นายโยชิอิ คาโตะ ประธานคณะกรรมการวิจัยทางเศรษฐกิจ หอการค้าญี่ปุ่น (เจซีซี) และประธาน องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) เปิดเผยผลสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจำไตรมาส 2 ปี 2550 พบว่าสภาพธุรกิจโดยรวมตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2549 ถึงครึ่งแรกของปี 2550 ปรับตัวในทิศทางที่ลดลง โดยนับเป็นครั้งแรกที่สภาพธุรกิจโดยรวมปรับตัวในทิศทางที่ลดลงอย่างชัดเจนตั้งแต่การสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2541
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมหลายประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร สิ่งทอ การผลิตเครื่องจักรทั่วไป และการผลิตเครื่องจักรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวในทางลบตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2549 ถึงครึ่งแรกของปี 2550 เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การผลิต เช่น ธุรกิจค้าปลีก บริษัทการค้า อุตสาหกรรมขนส่งและสื่อสาร โดยมีผลสำรวจ ดังนี้
1. บริษัทญี่ปุ่น 40% มองว่าสภาวะทางธุรกิจของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 จะคงที่โดย 32% มองว่าจะดีขึ้น ส่วน 28% เห็นว่าจะแย่ลง
2. ส่วนของการลงทุนนั้น บริษัทญี่ปุ่น 23% ระบุว่าจะเพิ่มเงินลงทุนด้านโรงงานและเครื่องจักร(อุตสาหกรรมการผลิต) ขณะ 34% จะลงทุนลดลงและ 32% ตอบว่าลงทุนคงที่ส่วน 24% ยังไม่ตัดสินใจโดยนับเป็นครั้งแรกจากการสำรวจในรอบ 9 ปี ที่พบว่าสัดส่วนบริษัทที่ลดลงลงทุนมีมากกว่าบริษัทที่ลงทุนเพิ่มขึ้น
3. ส่วนแนวโน้มแผนการลงทุนในประเทศไทยในอนาคตบริษัทส่วนใหญ่หรือ 58% จะรักษาสภาพลงทุนปัจจุบันไว้ 17% จะขยายการลงทุน 8% จะเลื่อนการลงทุน 4% จะลดสัดส่วนการลงทุนลงส่วนอีก 13% ตอบว่า ไม่ทราบ ซึ่งถือเป็นการเฝ้ารอดูและติดตามสถานการณ์ต่างๆ ก่อนตัดสินใจ
4. นอกจากนี้ ผลสำรวจยังระบุว่าบริษัทญี่ปุ่น 56% สนใจกระจายการลงทุนในเวียดนาม 25% สนใจลงทุนในจีนและ 21% สนใจลงทุนในอินเดีย
ประเด็นวิเคราะห์
เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เป็นหัวข้อที่บรรดาผู้บริหารบริษัทญี่ปุ่นให้ความสนใจอย่างยิ่ง โดยในปัจจุบันบริษัทญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับตลาดจีนและอินเดียด้วยการเข้าไปลงทุนมากขึ้น และก็ให้ความสำคัญกับตลาดไทยเช่นกันในฐานะฐานการผลิตสินค้าสำเร็จรูปและชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ บริษัทญี่ปุ่นกระจายฐานการผลิตไปในประเทศต่างๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการลงทุน
ที่มา: http://www.depthai.go.th