ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.มั่นใจฐานะการเงิน บค. และ บง.ไม่สร้างปัญหาให้ระบบสถาบันการเงินโดยรวม ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบัน
การเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงฐานะการเงินและการดำเนินงานของธุรกิจบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (บค.) จากข้อมูล
ล่าสุด ณ สิ้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาจะมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) สูงถึงร้อยละ 66.88 ของสินเชื่อรวม หรือคิดเป็นจำนวนเงิน
289.13 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสะสม ณ สิ้นปีที่ผ่านมา 168.2 ล้านบาทว่า เท่าที่ ธปท.ได้เข้าไปติดตามและตรวจสอบธุรกิจ บค.ยังคง
มีฐานะการเงินที่ดี เนื่องจากตามปกติแล้ว การดูแลฐานะของสถาบันการเงินคงจะดูแต่หนี้เอ็นพีแอลไม่ได้ จะต้องดูว่าประเภทสถาบันการเงิน
ใดมีการกันสำรองหนี้เอ็นพีแอลไว้ครบถ้วนหรือมากกว่าหรือไม่ สำหรับฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของระบบบริษัทเงินทุน (บง.) นั้น
ในปัจจุบันมี บง.เหลือเพียง 5 แห่ง ซึ่งในขณะนี้ยังมีฐานะที่จะดำเนินการต่อไปได้เช่นกัน ทั้งนี้ ในปัจจุบันระบบสถาบันการเงินมีเอ็นพีแอล
ทั้งสิ้น 254,510.23 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.41 ของสินเชื่อรวม (ผู้จัดการรายวัน, แนวหน้า)
2. เครื่องชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์ไทยในเดือน พ.ค.50 หดตัวลงทุกรายการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุในรายงาน
เศรษฐกิจและการเงินว่า ภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือน พ.ค.50 ยังคงซบเซา โดยเห็นได้จากเครื่องชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวลงทุกรายการ
โดยเฉพาะพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลที่มีจำนวน 1,422,000 ตารางเมตร ลดลงจากปีก่อนสูงถึงร้อยละ 46.2 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็น
ผลจากฐานการคำนวณในปีก่อนที่มีการเร่งอนุญาตก่อสร้างก่อนที่จะประกาศใช้กฎหมายผังเมืองฉบับใหม่ โดยในส่วนของพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้าง
ประเภทที่อยู่อาศัยก็มีจำนวนลดลงเช่นกัน โดยพื้นที่รับก่อสร้างที่อยู่อาศัยในเขตเทศบาลทั้งประเทศ มีจำนวน 1,007,000 ตารางเมตร ลดลง
จากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 44.9 ส่วนพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งมีจำนวน 488,000 ตารางเมตร
ปรับลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 62.4 ด้านมูลค่าการซื้อขายที่ดินทั้งประเทศ ซึ่งมีมูลค่า 47,080 ล้านบาท ก็ปรับลดลงจากปีก่อน
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.8 สอดคล้องกับจำนวนรายการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั่วประเทศที่มีจำนวน 71,618 รายการ ปรับลดลง
ร้อยละ 4.9 จากปีก่อน สะท้อนในเห็นถึงความต้องการที่ลดลง เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง (กรุงเทพธุรกิจ)
3. ดัชนีความเชื่อมั่น TSSI SMEs เดือน มิ.ย.50 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 43.6 ผอ.สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและ
ขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ (Trade & amp : Service Sentiment
Index : TSSI) ประจำเดือน มิ.ย.50 เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ดัชนี TSSI SMEs รวมภาคการค้าและบริการ ปรับตัวลดลง
เล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 43.6 จากระดับ 43.7 เช่นเดียวกับภาคค้าส่งและค้าปลีก ซึ่งปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 43.2 จากระดับ 44.4 ขณะที่ภาคบริการ
ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 44.0 จากระดับ 42.8 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และความเชื่อมั่นต่อธุรกิจตนเองปรับตัวลดลง
มาอยู่ที่ระดับ 30.9 และ 39.7 จากระดับ 32.5 และ 41.6 ตามลำดับ โดยในภาคบริการซึ่งมีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากธุรกิจการ
การท่องเที่ยวและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง คือ โรงแรม เกสต์เฮาส์ บังกะโล และร้านอาหารและภัตตาคาร มีค่าดัชนีเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับ
สาขาธุรกิจอื่น ๆ ทั้งที่อยู่ในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวสำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า พบว่ามีค่าดัชนีปรับตัวลดลง โดยภาคการค้าและ
บริการ ภาคการส่งและค้าปลีกและภาคบริการ ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 45.3 45.4 และ 45.2 จากระดับ 47.9 48.7 และ 46.7 ตามลำดับ
โดยค่าดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 แสดงว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจในระดับที่ไม่ดีนักเช่นเดียวกับความเชื่อมั่นในเดือน
ปัจจุบัน (ผู้จัดการรายวัน)
4. กองทุนน้ำมันจะสามารถชำระหนี้เงินกู้ที่ค้างอยู่ 1.7 หมื่นล้านบาทได้หมดภายในเดือน ส.ค.50 ผอ.สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
(สบพ.) กล่าวว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะสามารถชำระหนี้เงินกู้ของสถาบันการเงินที่ยังค้างอยู่ 1.7 หมื่นล้านบาทได้หมดภายในเดือน ส.ค.นี้
เนื่องจากกองทุนสะสมรายได้เป็นไปตามเป้าหมายเฉลี่ย 3.6-3.7 พันล้านบาท จากการเรียกเก็บส่งเข้ากองทุนของเบนซิน 3.40 บาทต่อลิตร
และดีเซล 1.50 บาทต่อลิตร โดยปัจจุบันกองทุนน้ำมันมีรายรับมากกว่ารายจ่ายเฉลี่ย 800 ล้านบาทต่อเดือน นอกจากนี้ หากรัฐบาลประกาศ
ปล่อยลอยตัวราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) จะทำให้สามารถชำระหนี้การชดเชยราคาแอลพีจีในส่วนที่ค้างจ่ายเกือบ 1 หมื่นล้านบาทได้เร็วขึ้น
ซึ่งในภาพรวมแล้ว ฐานะกองทุนจะสามารถไถ่ถอนพันธบัตรได้ภายในสิ้นปีนี้ จากนั้นตั้งแต่เดือน ม.ค.50 ฐานะเงินกองทุนน้ำมันจะเป็นบวก
ไม่มีภาระหนี้ ด้านอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ธพ.) กล่าวว่า การใช้พลังงานในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย.50 พบว่าปริมาณการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์
ขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยมียอดการใช้วันละ 3.9 ล้านลิตร แต่เฉพาะเดือน มิ.ย.มีอัตราการใช้สูงที่สุดวันละ 4.7 ล้านลิตร
เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.8 เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดการใช้เบนซิน 95 กลับลดลง โดยยอดการใช้เดือน มิ.ย.อยู่ที่วันละ 3.1 ล้านลิตร ลดลง
เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่มียอดการใช้ 3.8 ล้านลิตร และลดลงถึงร้อยละ 22.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราการจ้างงานของ สรอ. ในเดือน ก.ค. ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 เดือน รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศ สรอ.
เมื่อวันที่ 3 ส.ค.50 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า อัตราการว่างงานของ สรอ. ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เนื่องจากอัตรา
การจ้างงานขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 เดือน และรัฐบาลลดการจ้างงานลงเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปีครึ่ง รวมทั้งมีสัญญาณอื่นที่แสดงให้เห็นว่า
มีการจ้างงานลดลง โดย Institute for Supply Management รายงานว่าภาคการบริการขยายตัวลดลงมากในเดือน ก.ค. ทำให้
ดัชนีภาคการบริการลดลงไปอยู่ที่ระดับ 55.8 จาก 60.7 ในเดือน มิ.ย. ในขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็มีปัญหาเช่นกันโดยมีการผิด
นัดจำนองเพิ่มขึ้นและราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองจำนวนมากเริ่มลดลง ทำให้ธุรกิจการก่อสร้างปรับลดจำนวนการจ้างงานลง 12,000 อัตรา
ในเดือน มิ.ย. สำหรับในภาพรวมมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 92,000 อัตรา ในเดือน ก.ค. และคาดว่าจะมีการปรับลดตัวเลขการจ้างงานใหม่
ในแต่ละเดือนของสองเดือนก่อนหน้าด้วย โดยคาดว่าจะลดลงเหลือ 126,000 อัตรา ในเดือน มิ.ย. จากเดิมที่รายงานไว้ 132,000 อัตรา
และ 188,000 อัตรา ในเดือน พ.ค. จากเดิม 190,000 อัตรา ทั้งนี้ ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเริ่มสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน
ว่าปัญหาการปล่อยสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์อาจจะรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ (รอยเตอร์)
2. ยอดขายปลีกของยูโรโซนในเดือน มิ.ย.50 ขยายตัวชะลอลงร้อยละ 0.4 เทียบต่อเดือน รายงานจากบรัสเซลส์เมื่อ
3 ส.ค.50 European Union statistics office (Eurostat) เปิดเผยว่า ยอดขายปลีกของ 13 ประเทศเขตเศรษฐกิจยุโรปที่
ใช้เงินสกุลยูโร (ยูโรโซน) ในเดือน มิ.ย.50 ขยายตัวร้อยละ 0.4 เทียบต่อเดือน และขยายตัวร้อยละ 0.9 เมื่อเทียบต่อปี ต่ำกว่า
การคาดการณ์ของตลาดซึ่งคาดว่ายอดขายปลีกจะขยายตัวร้อยละ 0.7 และ 1.4 เมื่อเทียบต่อเดือนและเทียบต่อปีตามลำดับ โดยการที่
ยอดขายปลีกของยูโรโซนขยายตัวชะลอลงมีสาเหตุหลักจากยอดขายปลีกของเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซน
ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยในเดือน มิ.ย.50 ยอดขายปลีกของเยอรมนีลดลงร้อยละ 2.5 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 2.4 ในเดือนก่อนหน้า
นอกจากนี้ Eurostat ได้ปรับตัวเลขยอดขายปลีกในเดือน พ.ค.50 เป็นลดลงร้อยละ 0.7 เทียบต่อเดือน และเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1
เมื่อเทียบต่อปี อย่างไรก็ตาม บรรดานักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า แม้ว่ายอดขายปลีกของยูโรโซน ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความต้องการโดยรวม
ของผู้บริโภคและเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จะสะท้อนทิศทางที่ไม่ดีนัก แต่หากพิจารณาจากตัวเลขรายไตรมาส
พบว่ายอดขายปลีกในช่วงไตรมาสที่ 2 ยังคงขยายตัวดีขึ้นกว่าช่วงไตรมาสแรกของปี (รอยเตอร์)
3. ในเดือน ก.ค.50 ภาคบริการของอังกฤษขยายตัวในอัตราต่ำสุดในรอบเกือบ 1 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 3 ส.ค.50
ดัชนีชี้วัดภาคบริการของอังกฤษจากผลสำรวจโดยสถาบันเพื่อการจัดซื้อและจัดหาและ NTC ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 57.0 ในเดือน ก.ค.50 จากระดับ
57.7 ในเดือน มิ.ย.50 อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย.49 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 57.5 แต่ยังอยู่ในระดับ
สูงกว่า 50 ซึ่งแสดงถึงการขยายตัว เช่นเดียวกับดัชนีชี้วัดราคาสินค้าหน้าโรงงานที่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 52.2 จากระดับ 53.3 ในเดือนก่อน
จากการที่ธุรกิจพบว่าเป็นการยากขึ้นที่จะขึ้นราคาสินค้าในช่วงนี้ แต่อย่างไรก็ดี ดัชนีชี้วัดราคาวัตถุดิบยังคงอยู่ในระดับสูงโดยอยู่ที่ระดับ 58.3
ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 58.8 ในเดือนก่อน ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เกรงว่า ธ.กลางอังกฤษอาจใช้เป็นข้ออ้างในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
ภายในปีนี้ ทั้งนี้ ตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.0 ต่อปีในเดือน ต.ค.50 ที่จะถึงนี้ หากรายงานของ
ธ.กลางอังกฤษที่จะออกมาในสัปดาห์หน้าแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอตัวลง (รอยเตอร์)
4. จีนยังมีความจำเป็นต้องอาศัยเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 50
สำนักข่าว Xinhua เปิดเผยว่า นาย Jiang Zengwei รอง รมว.พาณิชย์ของจีน กล่าวว่านโยบายที่ต้องการเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
(Foreign Direct Investment - FDI) ของจีนยังมีความจำเป็นแม้ว่าที่ผ่านมาจีนได้คัดเลือกโครงการลงทุนที่ดี โดยจำกัดการลงทุนใน
อุตสาหกรรมที่มีมลพิษ อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูง และอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำก็ตาม ทั้งนี้ในแต่ละสัปดาห์ ประเทศจีนยังคงดึงดูด FDI
ได้มากกว่า 1 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่าเงินลงทุนไหลเข้าดังกล่าวอาจจะลดลง เนื่องจากทางการจีน
ยังคงเพิ่มระดับของคุณภาพการลงทุนจากต่างประเทศและผลักดันให้มีการลงทุนในภาคที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น อาทิภาค finance และ logistics
โดยมีการตรวจสอบการลงทุนอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามนาย Jiang Zengwei กล่าวว่าหากเปรียบเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันแล้วจีนมี
FDI ค่อนข้างน้อย โดยในปี 49 มี FDI ในภาค non — financial 69.5 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. หรือคิดเป็นร้อยละ 6 ของ FDI ทั่วโลก
และหากเทียบต่อหัวแล้วจะมีจำนวนเพียง 53 ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งน้อยกว่า 1 ใน 3 ของค่าเฉลี่ย FDI ของโลก หรือประมาณ 1/12 ของ
ค่าเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งแรกปีนี้จีนมี FDI 31.9 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน
ปีก่อนหน้าร้อยละ 12.17 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 6 ส.ค. 50 3 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.854 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6233/33.1646 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39500 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 837.73/19.94 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,700/10,800 10,600/10,700 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 70.09 69.86 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 28.79*/25.74** 29.19/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 4 ส.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 11 ก.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.มั่นใจฐานะการเงิน บค. และ บง.ไม่สร้างปัญหาให้ระบบสถาบันการเงินโดยรวม ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบัน
การเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงฐานะการเงินและการดำเนินงานของธุรกิจบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (บค.) จากข้อมูล
ล่าสุด ณ สิ้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาจะมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) สูงถึงร้อยละ 66.88 ของสินเชื่อรวม หรือคิดเป็นจำนวนเงิน
289.13 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสะสม ณ สิ้นปีที่ผ่านมา 168.2 ล้านบาทว่า เท่าที่ ธปท.ได้เข้าไปติดตามและตรวจสอบธุรกิจ บค.ยังคง
มีฐานะการเงินที่ดี เนื่องจากตามปกติแล้ว การดูแลฐานะของสถาบันการเงินคงจะดูแต่หนี้เอ็นพีแอลไม่ได้ จะต้องดูว่าประเภทสถาบันการเงิน
ใดมีการกันสำรองหนี้เอ็นพีแอลไว้ครบถ้วนหรือมากกว่าหรือไม่ สำหรับฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของระบบบริษัทเงินทุน (บง.) นั้น
ในปัจจุบันมี บง.เหลือเพียง 5 แห่ง ซึ่งในขณะนี้ยังมีฐานะที่จะดำเนินการต่อไปได้เช่นกัน ทั้งนี้ ในปัจจุบันระบบสถาบันการเงินมีเอ็นพีแอล
ทั้งสิ้น 254,510.23 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.41 ของสินเชื่อรวม (ผู้จัดการรายวัน, แนวหน้า)
2. เครื่องชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์ไทยในเดือน พ.ค.50 หดตัวลงทุกรายการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุในรายงาน
เศรษฐกิจและการเงินว่า ภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือน พ.ค.50 ยังคงซบเซา โดยเห็นได้จากเครื่องชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวลงทุกรายการ
โดยเฉพาะพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลที่มีจำนวน 1,422,000 ตารางเมตร ลดลงจากปีก่อนสูงถึงร้อยละ 46.2 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็น
ผลจากฐานการคำนวณในปีก่อนที่มีการเร่งอนุญาตก่อสร้างก่อนที่จะประกาศใช้กฎหมายผังเมืองฉบับใหม่ โดยในส่วนของพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้าง
ประเภทที่อยู่อาศัยก็มีจำนวนลดลงเช่นกัน โดยพื้นที่รับก่อสร้างที่อยู่อาศัยในเขตเทศบาลทั้งประเทศ มีจำนวน 1,007,000 ตารางเมตร ลดลง
จากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 44.9 ส่วนพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งมีจำนวน 488,000 ตารางเมตร
ปรับลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 62.4 ด้านมูลค่าการซื้อขายที่ดินทั้งประเทศ ซึ่งมีมูลค่า 47,080 ล้านบาท ก็ปรับลดลงจากปีก่อน
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.8 สอดคล้องกับจำนวนรายการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั่วประเทศที่มีจำนวน 71,618 รายการ ปรับลดลง
ร้อยละ 4.9 จากปีก่อน สะท้อนในเห็นถึงความต้องการที่ลดลง เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง (กรุงเทพธุรกิจ)
3. ดัชนีความเชื่อมั่น TSSI SMEs เดือน มิ.ย.50 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 43.6 ผอ.สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและ
ขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ (Trade & amp : Service Sentiment
Index : TSSI) ประจำเดือน มิ.ย.50 เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ดัชนี TSSI SMEs รวมภาคการค้าและบริการ ปรับตัวลดลง
เล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 43.6 จากระดับ 43.7 เช่นเดียวกับภาคค้าส่งและค้าปลีก ซึ่งปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 43.2 จากระดับ 44.4 ขณะที่ภาคบริการ
ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 44.0 จากระดับ 42.8 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และความเชื่อมั่นต่อธุรกิจตนเองปรับตัวลดลง
มาอยู่ที่ระดับ 30.9 และ 39.7 จากระดับ 32.5 และ 41.6 ตามลำดับ โดยในภาคบริการซึ่งมีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากธุรกิจการ
การท่องเที่ยวและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง คือ โรงแรม เกสต์เฮาส์ บังกะโล และร้านอาหารและภัตตาคาร มีค่าดัชนีเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับ
สาขาธุรกิจอื่น ๆ ทั้งที่อยู่ในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวสำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า พบว่ามีค่าดัชนีปรับตัวลดลง โดยภาคการค้าและ
บริการ ภาคการส่งและค้าปลีกและภาคบริการ ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 45.3 45.4 และ 45.2 จากระดับ 47.9 48.7 และ 46.7 ตามลำดับ
โดยค่าดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 แสดงว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจในระดับที่ไม่ดีนักเช่นเดียวกับความเชื่อมั่นในเดือน
ปัจจุบัน (ผู้จัดการรายวัน)
4. กองทุนน้ำมันจะสามารถชำระหนี้เงินกู้ที่ค้างอยู่ 1.7 หมื่นล้านบาทได้หมดภายในเดือน ส.ค.50 ผอ.สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
(สบพ.) กล่าวว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะสามารถชำระหนี้เงินกู้ของสถาบันการเงินที่ยังค้างอยู่ 1.7 หมื่นล้านบาทได้หมดภายในเดือน ส.ค.นี้
เนื่องจากกองทุนสะสมรายได้เป็นไปตามเป้าหมายเฉลี่ย 3.6-3.7 พันล้านบาท จากการเรียกเก็บส่งเข้ากองทุนของเบนซิน 3.40 บาทต่อลิตร
และดีเซล 1.50 บาทต่อลิตร โดยปัจจุบันกองทุนน้ำมันมีรายรับมากกว่ารายจ่ายเฉลี่ย 800 ล้านบาทต่อเดือน นอกจากนี้ หากรัฐบาลประกาศ
ปล่อยลอยตัวราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) จะทำให้สามารถชำระหนี้การชดเชยราคาแอลพีจีในส่วนที่ค้างจ่ายเกือบ 1 หมื่นล้านบาทได้เร็วขึ้น
ซึ่งในภาพรวมแล้ว ฐานะกองทุนจะสามารถไถ่ถอนพันธบัตรได้ภายในสิ้นปีนี้ จากนั้นตั้งแต่เดือน ม.ค.50 ฐานะเงินกองทุนน้ำมันจะเป็นบวก
ไม่มีภาระหนี้ ด้านอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ธพ.) กล่าวว่า การใช้พลังงานในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย.50 พบว่าปริมาณการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์
ขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยมียอดการใช้วันละ 3.9 ล้านลิตร แต่เฉพาะเดือน มิ.ย.มีอัตราการใช้สูงที่สุดวันละ 4.7 ล้านลิตร
เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.8 เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดการใช้เบนซิน 95 กลับลดลง โดยยอดการใช้เดือน มิ.ย.อยู่ที่วันละ 3.1 ล้านลิตร ลดลง
เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่มียอดการใช้ 3.8 ล้านลิตร และลดลงถึงร้อยละ 22.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราการจ้างงานของ สรอ. ในเดือน ก.ค. ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 เดือน รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศ สรอ.
เมื่อวันที่ 3 ส.ค.50 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า อัตราการว่างงานของ สรอ. ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เนื่องจากอัตรา
การจ้างงานขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 เดือน และรัฐบาลลดการจ้างงานลงเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปีครึ่ง รวมทั้งมีสัญญาณอื่นที่แสดงให้เห็นว่า
มีการจ้างงานลดลง โดย Institute for Supply Management รายงานว่าภาคการบริการขยายตัวลดลงมากในเดือน ก.ค. ทำให้
ดัชนีภาคการบริการลดลงไปอยู่ที่ระดับ 55.8 จาก 60.7 ในเดือน มิ.ย. ในขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็มีปัญหาเช่นกันโดยมีการผิด
นัดจำนองเพิ่มขึ้นและราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองจำนวนมากเริ่มลดลง ทำให้ธุรกิจการก่อสร้างปรับลดจำนวนการจ้างงานลง 12,000 อัตรา
ในเดือน มิ.ย. สำหรับในภาพรวมมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 92,000 อัตรา ในเดือน ก.ค. และคาดว่าจะมีการปรับลดตัวเลขการจ้างงานใหม่
ในแต่ละเดือนของสองเดือนก่อนหน้าด้วย โดยคาดว่าจะลดลงเหลือ 126,000 อัตรา ในเดือน มิ.ย. จากเดิมที่รายงานไว้ 132,000 อัตรา
และ 188,000 อัตรา ในเดือน พ.ค. จากเดิม 190,000 อัตรา ทั้งนี้ ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเริ่มสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน
ว่าปัญหาการปล่อยสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์อาจจะรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ (รอยเตอร์)
2. ยอดขายปลีกของยูโรโซนในเดือน มิ.ย.50 ขยายตัวชะลอลงร้อยละ 0.4 เทียบต่อเดือน รายงานจากบรัสเซลส์เมื่อ
3 ส.ค.50 European Union statistics office (Eurostat) เปิดเผยว่า ยอดขายปลีกของ 13 ประเทศเขตเศรษฐกิจยุโรปที่
ใช้เงินสกุลยูโร (ยูโรโซน) ในเดือน มิ.ย.50 ขยายตัวร้อยละ 0.4 เทียบต่อเดือน และขยายตัวร้อยละ 0.9 เมื่อเทียบต่อปี ต่ำกว่า
การคาดการณ์ของตลาดซึ่งคาดว่ายอดขายปลีกจะขยายตัวร้อยละ 0.7 และ 1.4 เมื่อเทียบต่อเดือนและเทียบต่อปีตามลำดับ โดยการที่
ยอดขายปลีกของยูโรโซนขยายตัวชะลอลงมีสาเหตุหลักจากยอดขายปลีกของเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซน
ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยในเดือน มิ.ย.50 ยอดขายปลีกของเยอรมนีลดลงร้อยละ 2.5 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 2.4 ในเดือนก่อนหน้า
นอกจากนี้ Eurostat ได้ปรับตัวเลขยอดขายปลีกในเดือน พ.ค.50 เป็นลดลงร้อยละ 0.7 เทียบต่อเดือน และเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1
เมื่อเทียบต่อปี อย่างไรก็ตาม บรรดานักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า แม้ว่ายอดขายปลีกของยูโรโซน ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความต้องการโดยรวม
ของผู้บริโภคและเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จะสะท้อนทิศทางที่ไม่ดีนัก แต่หากพิจารณาจากตัวเลขรายไตรมาส
พบว่ายอดขายปลีกในช่วงไตรมาสที่ 2 ยังคงขยายตัวดีขึ้นกว่าช่วงไตรมาสแรกของปี (รอยเตอร์)
3. ในเดือน ก.ค.50 ภาคบริการของอังกฤษขยายตัวในอัตราต่ำสุดในรอบเกือบ 1 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 3 ส.ค.50
ดัชนีชี้วัดภาคบริการของอังกฤษจากผลสำรวจโดยสถาบันเพื่อการจัดซื้อและจัดหาและ NTC ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 57.0 ในเดือน ก.ค.50 จากระดับ
57.7 ในเดือน มิ.ย.50 อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย.49 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 57.5 แต่ยังอยู่ในระดับ
สูงกว่า 50 ซึ่งแสดงถึงการขยายตัว เช่นเดียวกับดัชนีชี้วัดราคาสินค้าหน้าโรงงานที่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 52.2 จากระดับ 53.3 ในเดือนก่อน
จากการที่ธุรกิจพบว่าเป็นการยากขึ้นที่จะขึ้นราคาสินค้าในช่วงนี้ แต่อย่างไรก็ดี ดัชนีชี้วัดราคาวัตถุดิบยังคงอยู่ในระดับสูงโดยอยู่ที่ระดับ 58.3
ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 58.8 ในเดือนก่อน ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เกรงว่า ธ.กลางอังกฤษอาจใช้เป็นข้ออ้างในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
ภายในปีนี้ ทั้งนี้ ตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.0 ต่อปีในเดือน ต.ค.50 ที่จะถึงนี้ หากรายงานของ
ธ.กลางอังกฤษที่จะออกมาในสัปดาห์หน้าแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอตัวลง (รอยเตอร์)
4. จีนยังมีความจำเป็นต้องอาศัยเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 50
สำนักข่าว Xinhua เปิดเผยว่า นาย Jiang Zengwei รอง รมว.พาณิชย์ของจีน กล่าวว่านโยบายที่ต้องการเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
(Foreign Direct Investment - FDI) ของจีนยังมีความจำเป็นแม้ว่าที่ผ่านมาจีนได้คัดเลือกโครงการลงทุนที่ดี โดยจำกัดการลงทุนใน
อุตสาหกรรมที่มีมลพิษ อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูง และอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำก็ตาม ทั้งนี้ในแต่ละสัปดาห์ ประเทศจีนยังคงดึงดูด FDI
ได้มากกว่า 1 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่าเงินลงทุนไหลเข้าดังกล่าวอาจจะลดลง เนื่องจากทางการจีน
ยังคงเพิ่มระดับของคุณภาพการลงทุนจากต่างประเทศและผลักดันให้มีการลงทุนในภาคที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น อาทิภาค finance และ logistics
โดยมีการตรวจสอบการลงทุนอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามนาย Jiang Zengwei กล่าวว่าหากเปรียบเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันแล้วจีนมี
FDI ค่อนข้างน้อย โดยในปี 49 มี FDI ในภาค non — financial 69.5 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. หรือคิดเป็นร้อยละ 6 ของ FDI ทั่วโลก
และหากเทียบต่อหัวแล้วจะมีจำนวนเพียง 53 ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งน้อยกว่า 1 ใน 3 ของค่าเฉลี่ย FDI ของโลก หรือประมาณ 1/12 ของ
ค่าเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งแรกปีนี้จีนมี FDI 31.9 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน
ปีก่อนหน้าร้อยละ 12.17 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 6 ส.ค. 50 3 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.854 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6233/33.1646 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39500 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 837.73/19.94 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,700/10,800 10,600/10,700 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 70.09 69.86 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 28.79*/25.74** 29.19/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 4 ส.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 11 ก.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--