ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. การหารือร่วมระหว่าง ก. คลังและ ธปท.เห็นควรผลักดันกฎหมายการเงิน 4 ฉบับ เพื่อช่วยดูแลนโยบายการเงิน รมว.คลัง
เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับ ธปท. และผู้ทรงคุณวุฒิประมาณ 40 คน เพื่อระดมสมองเรื่อง “นโยบายการเงินอัตราแลกเปลี่ยนและการ
ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจการเงิน เพื่อรองรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้ายในระยะปานกลาง” ว่า ปัจจุบันเครื่องมือ
ที่ดูแลนโยบายการเงินทั้งในส่วนของอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนอาจจะไม่เพียงพอ ต้องมีเครื่องมือที่สามารถดูแลความเสี่ยงและการนำ
นโยบายไปสู่การปฏิบัติให้ได้ ซึ่งจะผลักดันให้กฎหมายการเงิน 4 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ธปท., พ.ร.บ.เงินตรา, พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน
และ พ.ร.บ.กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีผลบังคับใช้ทันภายในรัฐบาลชุดนี้ เพื่อช่วยดูแลนโยบายการเงินให้ดีขึ้น โดย ก.คลังและ
ธปท.จะร่วมมือกันในการสร้างความเข้าใจให้กับสังคมได้รับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน ด้านผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า
นโยบายในการรับมือกับความท้าทายในภาวะที่ตลาดโลกมีความผันผวนประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ 1) กรอบนโยบายการเงินที่ดูแล
ด้านเสถียรภาพเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน 2) กรอบการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว แบบมีการจัดการ 3) การเปิดเสรีบัญชีเงินทุน
และ 4) มาตรการดูแลความเสี่ยงด้านมหภาค ซึ่งทั้ง 4 นโยบายนี้ ธปท.นำมาใช้ตั้งแต่ปี 43 และเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งไม่ด้วย
กว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคโดยเฉลี่ย สำหรับข้อสรุปจากการหารือคือ การดำเนินนโยบายต้องคำนึงถึงกรอบและภาวะแวดล้อมที่มีอยู่ รวมทั้งมุ่งให้
ภาครัฐและเอกชนเร่งผลักดันโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความแข็งแกร่ง (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด)
2. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวดีขึ้นจากปัจจัยบวกทั้งภายในและภายนอกประเทศ นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นมาก โดยวานนี้ (20 ส.ค.) ดัชนีปิดที่ 792.02 จุด เพิ่มขึ้น
33.60 จุด มูลค่าการซื้อขาย 23,146.67 ล.บาท มีสาเหตุจากปัจจัยบวกทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจัยในประเทศเป็นผลจากการที่ประชาชน
ลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ทำให้ปัจจัยทางการเมืองคลี่คลายลง และนักลงทุนต่างชาติมั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งตามกำหนดการเดิมคือใน
ช่วงปลายปี ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศเป็นผลจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพร์ม) คลี่คลาย จากการที่ ธ.กลางสหรัฐฯ ลด
อัตราดอกเบี้ยลง 0.50% และอัดฉีดเงินเข้าระบบอีก 60,000 ล.ดอลลาร์ สรอ. อย่างไรก็ตาม ต้องการให้ภาครัฐให้ความสำคัญกับภาคตลาดทุน
ทั้งตลาดตราสารหนี้ ตลาดอนุพันธ์ และตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า เนื่องจากที่ผ่านมาการออกมาตรการไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิด
กับภาคตลาดทุนเท่าที่ควร (โลกวันนี้, ข่าวสด)
3. ปัญหาค่าเงินบาทไม่ส่งผลกระทบหลักต่อการดำเนินธุรกิจเอสเอ็มอี นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริม
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นไตรมาส 2 ปี 50 มีกิจการเอสเอ็มอีเปิดใหม่ทั้งสิ้นประมาณ
17,000 ราย ขณะที่มีอัตราเลิกกิจการประมาณ 2,000 ราย เทียบอัตราส่วนกับปี 49 มีกิจการเกิดใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 5% สำหรับสาเหตุที่ทำให้
เอสเอ็มอีเลิกกิจการ ประกอบด้วย ผู้ประกอบการไม่มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจ ธุรกิจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่สามารถบริหารต้นทุน
ได้ดีพอ ส่วนปัญหาเรื่องค่าเงินบาทนั้น กระทบต่อการปิดกิจการบ้าง แต่ไม่ใช่สาเหตุหลัก ทั้งนี้ ประเภทธุรกิจที่มีอัตราการเปิดตัวมาก ได้แก่
สาขาสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม สาขาเนื้อสัตว์ สาขาไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ เป็นต้น ส่วนธุรกิจสาขาที่มีอัตราเปิดใหม่สูง ได้แก่ สาขาเครื่องมือ
เฉพาะทาง เช่น เครื่องมือแพทย์ สาขาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจรีไซเคิล เป็นต้น ด้านปัจจัยลบทางเศรษฐกิจนับแต่ต้นปี ยังคงเป็นปัจจัยลบ
ที่ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เช่น ค่าเงินบาท ราคาน้ำมัน สถานการณ์การเมือง ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และความสามารถทางการแข่งขันของ
เอสเอ็มอีไทย เป็นต้น ส่วนปัจจัยบวกนั้น แม้สภาพเศรษฐกิจขณะนี้จะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งการ
ส่งออกและการจ้างงาน (ผู้จัดการรายวัน)
4. ก.คลังเสนอนโยบายการอุดหนุนเงินให้กับรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการสาธารณะ รายงานข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า สำนักงาน
คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้เสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอุดหนุนบริการสาธารณะตามนโยบายพิเศษของรัฐบาล
ซึ่งเป็นระเบียบกลางที่ใช้กำหนดหลักเกณฑ์การอุดหนุนเงิน งปม.แก่รัฐวิสาหกิจที่ให้บริการสาธารณะ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของเลขาธิการ
ครม. ก่อนนำเสนอ ครม. ทั้งนี้ ปัจจุบัน รัฐบาลได้มีการอุดหนุนเงิน งปม.แก่รัฐวิสาหกิจที่ให้บริการสาธารณะเป็นประจำทุกปี แต่รัฐวิสาหกิจไม่ได้
มีการแยกบัญชีค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนว่า บัญชีใดเป็นการให้บริการเชิงสังคม บัญชีใดเป็นการให้บริการเชิงพาณิชย์ ทำให้การอุดหนุนเงิน งปม. เป็นไป
ในลักษณะภาพรวม ก.คลังจึงร่างระเบียบขึ้น เพื่อกำหนดอัตราการจ่ายเงิน งปม.ที่เหมาะสม กรณีที่รัฐวิสาหกิจให้บริการแก่สาธารณะ ซึ่งจะทำให้
การจ่ายเงิน งปม.อุดหนุน เป็นไปตามค่าใช้จ่ายจริงและลดลงจากปัจจุบัน โดยคาดว่ารัฐวิสาหกิจที่จะเข้ามาใช้ระบบ “การอุดหนุนเงิน งปม.แก่
บริการสาธารณะ” หรือ “Public Service Obligation (PSO)” เฟสแรก ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ การรถไฟแห่งประเทศไทย
และการประปาส่วนภูมิภาค เนื่องจากรัฐวิสาหกิจเหล่านี้ได้ให้บริการสาธารณะในราคาถูก (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีอุตสาหกรรมโดยรวมของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือน รายงานจากโตเกียว เมื่อ 21 ส.ค.50
รัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ดัชนีอุตสาหกรรมโดยรวมของญี่ปุ่น ซึ่งครอบคลุมช่วงกิจกรรมทางเศรษฐกิจแนวกว้างรวมถึงดัชนีชี้วัดแนวโน้มภาคบริการ
(Tertiary Index) ในเดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือน ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยเมื่อพิจารณา
ดัชนีองค์ประกอบของดัชนีอุตสาหกรรมโดยรวมแล้วพบว่า ส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้น อาทิเช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ดัชนีชี้วัดแนวโน้มภาคบริการ
ดัชนีกิจกรรมภาคสาธารณะ และ Final demand components (ซึ่งเป็นดัชนีองค์ประกอบตัวใหม่ของดัชนีอุตสาหกรรมโดยรวม) เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.3 0.1 0.5 และ 0.7 จากที่ลดลงร้อยละ 0.3 0.1 0.5 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ในเดือน พ.ค.50 ตามลำดับ ยกเว้น
ดัชนีภาคการก่อสร้างที่ลดลงร้อยละ 1.7 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ในเดือนก่อนหน้า (รอยเตอร์)
2. ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.ในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 20 ส.ค.50
The Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.ในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 138.1 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4
หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.3 อยู่ที่ระดับ 137.5 ในเดือน มิ.ย.50 (ตัวเลขก่อนการทบทวน) ทั้งนี้ ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ. ในรอบ
6 เดือนที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วถึง 3 ครั้ง สำหรับสาเหตุสำคัญในการสนับสนุนดัชนีดังกล่าวเพิ่มขึ้นในเดือน ก.ค. คือ ดัชนีความความคาดหวัง
ของผู้บริโภค Vendor Performance และ Initial Jobless Claims เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 0.19 0.15 และ 0.13 หลังจากที่ลดลง
ร้อยละ 0.08 0.04 และ 0.12 ในเดือนก่อนหน้าตามลำดับ อันสามารถชดเชยดัชนีองค์ประกอบอื่นที่ลดลงได้ คือ ดัชนีการขออนุญาตก่อสร้าง
ที่อยู่อาศัย ดัชนีคำสั่งซื้อสินค้าที่ไม่ใช่ยุทโธปกรณ์ และดัชนีช่วงห่างอัตราดอกเบี้ย ที่ลดลงร้อยละ 0.08 0.04 และ 0.03 จากที่ลดลง 0.20
0.09 และ 0.02 ในเดือนก่อนหน้าตามลำดับ (รอยเตอร์)
3. สหภาพยุโรปเตือนจีนเรื่องความปลอดภัยในผลิตภัณฑ์ของเด็กเล่นจากจีน รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 50
นาย Peter Mandelson กรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรปเปิดเผยว่า ของเล่นที่นำเข้าจากจีนมีความไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพมิใช่เป็นประเด็น
ตอบโต้ทางการค้าของสหภาพยุโรป ที่จะสนับสนุนให้บริษัทต่างๆในสหภาพยุโรปปฏิเสธสินค้าต่างๆรวมทั้งสินค้าประเภทของเล่นเด็กเล็กที่เป็น
อันตรายต่อผู้บริโภคที่นำเข้าจากจีน โดยเมื่อเดือนที่แล้วคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคของสหภาพยุโรปได้ออกมาเตือนจีนว่าสหภาพยุโรปจะ
ดำเนินมาตรการต่างๆแม้กระทั่งการห้ามนำเข้าสินค้าจากจีนหากจีนไม่ดำเนินการกับบริษัทที่ผลิตสินค้าที่เป็นอันตรายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม
เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ดูแลคุณภาพสินค้าของจีนออกมากล่าวว่า จีนได้รับการปฎิบัติที่ไม่เป็นธรรมทั้งๆที่จีนได้ตรวจสอบคุณภาพสินค้าและทำทุกๆ อย่าง
เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพ แม้กระทั่งการเรียกคืนของเล่นที่เป็นอันตรายจำนวนมากจากสหภาพยุโรป ทั้งนี้ปัจจุบันจีนกำลังได้รับแรงกดดันจากบรรดา
ประเทศคู่ค้าภายหลังจากสินค้าต่างๆที่ส่งออกจากจีนมีอันตราย อาทิ อาหารเลี้ยงสัตว์ ปลามีพิษ ของเล่นเด็กที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ตลอดจน
ยาสีฟันที่เป็นอันตราย โดยในปี 49 เกือบครึ่งหนึ่งของสินค้าอันตรายจำนวน 924 ชนิดที่มีในรายงานของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
ของสหภาพยุโรปเป็นสินค้าที่นำเข้าจากจีน นอกจากนั้นยังมีประเด็นตึงเครียดระหว่างสหภาพยุโรปและจีนในเรื่องที่จีนเกินดุลการค้าจำนวน
มหาศาลกับสหภาพยุโรป (รอยเตอร์)
4. สิงคโปร์ปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะปานกลาง (5-10 ปี) เป็นร้อยละ 4 - 6 รายงานจากประเทศสิงคโปร์
เมื่อวันที่ 20 ส.ค.50 ก.การค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ ได้ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ช่วงระยะปานกลางคือ
ใน 5 - 10 ปีข้างหน้าเป็นร้อยละ 4 — 6 จากเดิมที่เคยประมาณการไว้เมื่อปี 46 ที่ร้อยละ 3 — 5 โดยการประมาณการดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานข้อมูล
ที่ว่าอัตราการขยายตัวของประชากรที่อยู่ในวัยทำงานอยู่ที่ร้อยละ 1.5 — 2.5 ต่อปี และความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 — 3.5 ต่อปี
ขณะที่ปัจจัยภายนอกในช่วง 5 ปีข้างหน้าคาดว่าจะช่วยสนับสนุนและเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะทำให้ศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจสิงคโปร์เป็นจริง
โดยตลาดหลักของการส่งออกในต่างประเทศ เช่น สรอ. ยุโรป และญี่ปุ่น คาดว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลดีจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ
อินเดียและจีน ทั้งนี้ การปรับประมาณการใหม่นี้เป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจของสิงคโปร์เทียบต่อปีขยายตัวสูงถึงร้อยละ 14.4 ในไตรมาส 2
ซึ่งสูงสุดในรอบ 2 ปี รวมทั้งการที่รัฐบาลได้ปรับเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้เป็นร้อยละ 7 — 8 จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่
ร้อยละ 5 — 7 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 21 ส.ค. 50 20 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.380 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.1721/34.5023 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.38375 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 792.02/23.15 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,650/10,750 10,600/10,700 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 67.00 66.59 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 28.39*/25.34* 28.39*/25.34* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดสิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 9 ส.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. การหารือร่วมระหว่าง ก. คลังและ ธปท.เห็นควรผลักดันกฎหมายการเงิน 4 ฉบับ เพื่อช่วยดูแลนโยบายการเงิน รมว.คลัง
เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับ ธปท. และผู้ทรงคุณวุฒิประมาณ 40 คน เพื่อระดมสมองเรื่อง “นโยบายการเงินอัตราแลกเปลี่ยนและการ
ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจการเงิน เพื่อรองรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้ายในระยะปานกลาง” ว่า ปัจจุบันเครื่องมือ
ที่ดูแลนโยบายการเงินทั้งในส่วนของอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนอาจจะไม่เพียงพอ ต้องมีเครื่องมือที่สามารถดูแลความเสี่ยงและการนำ
นโยบายไปสู่การปฏิบัติให้ได้ ซึ่งจะผลักดันให้กฎหมายการเงิน 4 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ธปท., พ.ร.บ.เงินตรา, พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน
และ พ.ร.บ.กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีผลบังคับใช้ทันภายในรัฐบาลชุดนี้ เพื่อช่วยดูแลนโยบายการเงินให้ดีขึ้น โดย ก.คลังและ
ธปท.จะร่วมมือกันในการสร้างความเข้าใจให้กับสังคมได้รับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน ด้านผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า
นโยบายในการรับมือกับความท้าทายในภาวะที่ตลาดโลกมีความผันผวนประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ 1) กรอบนโยบายการเงินที่ดูแล
ด้านเสถียรภาพเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน 2) กรอบการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว แบบมีการจัดการ 3) การเปิดเสรีบัญชีเงินทุน
และ 4) มาตรการดูแลความเสี่ยงด้านมหภาค ซึ่งทั้ง 4 นโยบายนี้ ธปท.นำมาใช้ตั้งแต่ปี 43 และเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งไม่ด้วย
กว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคโดยเฉลี่ย สำหรับข้อสรุปจากการหารือคือ การดำเนินนโยบายต้องคำนึงถึงกรอบและภาวะแวดล้อมที่มีอยู่ รวมทั้งมุ่งให้
ภาครัฐและเอกชนเร่งผลักดันโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความแข็งแกร่ง (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด)
2. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวดีขึ้นจากปัจจัยบวกทั้งภายในและภายนอกประเทศ นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นมาก โดยวานนี้ (20 ส.ค.) ดัชนีปิดที่ 792.02 จุด เพิ่มขึ้น
33.60 จุด มูลค่าการซื้อขาย 23,146.67 ล.บาท มีสาเหตุจากปัจจัยบวกทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจัยในประเทศเป็นผลจากการที่ประชาชน
ลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ทำให้ปัจจัยทางการเมืองคลี่คลายลง และนักลงทุนต่างชาติมั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งตามกำหนดการเดิมคือใน
ช่วงปลายปี ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศเป็นผลจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพร์ม) คลี่คลาย จากการที่ ธ.กลางสหรัฐฯ ลด
อัตราดอกเบี้ยลง 0.50% และอัดฉีดเงินเข้าระบบอีก 60,000 ล.ดอลลาร์ สรอ. อย่างไรก็ตาม ต้องการให้ภาครัฐให้ความสำคัญกับภาคตลาดทุน
ทั้งตลาดตราสารหนี้ ตลาดอนุพันธ์ และตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า เนื่องจากที่ผ่านมาการออกมาตรการไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิด
กับภาคตลาดทุนเท่าที่ควร (โลกวันนี้, ข่าวสด)
3. ปัญหาค่าเงินบาทไม่ส่งผลกระทบหลักต่อการดำเนินธุรกิจเอสเอ็มอี นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริม
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นไตรมาส 2 ปี 50 มีกิจการเอสเอ็มอีเปิดใหม่ทั้งสิ้นประมาณ
17,000 ราย ขณะที่มีอัตราเลิกกิจการประมาณ 2,000 ราย เทียบอัตราส่วนกับปี 49 มีกิจการเกิดใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 5% สำหรับสาเหตุที่ทำให้
เอสเอ็มอีเลิกกิจการ ประกอบด้วย ผู้ประกอบการไม่มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจ ธุรกิจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่สามารถบริหารต้นทุน
ได้ดีพอ ส่วนปัญหาเรื่องค่าเงินบาทนั้น กระทบต่อการปิดกิจการบ้าง แต่ไม่ใช่สาเหตุหลัก ทั้งนี้ ประเภทธุรกิจที่มีอัตราการเปิดตัวมาก ได้แก่
สาขาสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม สาขาเนื้อสัตว์ สาขาไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ เป็นต้น ส่วนธุรกิจสาขาที่มีอัตราเปิดใหม่สูง ได้แก่ สาขาเครื่องมือ
เฉพาะทาง เช่น เครื่องมือแพทย์ สาขาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจรีไซเคิล เป็นต้น ด้านปัจจัยลบทางเศรษฐกิจนับแต่ต้นปี ยังคงเป็นปัจจัยลบ
ที่ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เช่น ค่าเงินบาท ราคาน้ำมัน สถานการณ์การเมือง ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และความสามารถทางการแข่งขันของ
เอสเอ็มอีไทย เป็นต้น ส่วนปัจจัยบวกนั้น แม้สภาพเศรษฐกิจขณะนี้จะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งการ
ส่งออกและการจ้างงาน (ผู้จัดการรายวัน)
4. ก.คลังเสนอนโยบายการอุดหนุนเงินให้กับรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการสาธารณะ รายงานข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า สำนักงาน
คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้เสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอุดหนุนบริการสาธารณะตามนโยบายพิเศษของรัฐบาล
ซึ่งเป็นระเบียบกลางที่ใช้กำหนดหลักเกณฑ์การอุดหนุนเงิน งปม.แก่รัฐวิสาหกิจที่ให้บริการสาธารณะ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของเลขาธิการ
ครม. ก่อนนำเสนอ ครม. ทั้งนี้ ปัจจุบัน รัฐบาลได้มีการอุดหนุนเงิน งปม.แก่รัฐวิสาหกิจที่ให้บริการสาธารณะเป็นประจำทุกปี แต่รัฐวิสาหกิจไม่ได้
มีการแยกบัญชีค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนว่า บัญชีใดเป็นการให้บริการเชิงสังคม บัญชีใดเป็นการให้บริการเชิงพาณิชย์ ทำให้การอุดหนุนเงิน งปม. เป็นไป
ในลักษณะภาพรวม ก.คลังจึงร่างระเบียบขึ้น เพื่อกำหนดอัตราการจ่ายเงิน งปม.ที่เหมาะสม กรณีที่รัฐวิสาหกิจให้บริการแก่สาธารณะ ซึ่งจะทำให้
การจ่ายเงิน งปม.อุดหนุน เป็นไปตามค่าใช้จ่ายจริงและลดลงจากปัจจุบัน โดยคาดว่ารัฐวิสาหกิจที่จะเข้ามาใช้ระบบ “การอุดหนุนเงิน งปม.แก่
บริการสาธารณะ” หรือ “Public Service Obligation (PSO)” เฟสแรก ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ การรถไฟแห่งประเทศไทย
และการประปาส่วนภูมิภาค เนื่องจากรัฐวิสาหกิจเหล่านี้ได้ให้บริการสาธารณะในราคาถูก (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีอุตสาหกรรมโดยรวมของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือน รายงานจากโตเกียว เมื่อ 21 ส.ค.50
รัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ดัชนีอุตสาหกรรมโดยรวมของญี่ปุ่น ซึ่งครอบคลุมช่วงกิจกรรมทางเศรษฐกิจแนวกว้างรวมถึงดัชนีชี้วัดแนวโน้มภาคบริการ
(Tertiary Index) ในเดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือน ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยเมื่อพิจารณา
ดัชนีองค์ประกอบของดัชนีอุตสาหกรรมโดยรวมแล้วพบว่า ส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้น อาทิเช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ดัชนีชี้วัดแนวโน้มภาคบริการ
ดัชนีกิจกรรมภาคสาธารณะ และ Final demand components (ซึ่งเป็นดัชนีองค์ประกอบตัวใหม่ของดัชนีอุตสาหกรรมโดยรวม) เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.3 0.1 0.5 และ 0.7 จากที่ลดลงร้อยละ 0.3 0.1 0.5 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ในเดือน พ.ค.50 ตามลำดับ ยกเว้น
ดัชนีภาคการก่อสร้างที่ลดลงร้อยละ 1.7 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ในเดือนก่อนหน้า (รอยเตอร์)
2. ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.ในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 20 ส.ค.50
The Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.ในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 138.1 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4
หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.3 อยู่ที่ระดับ 137.5 ในเดือน มิ.ย.50 (ตัวเลขก่อนการทบทวน) ทั้งนี้ ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ. ในรอบ
6 เดือนที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วถึง 3 ครั้ง สำหรับสาเหตุสำคัญในการสนับสนุนดัชนีดังกล่าวเพิ่มขึ้นในเดือน ก.ค. คือ ดัชนีความความคาดหวัง
ของผู้บริโภค Vendor Performance และ Initial Jobless Claims เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 0.19 0.15 และ 0.13 หลังจากที่ลดลง
ร้อยละ 0.08 0.04 และ 0.12 ในเดือนก่อนหน้าตามลำดับ อันสามารถชดเชยดัชนีองค์ประกอบอื่นที่ลดลงได้ คือ ดัชนีการขออนุญาตก่อสร้าง
ที่อยู่อาศัย ดัชนีคำสั่งซื้อสินค้าที่ไม่ใช่ยุทโธปกรณ์ และดัชนีช่วงห่างอัตราดอกเบี้ย ที่ลดลงร้อยละ 0.08 0.04 และ 0.03 จากที่ลดลง 0.20
0.09 และ 0.02 ในเดือนก่อนหน้าตามลำดับ (รอยเตอร์)
3. สหภาพยุโรปเตือนจีนเรื่องความปลอดภัยในผลิตภัณฑ์ของเด็กเล่นจากจีน รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 50
นาย Peter Mandelson กรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรปเปิดเผยว่า ของเล่นที่นำเข้าจากจีนมีความไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพมิใช่เป็นประเด็น
ตอบโต้ทางการค้าของสหภาพยุโรป ที่จะสนับสนุนให้บริษัทต่างๆในสหภาพยุโรปปฏิเสธสินค้าต่างๆรวมทั้งสินค้าประเภทของเล่นเด็กเล็กที่เป็น
อันตรายต่อผู้บริโภคที่นำเข้าจากจีน โดยเมื่อเดือนที่แล้วคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคของสหภาพยุโรปได้ออกมาเตือนจีนว่าสหภาพยุโรปจะ
ดำเนินมาตรการต่างๆแม้กระทั่งการห้ามนำเข้าสินค้าจากจีนหากจีนไม่ดำเนินการกับบริษัทที่ผลิตสินค้าที่เป็นอันตรายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม
เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ดูแลคุณภาพสินค้าของจีนออกมากล่าวว่า จีนได้รับการปฎิบัติที่ไม่เป็นธรรมทั้งๆที่จีนได้ตรวจสอบคุณภาพสินค้าและทำทุกๆ อย่าง
เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพ แม้กระทั่งการเรียกคืนของเล่นที่เป็นอันตรายจำนวนมากจากสหภาพยุโรป ทั้งนี้ปัจจุบันจีนกำลังได้รับแรงกดดันจากบรรดา
ประเทศคู่ค้าภายหลังจากสินค้าต่างๆที่ส่งออกจากจีนมีอันตราย อาทิ อาหารเลี้ยงสัตว์ ปลามีพิษ ของเล่นเด็กที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ตลอดจน
ยาสีฟันที่เป็นอันตราย โดยในปี 49 เกือบครึ่งหนึ่งของสินค้าอันตรายจำนวน 924 ชนิดที่มีในรายงานของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
ของสหภาพยุโรปเป็นสินค้าที่นำเข้าจากจีน นอกจากนั้นยังมีประเด็นตึงเครียดระหว่างสหภาพยุโรปและจีนในเรื่องที่จีนเกินดุลการค้าจำนวน
มหาศาลกับสหภาพยุโรป (รอยเตอร์)
4. สิงคโปร์ปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะปานกลาง (5-10 ปี) เป็นร้อยละ 4 - 6 รายงานจากประเทศสิงคโปร์
เมื่อวันที่ 20 ส.ค.50 ก.การค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ ได้ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ช่วงระยะปานกลางคือ
ใน 5 - 10 ปีข้างหน้าเป็นร้อยละ 4 — 6 จากเดิมที่เคยประมาณการไว้เมื่อปี 46 ที่ร้อยละ 3 — 5 โดยการประมาณการดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานข้อมูล
ที่ว่าอัตราการขยายตัวของประชากรที่อยู่ในวัยทำงานอยู่ที่ร้อยละ 1.5 — 2.5 ต่อปี และความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 — 3.5 ต่อปี
ขณะที่ปัจจัยภายนอกในช่วง 5 ปีข้างหน้าคาดว่าจะช่วยสนับสนุนและเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะทำให้ศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจสิงคโปร์เป็นจริง
โดยตลาดหลักของการส่งออกในต่างประเทศ เช่น สรอ. ยุโรป และญี่ปุ่น คาดว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลดีจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ
อินเดียและจีน ทั้งนี้ การปรับประมาณการใหม่นี้เป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจของสิงคโปร์เทียบต่อปีขยายตัวสูงถึงร้อยละ 14.4 ในไตรมาส 2
ซึ่งสูงสุดในรอบ 2 ปี รวมทั้งการที่รัฐบาลได้ปรับเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้เป็นร้อยละ 7 — 8 จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่
ร้อยละ 5 — 7 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 21 ส.ค. 50 20 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.380 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.1721/34.5023 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.38375 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 792.02/23.15 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,650/10,750 10,600/10,700 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 67.00 66.59 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 28.39*/25.34* 28.39*/25.34* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดสิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 9 ส.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--