ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ชี้เงินทุนที่เทขายหุ้นในระยะนี้อาจจะยังไม่ไหลออกนอกประเทศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นสุทธิเป็นจำนวนเงินรวม 1.56 หมื่นล้านบาท นับตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค. — 6 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า
หากพิจารณาจากระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ก็น่าจะแสดงให้เห็นว่าเงินทุนยังไม่ไหลออกไปจาก
ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูจากข้อมูลจริงอีกครั้งหนึ่งก่อน ทั้งนี้ การที่นักลงทุนเทขายหุ้นนั้นไม่จำเป็นที่นักลงทุนจะต้องเอาเงิน
ออกนอกประเทศเพียงอย่างเดียว เพราะนักลงทุนที่ขายหุ้นได้แล้วก็อาจจะเอาเงินฝากไว้ในบัญชีเงินบาทของนอน เรสิเดนท์ที่ใช้ลงทุนใน
หลักทรัพย์โดยเฉพาะ (SNS) เพื่อรอจังหวะลงทุนใหม่ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ธปท.จะต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, เดลินิวส์)
2. ธปท.เผยแนวทางการกำกับดูแลสถาบันการเงินจะให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพ
สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในหัวข้อ “นโยบายการบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงินในมุมมองของ ธปท.”
ว่า การบริหารความเสี่ยงขณะนี้เป็นหัวข้อที่สำคัญ และอยู่ในความสนใจของภาคธุรกิจในทุกวงการ โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ธปท.ในฐานะ
ผู้กำกับดูแลสถาบันการเงิน ก็ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ เพราะการบริหารความเสี่ยงที่ดีนั้นเป็นหัวใจของการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคง
ของระบบสถาบันการเงิน ทั้งนี้ ธปท.ได้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการและบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงิน ดังนั้น จึงได้มีการ
ปรับเปลี่ยนวิธีการกำกับดูแลและตรวจสอบสถาบันการเงิน จากการตรวจสอบงบการเงินและการดำเนินการตามหลักของ Financial
based supervision เดิม มาเป็นกำกับตรวจสอบด้านความเสี่ยงหรือที่เรียกว่า Risk-based supervision โดยนำหลักสากลมาปรับใช้
และเพื่อให้ระบบการเงินของไทยมีกลไกที่เข้มแข็งในการรองรับผลกระทบจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากหนี้เสียและความเสี่ยง ธปท.จึงได้
กำหนดมาตรการสำคัญ 2 มาตรการในปีนี้ คือ 1) การกันเงินสำรองตามมาตรฐาน International Accounting Standard ฉบับที่ 39
และ 2) การดำรงเงินกองทุนตามมาตรฐาน Basel II (ผู้จัดการรายวัน)
3. ธปท.เชิญ ธพ.ไทย 16 เข้ารับฟังการชี้แจงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและคุณสมบัติของเอสเอ็มอีที่จะได้รับการช่วยเหลือด้าน
การเงิน รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ธปท.ได้เชิญ ธพ.ไทย 16 แห่งเข้ารับฟังการชี้แจงหลักเกณฑ์และเงื่อนไข
และคุณสมบัติของธุรกิจเอสเอ็มอีที่จะได้รับความช่วยเหลือด้านการเงิน รวมทั้งแบ่งสัดส่วนเงินช่วยเหลือให้กับแต่ละธนาคาร เพื่อให้ ธพ.นำไป
ปล่อยกู้จากมาตรการของทางการทีได้จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือภาคธุรกิจเอสเอ็มอีวงเงิน 5,000 ล้านบาท ด้าน ผอ.ฝ่ายกำกับการเปลี่ยนเงิน
และสินเชื่อ ธปท. กล่าวว่า ลูกค้าจะได้รับความช่วยเหลือ คือ 1) เป็นเอสเอ็มอีที่ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกและรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่ผู้ส่งออก
2) ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท 3) ขาดสภาพคล่อง และ 4) มียอดคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของเงิน
ให้ความช่วยเหลือ (ไทยรัฐ)
4. สถานการณ์การเลิกจ้างงานในภาคเหนือยังอยู่ในภาวะปกติ ผู้บริหารส่วนวิชาการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สำนักงานภาคเหนือ กล่าวว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 50 (ม.ค.-พ.ค.) มีสถานประกอบการและโรงงานอุตสาหกรรมในภาคเหนือ
ปิดกิจการไปแล้ว 120 โรงงาน แรงงานถูกเลิกจ้าง 3,011 คน เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนที่มีโรงงานปิดกิจการ 126 โรงงาน
แรงงานถูกเลิกจ้าง 3,043 คน แสดงถึงสถานการณ์การเลิกจ้างแรงงานในภาคเหนือยังอยู่ในภาวะปกติไม่มีประเด็นผิดสังเกตเท่าที่ควร
แม้มีโรงงานปิดกิจการ แต่มีโรงงานเปิดกิจการใหม่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่เร่งตัวมากขึ้นในช่วงไตรมาส 2
และรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ)
5. 5 ธพ.ไทยรับปันผลงวดครึ่งปีแรกของกองทุนวายุภักษ์ มูลค่ารวม 1.47 พันล้านบาท รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย ระบุว่า กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่งประเภท ก. (VAYU1) ได้ประกาศจ่ายเงินปันผล สำหรับช่วงระยะเวลา 1 ม.ค.-30 มิ.ย.50
ในอัตราร้อยละ 3.0 หรือ 0.30 บาทต่อ 1 หน่วยลงทุน โดย 5 ธพ. ประกอบด้วย ธ.กรุงไทย ธ.นครหลวงไทย ธ.ไทยธนาคาร
ธ.กรุงศรีอยุธยาและ ธ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนนี้ จะได้รับเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการงวดครึ่งปีแรก
มูลค่า 1.47 พันล้านบาท โดย ธ.กรุงไทยจะได้รับเงินมากที่สุด เพราะถือหน่วยลงทุนสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 28.31 รองลงมาเป็น
ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.นครหลวงไทย ธ.ไทยธนาคาร และ ธ.กรุงศรีอยุธยา ตามลำดับ ทั้งนี้ ได้กำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 29 ส.ค.50
(กรุงเทพธุรกิจ)
6. สศค.เผยการจัดตั้ง กบช.อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดกับเอดีบี ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า
การจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดกับ ธ.เพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ว่า การบริหาร
กบช.ควรเป็นการบริหารแบบกองทุนเดี่ยวหรือแยกออกเป็นหลายกองทุนแล้วบริหาร โดยที่ผ่านมาคณะทำงานได้ศึกษารูปแบบการบริหารเงิน
กองทุนของหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) บ.ประกันกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และเมื่อได้ข้อสรุปก็จะ
เสนอให้ รมว.คลังให้รับทราบต่อไป อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าภายในรัฐบาลชุดนี้คงไม่สามารถดำเนินการจัดตั้ง กบช.ได้ เพราะขั้นตอนใน
การจัดตั้งจะต้องพิจารณาข้อกฎหมายอีกมาก ทั้ง กบช.เป็นกองทุนขนาดใหญ่ มีแรงงานที่ต้องเข้าเป็นสมาชิก 12.5 ล้านคน คาดว่าจะ
มีเงินส่งสมทบเริ่มต้นขั้นต่ำปีละ 80,000 ล้านบาทต่อปี (ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลาง สรอ.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.25 ต่อปีเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 7 ส.ค.50
ธ.กลาง สรอ.ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.25 ต่อปีเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.49 โดยอ้างความเสี่ยงที่
เศรษฐกิจอาจชะลอตัวลง ในขณะที่ภาวะเงินเฟ้อยังคงเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลให้ ธ.กลาง สรอ. (รอยเตอร์)
2. คำสั่งซื้อเครื่องจักรของเอกชนญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.50 ลดลงร้อยละ 10.4 เทียบต่อเดือน รายงานจากโตเกียวเมื่อ
8 ส.ค.50 The Cabinet Office เปิดเผยว่า คำสั่งซื้อเครื่องจักรของภาคเอกชน ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาคเอกชน
ญี่ปุ่น ในเดือน มิ.ย.50 ลดลงร้อยละ 10.4 สวนทางกับเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 และลดลงมากเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ของ
นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะลดลงเพียงร้อยละ 1.9 ขณะที่เมื่อเทียบต่อปี คำสั่งซื้อลดลงร้อยละ 17.9 ต่ำกว่ามากจากที่นักเศรษฐศาสตร์
คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียงร้อยละ 9.9 อย่างไรก็ตาม The Cabinet Office ได้คาดการณ์คำสั่งซื้อในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีว่าจะ
ขยายตัวร้อยละ 3.7 จากไตรมาสก่อนหน้าที่ชะลอตัวร้อยละ 2.4 (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีในเดือน มิ.ย.50 ลดลงร้อยละ 0.4 ต่อเดือน รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 7 ส.ค.50
ตัวเลขเบื้องต้น จาก ก.เศรษฐกิจของเยอรมนีชี้ว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วลดลงร้อยละ 0.4 ต่อเดือน
ในเดือน มิ.ย.50 หลังจากขยายตัวร้อยละ 1.9 ต่อเดือนในเดือนก่อน ผิดจากที่ผลสำรวจรอยเตอร์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ต่อเดือน
โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของผลผลิตในภาคการผลิตและภาคการก่อสร้างซึ่งลดลงร้อยละ 0.5 และ 2.1 ตามลำดับ ซึ่งทั้ง ธ.กลาง
และ ก.คลังของเยอรมนีคาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ปีนี้จะลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสแรกซึ่งเศรษฐกิจขยายตัว
ร้อยละ 0.5 ต่อไตรมาส แต่อย่างไรก็ดี คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าที่คาดไว้ถึงร้อยละ 4.6 ในเดือน มิ.ย.50 ทำให้มีความ
หวังว่าผลผลิตอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะขยายตัวดีขึ้น ทั้งนี้ สนง.สถิติกลางของเยอรมนีมีกำหนดจะรายงานตัวเลขเบื้องต้นอัตรา
การเติบโตทางเศรษฐกิจของไตรมาสที่ 2 ปีนี้ในวันที่ 14 ส.ค.50 นี้ (รอยเตอร์)
4. ดัชนีชี้วัดสถานการณ์ด้านแรงงานประจำของอังกฤษในเดือน ก.ค.50 ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ รายงานจากลอนดอนเมื่อ
8 ส.ค.50 The KMPG/REC เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีชี้วัดสถานการณ์แรงงานประจำของอังกฤษ โดยดัชนีรายได้แรงงานประจำ
(Wage for permanent staff) ในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นที่ระดับ 65.3 สูงสุดในรอบ 9 ปีนับตั้งแต่เดือน พ.ค.41 และอยู่เหนือ
ระดับ 50 ซึ่งเป็นระดับที่บ่งชี้ภาวะการขยายตัวของสถานการณ์แรงงาน นอกจากนี้ ดัชนีชี้วัดจำนวนแรงงานที่ได้รับการบรรจุเป็นพนักงาน
ประจำ ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 64.1 สูงสุดในรอบ 7 ปี ขณะที่ดัชนีชี้วัดแรงงานประจำที่ว่างงาน ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ต่ำสุด
ในรอบกว่า 3 ปี สะท้อนภาพตลาดแรงงานอังกฤษในทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่า การที่สถานการณ์ด้านแรงงานของ
อังกฤษมีแนวโน้มดีขึ้น สร้างความกังวลให้กับ ธ.กลางอังกฤษ ว่าอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้ (รอยเตอร์)
5. คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมวันที่ 9 ส.ค.นี้ รายงานจากกรุงโซล ประเทศ
เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 7 ส.ค.50 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ย
นโยบายไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมวันที่ 9 ส.ค.นี้ เพื่อให้มีเวลาเฝ้าติดตามผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
ร้อยละ 0.25 ไปอยู่ที่ร้อยละ 4.75 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
อีกร้อยละ 0.25 ภายในปีนี้ เนื่องจากการขยายตัวของปริมาณเงินหมุนเวียนที่เป็นสาเหตุหลักของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ค.50
ยังคงอยู่ในระดับสูง ในขณะที่ข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าสุดชี้ว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนเพียงเล็กน้อยในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลา
อันใกล้นี้ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและเงินเฟ้อทั่วไปมีเสถียรภาพและอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยเป้าหมายที่ ธ.กลางเกาหลีใต้ตั้งไว้ที่ร้อยละ 2.5—3.5
โดยอัตราเงินเฟ้อเทียบต่อปีในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.5 ส่วนปริมาณขยายตัวของสภาพคล่องในระบบเพิ่มขึ้นอย่างมาก
สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ แม้ว่าอาจจะทำให้มีแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในระยะกลางถึงระยะยาว
และกระตุ้นให้ ธ.กลางเกาหลีใต้ต้องใช้นโยบายเข้มงวดทางการเงินในอนาคต ทั้งนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้เปิดเผยเมื่อเดือนก่อนว่า เศรษฐกิจ
ของเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 1.7 เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 0.9 ซึ่งเป็นการขยายตัว
สูงสุดในรอบ 1 ปีครึ่ง จากการส่งออกที่ขยายตัวดีขึ้น ขณะที่สภาพคล่องในระบบเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง หลังจากที่อัตราการขยายตัว
เทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นการเร่งตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ด้านผู้ว่าการ ธ.กลางเกาหลีใต้กล่าว
หลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือน ก.ค.ว่า อัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันยังไม่สูงเพียงพอที่จะควบคุมและสนับสนุนการขยายตัว
ทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 8 ส.ค. 50 7 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.885 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6608/33.9890 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39750 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 814.40/16.94 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,700/10,800 10,700/10,800 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 66.04 68.86 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 28.79*/25.74** 28.79/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 4 ส.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 11 ก.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ชี้เงินทุนที่เทขายหุ้นในระยะนี้อาจจะยังไม่ไหลออกนอกประเทศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นสุทธิเป็นจำนวนเงินรวม 1.56 หมื่นล้านบาท นับตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค. — 6 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า
หากพิจารณาจากระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ก็น่าจะแสดงให้เห็นว่าเงินทุนยังไม่ไหลออกไปจาก
ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูจากข้อมูลจริงอีกครั้งหนึ่งก่อน ทั้งนี้ การที่นักลงทุนเทขายหุ้นนั้นไม่จำเป็นที่นักลงทุนจะต้องเอาเงิน
ออกนอกประเทศเพียงอย่างเดียว เพราะนักลงทุนที่ขายหุ้นได้แล้วก็อาจจะเอาเงินฝากไว้ในบัญชีเงินบาทของนอน เรสิเดนท์ที่ใช้ลงทุนใน
หลักทรัพย์โดยเฉพาะ (SNS) เพื่อรอจังหวะลงทุนใหม่ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ธปท.จะต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, เดลินิวส์)
2. ธปท.เผยแนวทางการกำกับดูแลสถาบันการเงินจะให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพ
สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในหัวข้อ “นโยบายการบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงินในมุมมองของ ธปท.”
ว่า การบริหารความเสี่ยงขณะนี้เป็นหัวข้อที่สำคัญ และอยู่ในความสนใจของภาคธุรกิจในทุกวงการ โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ธปท.ในฐานะ
ผู้กำกับดูแลสถาบันการเงิน ก็ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ เพราะการบริหารความเสี่ยงที่ดีนั้นเป็นหัวใจของการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคง
ของระบบสถาบันการเงิน ทั้งนี้ ธปท.ได้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการและบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงิน ดังนั้น จึงได้มีการ
ปรับเปลี่ยนวิธีการกำกับดูแลและตรวจสอบสถาบันการเงิน จากการตรวจสอบงบการเงินและการดำเนินการตามหลักของ Financial
based supervision เดิม มาเป็นกำกับตรวจสอบด้านความเสี่ยงหรือที่เรียกว่า Risk-based supervision โดยนำหลักสากลมาปรับใช้
และเพื่อให้ระบบการเงินของไทยมีกลไกที่เข้มแข็งในการรองรับผลกระทบจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากหนี้เสียและความเสี่ยง ธปท.จึงได้
กำหนดมาตรการสำคัญ 2 มาตรการในปีนี้ คือ 1) การกันเงินสำรองตามมาตรฐาน International Accounting Standard ฉบับที่ 39
และ 2) การดำรงเงินกองทุนตามมาตรฐาน Basel II (ผู้จัดการรายวัน)
3. ธปท.เชิญ ธพ.ไทย 16 เข้ารับฟังการชี้แจงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและคุณสมบัติของเอสเอ็มอีที่จะได้รับการช่วยเหลือด้าน
การเงิน รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ธปท.ได้เชิญ ธพ.ไทย 16 แห่งเข้ารับฟังการชี้แจงหลักเกณฑ์และเงื่อนไข
และคุณสมบัติของธุรกิจเอสเอ็มอีที่จะได้รับความช่วยเหลือด้านการเงิน รวมทั้งแบ่งสัดส่วนเงินช่วยเหลือให้กับแต่ละธนาคาร เพื่อให้ ธพ.นำไป
ปล่อยกู้จากมาตรการของทางการทีได้จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือภาคธุรกิจเอสเอ็มอีวงเงิน 5,000 ล้านบาท ด้าน ผอ.ฝ่ายกำกับการเปลี่ยนเงิน
และสินเชื่อ ธปท. กล่าวว่า ลูกค้าจะได้รับความช่วยเหลือ คือ 1) เป็นเอสเอ็มอีที่ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกและรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่ผู้ส่งออก
2) ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท 3) ขาดสภาพคล่อง และ 4) มียอดคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของเงิน
ให้ความช่วยเหลือ (ไทยรัฐ)
4. สถานการณ์การเลิกจ้างงานในภาคเหนือยังอยู่ในภาวะปกติ ผู้บริหารส่วนวิชาการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สำนักงานภาคเหนือ กล่าวว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 50 (ม.ค.-พ.ค.) มีสถานประกอบการและโรงงานอุตสาหกรรมในภาคเหนือ
ปิดกิจการไปแล้ว 120 โรงงาน แรงงานถูกเลิกจ้าง 3,011 คน เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนที่มีโรงงานปิดกิจการ 126 โรงงาน
แรงงานถูกเลิกจ้าง 3,043 คน แสดงถึงสถานการณ์การเลิกจ้างแรงงานในภาคเหนือยังอยู่ในภาวะปกติไม่มีประเด็นผิดสังเกตเท่าที่ควร
แม้มีโรงงานปิดกิจการ แต่มีโรงงานเปิดกิจการใหม่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่เร่งตัวมากขึ้นในช่วงไตรมาส 2
และรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ)
5. 5 ธพ.ไทยรับปันผลงวดครึ่งปีแรกของกองทุนวายุภักษ์ มูลค่ารวม 1.47 พันล้านบาท รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย ระบุว่า กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่งประเภท ก. (VAYU1) ได้ประกาศจ่ายเงินปันผล สำหรับช่วงระยะเวลา 1 ม.ค.-30 มิ.ย.50
ในอัตราร้อยละ 3.0 หรือ 0.30 บาทต่อ 1 หน่วยลงทุน โดย 5 ธพ. ประกอบด้วย ธ.กรุงไทย ธ.นครหลวงไทย ธ.ไทยธนาคาร
ธ.กรุงศรีอยุธยาและ ธ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนนี้ จะได้รับเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการงวดครึ่งปีแรก
มูลค่า 1.47 พันล้านบาท โดย ธ.กรุงไทยจะได้รับเงินมากที่สุด เพราะถือหน่วยลงทุนสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 28.31 รองลงมาเป็น
ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.นครหลวงไทย ธ.ไทยธนาคาร และ ธ.กรุงศรีอยุธยา ตามลำดับ ทั้งนี้ ได้กำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 29 ส.ค.50
(กรุงเทพธุรกิจ)
6. สศค.เผยการจัดตั้ง กบช.อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดกับเอดีบี ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า
การจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดกับ ธ.เพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ว่า การบริหาร
กบช.ควรเป็นการบริหารแบบกองทุนเดี่ยวหรือแยกออกเป็นหลายกองทุนแล้วบริหาร โดยที่ผ่านมาคณะทำงานได้ศึกษารูปแบบการบริหารเงิน
กองทุนของหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) บ.ประกันกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และเมื่อได้ข้อสรุปก็จะ
เสนอให้ รมว.คลังให้รับทราบต่อไป อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าภายในรัฐบาลชุดนี้คงไม่สามารถดำเนินการจัดตั้ง กบช.ได้ เพราะขั้นตอนใน
การจัดตั้งจะต้องพิจารณาข้อกฎหมายอีกมาก ทั้ง กบช.เป็นกองทุนขนาดใหญ่ มีแรงงานที่ต้องเข้าเป็นสมาชิก 12.5 ล้านคน คาดว่าจะ
มีเงินส่งสมทบเริ่มต้นขั้นต่ำปีละ 80,000 ล้านบาทต่อปี (ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลาง สรอ.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.25 ต่อปีเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 7 ส.ค.50
ธ.กลาง สรอ.ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5.25 ต่อปีเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.49 โดยอ้างความเสี่ยงที่
เศรษฐกิจอาจชะลอตัวลง ในขณะที่ภาวะเงินเฟ้อยังคงเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลให้ ธ.กลาง สรอ. (รอยเตอร์)
2. คำสั่งซื้อเครื่องจักรของเอกชนญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.50 ลดลงร้อยละ 10.4 เทียบต่อเดือน รายงานจากโตเกียวเมื่อ
8 ส.ค.50 The Cabinet Office เปิดเผยว่า คำสั่งซื้อเครื่องจักรของภาคเอกชน ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาคเอกชน
ญี่ปุ่น ในเดือน มิ.ย.50 ลดลงร้อยละ 10.4 สวนทางกับเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 และลดลงมากเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ของ
นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะลดลงเพียงร้อยละ 1.9 ขณะที่เมื่อเทียบต่อปี คำสั่งซื้อลดลงร้อยละ 17.9 ต่ำกว่ามากจากที่นักเศรษฐศาสตร์
คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียงร้อยละ 9.9 อย่างไรก็ตาม The Cabinet Office ได้คาดการณ์คำสั่งซื้อในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีว่าจะ
ขยายตัวร้อยละ 3.7 จากไตรมาสก่อนหน้าที่ชะลอตัวร้อยละ 2.4 (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีในเดือน มิ.ย.50 ลดลงร้อยละ 0.4 ต่อเดือน รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 7 ส.ค.50
ตัวเลขเบื้องต้น จาก ก.เศรษฐกิจของเยอรมนีชี้ว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วลดลงร้อยละ 0.4 ต่อเดือน
ในเดือน มิ.ย.50 หลังจากขยายตัวร้อยละ 1.9 ต่อเดือนในเดือนก่อน ผิดจากที่ผลสำรวจรอยเตอร์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ต่อเดือน
โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของผลผลิตในภาคการผลิตและภาคการก่อสร้างซึ่งลดลงร้อยละ 0.5 และ 2.1 ตามลำดับ ซึ่งทั้ง ธ.กลาง
และ ก.คลังของเยอรมนีคาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ปีนี้จะลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสแรกซึ่งเศรษฐกิจขยายตัว
ร้อยละ 0.5 ต่อไตรมาส แต่อย่างไรก็ดี คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าที่คาดไว้ถึงร้อยละ 4.6 ในเดือน มิ.ย.50 ทำให้มีความ
หวังว่าผลผลิตอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะขยายตัวดีขึ้น ทั้งนี้ สนง.สถิติกลางของเยอรมนีมีกำหนดจะรายงานตัวเลขเบื้องต้นอัตรา
การเติบโตทางเศรษฐกิจของไตรมาสที่ 2 ปีนี้ในวันที่ 14 ส.ค.50 นี้ (รอยเตอร์)
4. ดัชนีชี้วัดสถานการณ์ด้านแรงงานประจำของอังกฤษในเดือน ก.ค.50 ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ รายงานจากลอนดอนเมื่อ
8 ส.ค.50 The KMPG/REC เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีชี้วัดสถานการณ์แรงงานประจำของอังกฤษ โดยดัชนีรายได้แรงงานประจำ
(Wage for permanent staff) ในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นที่ระดับ 65.3 สูงสุดในรอบ 9 ปีนับตั้งแต่เดือน พ.ค.41 และอยู่เหนือ
ระดับ 50 ซึ่งเป็นระดับที่บ่งชี้ภาวะการขยายตัวของสถานการณ์แรงงาน นอกจากนี้ ดัชนีชี้วัดจำนวนแรงงานที่ได้รับการบรรจุเป็นพนักงาน
ประจำ ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 64.1 สูงสุดในรอบ 7 ปี ขณะที่ดัชนีชี้วัดแรงงานประจำที่ว่างงาน ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ต่ำสุด
ในรอบกว่า 3 ปี สะท้อนภาพตลาดแรงงานอังกฤษในทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่า การที่สถานการณ์ด้านแรงงานของ
อังกฤษมีแนวโน้มดีขึ้น สร้างความกังวลให้กับ ธ.กลางอังกฤษ ว่าอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้ (รอยเตอร์)
5. คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมวันที่ 9 ส.ค.นี้ รายงานจากกรุงโซล ประเทศ
เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 7 ส.ค.50 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ย
นโยบายไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมวันที่ 9 ส.ค.นี้ เพื่อให้มีเวลาเฝ้าติดตามผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
ร้อยละ 0.25 ไปอยู่ที่ร้อยละ 4.75 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
อีกร้อยละ 0.25 ภายในปีนี้ เนื่องจากการขยายตัวของปริมาณเงินหมุนเวียนที่เป็นสาเหตุหลักของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ค.50
ยังคงอยู่ในระดับสูง ในขณะที่ข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าสุดชี้ว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนเพียงเล็กน้อยในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลา
อันใกล้นี้ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและเงินเฟ้อทั่วไปมีเสถียรภาพและอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยเป้าหมายที่ ธ.กลางเกาหลีใต้ตั้งไว้ที่ร้อยละ 2.5—3.5
โดยอัตราเงินเฟ้อเทียบต่อปีในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.5 ส่วนปริมาณขยายตัวของสภาพคล่องในระบบเพิ่มขึ้นอย่างมาก
สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ แม้ว่าอาจจะทำให้มีแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในระยะกลางถึงระยะยาว
และกระตุ้นให้ ธ.กลางเกาหลีใต้ต้องใช้นโยบายเข้มงวดทางการเงินในอนาคต ทั้งนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้เปิดเผยเมื่อเดือนก่อนว่า เศรษฐกิจ
ของเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 1.7 เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 0.9 ซึ่งเป็นการขยายตัว
สูงสุดในรอบ 1 ปีครึ่ง จากการส่งออกที่ขยายตัวดีขึ้น ขณะที่สภาพคล่องในระบบเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง หลังจากที่อัตราการขยายตัว
เทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นการเร่งตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ด้านผู้ว่าการ ธ.กลางเกาหลีใต้กล่าว
หลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือน ก.ค.ว่า อัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันยังไม่สูงเพียงพอที่จะควบคุมและสนับสนุนการขยายตัว
ทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 8 ส.ค. 50 7 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.885 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6608/33.9890 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39750 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 814.40/16.94 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,700/10,800 10,700/10,800 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 66.04 68.86 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 28.79*/25.74** 28.79/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 4 ส.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 11 ก.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--