหรัฐฯคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 61.09 สินค้าที่มีการใช้สิทธิพิเศษฯ ภายใต้ CEPT สูง ได้แก่ ยานยนต์ ส่วนประกอบยานยนต์ น้ำมันปาล์ม เม็ดพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า
ส่วนสินค้าเกษตรมีมูลค่า 477.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2546 ซึ่งมี มูลค่า 327.45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 45.97
นายราเชนทร์ พจนสุนทร กล่าวเพิ่มเติมว่าในปี 2547 อาเซียนเร่งผลักดันการลดภาษีของประเทศสมาชิกใหม่ 4 ประเทศ เนื่องจากการใช้สิทธิ CEPT ระหว่างสมาชิกอาเซียนเดิมกับสมาชิก อาเซียนใหม่ มีมูลค่าน้อย ทั้งนี้ประเทศเวียดนาม พม่า และกัมพูชา ได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าและระยะเวลาในการลดภาษีของสินค้าในบัญชีลดหย่อนภาษี (IL) ใหม่โดยจะเริ่มต้นในปี 2550 ให้มีอัตราภาษีไม่เกินร้อยละ 20 ปี 2553 อัตราภาษีไม่เกินร้อยละ 5 และในปี 2555 อัตราภาษีทุกรายการจะลดเหลือ 0% จากรายการสินค้าจำนวน 25,845 รายการ เมื่อประเทศสมาชิกอาเซียนใหม่มีอัตราภาษีลดลงจะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้มีการใช้สิทธิไปยังประเทศดังกล่าวมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าการค้าในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นในอนาคต
--กรมการค้าระหว่างประเทศ--
-สส-