เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้(19 ก.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ กล่าวแถลงถึงกรณีของบริษัทแกรมมี่ ที่พยายามเข้าไปซื้อหุ้นมติชนว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มีข้อสังเกตว่าในช่วงที่มีการพยายามที่จะเข้าไปซื้อหุ้นมติชนจำนวนมาก เพราะหลังจากแจ้งว่าซื้อได้ 30 % ก็จะพยายามที่จะซื้อให้ได้มากขึ้นถึง 75% ซึ่งเท่ากับประมาณ 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวนหุ้นที่จะเข้าไปสามารถบริหารจัดการมติชนได้เลย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้ตั้งข้อสังเกตไปยังตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อจะให้ตรวจสอบและชี้แจงให้สังคมได้รับทราบ โดยตั้งไว้ 3 ประเด็นด้วยกันคือ
ประเด็นแรก คือ มีการซื้อหุ้นเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ 5 % ตามปกติจะต้องมีการรายงานสถิติไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นสิ่งที่อยากให้ตลาดหลักทรัพย์ตรวจสอบและชี้แจง
คือทำไมการซื้อขายหุ้นที่แกรมมี่จะเข้าไปซื้อหุ้นของมติชน จึงไม่ได้มีการรายงานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพราะการซื้อขายหุ้นทุก ๆ 5% จะต้องมีการรายงาน
ประการที่ 2 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้มีการตรวจสอบหรือไม่ว่า ในช่วงปลายเดือน สิงหาคม ก่อนที่จะมีการซื้อหุ้นมติชนจากแกรมมี่ ได้มีความพยายามใช้ข้อมูลภายในหรือเรียกว่า Insider Trading กันหรือไม่ จึงทำให้หุ้นของมติชน ซึ่งปกติอยู่ในระดับกลาง ๆ ช่วงปลายเดือนสิงหาคมขึ้นไปถึง 42 %ในตลาดหลักทรัพย์
ประการที่ 3 จากที่มีการประกาศว่ามีการเข้าไปซื้อหุ้นมติชนจำนวนมาก และมีการประกาศว่าจะตั้งโต๊ะซื้อหุ้นแข่งขัน เพื่อให้แต่ละฝ่ายมีหุ้นอยู่ในมือจำนวนมาก สิ่งที่อยากจะให้ตลาดหลักทรัพย์ ฯ ชี้แจงก็คือ ขณะนั้นเองทำไมไม่มีการขึ้นป้าย SP (ป้ายห้ามการซื้อขายหุ้น) การประกาศขึ้นป้ายช้าเกินไปจะส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อรายย่อยจำนวนหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะว่าราคาจะมีการขยับสูงขึ้นไป ทำให้ผู้ซื้อรายย่อยจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยเข้าไปซื้อเพิ่มมากขึ้น โดยไม่ทราบข้อมูลที่แท้จริง
‘นี่ก็เป็น 3 ข้อที่อยากจะฝากไปยังตลาดหลักทรัพย์ ฯ ให้ช่วยตรวจสอบและชี้แจงในเรื่องนี้ เพราะผมคิดว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องมีมาตรฐานเพียงพอ ในการเป็นตัวกลางเพื่อที่จะให้ความเป็นธรรมต่อนักลงทุนทุก ๆ ส่วน’ นายองอาจกล่าว
นายองอาจ กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นจากการแถลงข่าวของทางฝ่ายแกรมมี่ที่แสดงออกชัดเจนตั้งแต่ตอนเริ่มต้นกรณีที่ระบุว่าต้องการเข้าไปถือหุ้นใหญ่ในมติชน แต่ขณะนี้ปรากฎว่ามีความพยายามถอยลงมา 1 ก้าว คือ ถือหุ้นไม่เกิน 20% ในประเด็นนี้ตนคิดว่าคงจะต้องมี องค์การ หรือมีกลุ่มบุคคล เช่นองค์กรเกี่ยวกับทางด้านสื่อสารมวลชน หรือองค์การประเภทคุ้มครองผู้บริโภค ควรมาจับมือรวมกันเพื่อที่จะทำการเฝ้าระวังไม่ให้มีการรุกคืบเข้าไปซื้อหุ้นด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ตัวแทนหรือเรียกว่า Dominee เข้าไปซื้อหุ้นในรูปแบบลักษณะต่าง ๆ และตนคิดว่าถ้าองค์กรจะพัฒนาไปในทางที่ดี ก็จะต้องไม่ใช่ดีเฉพาะองค์กร หรือดีเฉพาะเอกชนเท่านั้น แต่ธุรกิจในลักษณะนี้ ธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กับสังคมและชุมชน จะต้องดีต่อชุมชนด้วย ดังนั้นตนคิดว่าประเด็นนี้จะต้องมีการเฝ้าระวังกันเกิดขึ้น
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่ทางแกรมมี่ออกมาประกาศต่อสาธารณชนว่า จะถือหุ้นไม่เกิน 20 % ตนคิดว่าประเด็นนี้ไม่ควรที่จะเป็นออกมาแถลงชี้แจงอย่างเดียว แต่ควรปฏิบัติให้เป็นจริงโดยมีวิธีการที่สามารถปฏิบัติได้ ด้วยการให้ทำข้อตกลง ผู้ถือหุ้น และไปจดทะเบียนที่กรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ หรือกรมทะเบียนการค้าเดิม โดยใช้ข้อตกลงของผู้ถือหุ้นให้เป็นส่วนหนึ่งในข้อบังคับของบริษัท ที่เคยบอกว่าจะถือหุ้นไม่เกิน 20% ให้เป็นข้อบังคับของบริษัทแล้วไปจดทะเบียนกันไว้ที่กรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ การจะถือหุ้นไม่เกิน 20% ต้องมีในข้อบังคับ หรือว่าข้อตกลงที่จะทำกันควรจะระบุชัดเจนว่า ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
‘ถ้าไม่ระบุตรงนี้อาจจะมีการใช้ไหว้วาน หรือตั้งตัวแทนเข้าไปซื้อหุ้นรายย่อยจำนวนมาก แล้วก็มาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เกิน 20% หรืออาจจะไปถึง 70 — 80 % ตามที่ได้เคยประกาศไว้ตั้งแต่ต้นได้ อันนี้ก็เป็นทางมองอีกทางหนึ่ง เพื่อที่จะป้องกันการเข้ามาฮุบสื่อสารมวลชนเอกชนที่เป็นอิสระ อย่างไรก็ดีผมคิดว่าวันพรุ่งนี้ท่านนายกก็จะเดินทางกลับมาประเทศไทย จากการที่ไปที่สหรัฐอเมริกา หลังขจากที่ท่านนายกได้ไปกล่าวปราศรัยในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เรียกร้องให้นานาประเทศมีการแข่งขันกันอย่างเสรี และแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม ส่วนของพรรคประชาธิปัตย์อยากจะขอท่านนายกว่า ท่านนายกไม่ควรที่จะไปพูดกล่าวเรียกร้องประเทศต่าง ๆ ในประชาคมนานาชาติที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติแต่เพียงอย่างเดียว แต่ผมคิดว่าท่านนายกควรกลับมามองประเทศไทยของเราด้วย ประเทศไทยของท่านและของพวกผมด้วยว่าการแข่งขันในประเทศไทยของเรา แข่งขันกันอย่างเสรีจริงหรือไม่ และมีคุณธรรมมีความเป็นธรรมแล้วหรือยัง’โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 ก.ย. 2548--จบ--
ประเด็นแรก คือ มีการซื้อหุ้นเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ 5 % ตามปกติจะต้องมีการรายงานสถิติไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นสิ่งที่อยากให้ตลาดหลักทรัพย์ตรวจสอบและชี้แจง
คือทำไมการซื้อขายหุ้นที่แกรมมี่จะเข้าไปซื้อหุ้นของมติชน จึงไม่ได้มีการรายงานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพราะการซื้อขายหุ้นทุก ๆ 5% จะต้องมีการรายงาน
ประการที่ 2 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้มีการตรวจสอบหรือไม่ว่า ในช่วงปลายเดือน สิงหาคม ก่อนที่จะมีการซื้อหุ้นมติชนจากแกรมมี่ ได้มีความพยายามใช้ข้อมูลภายในหรือเรียกว่า Insider Trading กันหรือไม่ จึงทำให้หุ้นของมติชน ซึ่งปกติอยู่ในระดับกลาง ๆ ช่วงปลายเดือนสิงหาคมขึ้นไปถึง 42 %ในตลาดหลักทรัพย์
ประการที่ 3 จากที่มีการประกาศว่ามีการเข้าไปซื้อหุ้นมติชนจำนวนมาก และมีการประกาศว่าจะตั้งโต๊ะซื้อหุ้นแข่งขัน เพื่อให้แต่ละฝ่ายมีหุ้นอยู่ในมือจำนวนมาก สิ่งที่อยากจะให้ตลาดหลักทรัพย์ ฯ ชี้แจงก็คือ ขณะนั้นเองทำไมไม่มีการขึ้นป้าย SP (ป้ายห้ามการซื้อขายหุ้น) การประกาศขึ้นป้ายช้าเกินไปจะส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อรายย่อยจำนวนหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะว่าราคาจะมีการขยับสูงขึ้นไป ทำให้ผู้ซื้อรายย่อยจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยเข้าไปซื้อเพิ่มมากขึ้น โดยไม่ทราบข้อมูลที่แท้จริง
‘นี่ก็เป็น 3 ข้อที่อยากจะฝากไปยังตลาดหลักทรัพย์ ฯ ให้ช่วยตรวจสอบและชี้แจงในเรื่องนี้ เพราะผมคิดว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องมีมาตรฐานเพียงพอ ในการเป็นตัวกลางเพื่อที่จะให้ความเป็นธรรมต่อนักลงทุนทุก ๆ ส่วน’ นายองอาจกล่าว
นายองอาจ กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นจากการแถลงข่าวของทางฝ่ายแกรมมี่ที่แสดงออกชัดเจนตั้งแต่ตอนเริ่มต้นกรณีที่ระบุว่าต้องการเข้าไปถือหุ้นใหญ่ในมติชน แต่ขณะนี้ปรากฎว่ามีความพยายามถอยลงมา 1 ก้าว คือ ถือหุ้นไม่เกิน 20% ในประเด็นนี้ตนคิดว่าคงจะต้องมี องค์การ หรือมีกลุ่มบุคคล เช่นองค์กรเกี่ยวกับทางด้านสื่อสารมวลชน หรือองค์การประเภทคุ้มครองผู้บริโภค ควรมาจับมือรวมกันเพื่อที่จะทำการเฝ้าระวังไม่ให้มีการรุกคืบเข้าไปซื้อหุ้นด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ตัวแทนหรือเรียกว่า Dominee เข้าไปซื้อหุ้นในรูปแบบลักษณะต่าง ๆ และตนคิดว่าถ้าองค์กรจะพัฒนาไปในทางที่ดี ก็จะต้องไม่ใช่ดีเฉพาะองค์กร หรือดีเฉพาะเอกชนเท่านั้น แต่ธุรกิจในลักษณะนี้ ธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กับสังคมและชุมชน จะต้องดีต่อชุมชนด้วย ดังนั้นตนคิดว่าประเด็นนี้จะต้องมีการเฝ้าระวังกันเกิดขึ้น
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่ทางแกรมมี่ออกมาประกาศต่อสาธารณชนว่า จะถือหุ้นไม่เกิน 20 % ตนคิดว่าประเด็นนี้ไม่ควรที่จะเป็นออกมาแถลงชี้แจงอย่างเดียว แต่ควรปฏิบัติให้เป็นจริงโดยมีวิธีการที่สามารถปฏิบัติได้ ด้วยการให้ทำข้อตกลง ผู้ถือหุ้น และไปจดทะเบียนที่กรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ หรือกรมทะเบียนการค้าเดิม โดยใช้ข้อตกลงของผู้ถือหุ้นให้เป็นส่วนหนึ่งในข้อบังคับของบริษัท ที่เคยบอกว่าจะถือหุ้นไม่เกิน 20% ให้เป็นข้อบังคับของบริษัทแล้วไปจดทะเบียนกันไว้ที่กรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ การจะถือหุ้นไม่เกิน 20% ต้องมีในข้อบังคับ หรือว่าข้อตกลงที่จะทำกันควรจะระบุชัดเจนว่า ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
‘ถ้าไม่ระบุตรงนี้อาจจะมีการใช้ไหว้วาน หรือตั้งตัวแทนเข้าไปซื้อหุ้นรายย่อยจำนวนมาก แล้วก็มาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เกิน 20% หรืออาจจะไปถึง 70 — 80 % ตามที่ได้เคยประกาศไว้ตั้งแต่ต้นได้ อันนี้ก็เป็นทางมองอีกทางหนึ่ง เพื่อที่จะป้องกันการเข้ามาฮุบสื่อสารมวลชนเอกชนที่เป็นอิสระ อย่างไรก็ดีผมคิดว่าวันพรุ่งนี้ท่านนายกก็จะเดินทางกลับมาประเทศไทย จากการที่ไปที่สหรัฐอเมริกา หลังขจากที่ท่านนายกได้ไปกล่าวปราศรัยในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เรียกร้องให้นานาประเทศมีการแข่งขันกันอย่างเสรี และแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม ส่วนของพรรคประชาธิปัตย์อยากจะขอท่านนายกว่า ท่านนายกไม่ควรที่จะไปพูดกล่าวเรียกร้องประเทศต่าง ๆ ในประชาคมนานาชาติที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติแต่เพียงอย่างเดียว แต่ผมคิดว่าท่านนายกควรกลับมามองประเทศไทยของเราด้วย ประเทศไทยของท่านและของพวกผมด้วยว่าการแข่งขันในประเทศไทยของเรา แข่งขันกันอย่างเสรีจริงหรือไม่ และมีคุณธรรมมีความเป็นธรรมแล้วหรือยัง’โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 ก.ย. 2548--จบ--