กรุงเทพ--19 ก.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
ผลการประชุมผู้นำอย่างไม่เป็นทางการว่าด้วยการสมานฉันท์ความเชื่อเพื่อสันติภาพ(Informal Meeting of the Leaders on Interfaith Dialogue and Cooperation for Peace)
เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2548 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุม Informal Meeting of the Leaders on Interfaith Dialogue and Cooperation for peace ซึ่งนางกลอเรีย อาโรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ณ ห้องประชุมคณะมนตรีด้านเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council หรือ ECOSOC) สำนักงานสหประชาชาติ ในระหว่างการประชุม UNGA ที่นครนิวยอร์ก
การประชุมดังกล่าวเป็นความคิดริเริ่มของรัฐบาลฟิลิปปินส์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในระดับสูงระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคมและระบบสหประชาชาติเพื่อสนับสนุนวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ (culture of peace) และการหารือระหว่างอารยธรรม (dialogue among civilizations) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสันติภาพที่ยั่งยืนในศตวรรษที่ 21 และได้เชิญชวนประเทศที่เคยร่วมอุปถัมภ์การประชุม Conference on Interfaith Cooperation for Peace ซึ่งฟิลิปปินส์จัดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2548 ให้ร่วมอุปถัมภ์การประชุม Informal Summit ในครั้งนี้ด้วย (ไทยเคยร่วมอุปถัมภ์การประชุมดังกล่าว)
ในการกล่าวถ้อยแถลงดังกล่าว นายกรัฐมนตรีของไทยได้เน้นประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
(1) ความสำคัญของการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนาซึ่งเป็นรากฐานสำคัญ
ของสันติภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ซึ่งในด้านหนึ่งนำมาซึ่งการขยายโอกาสสำหรับมนุษยชาติแต่ในอีกด้านหนึ่ง ถูกมองจากหลายฝ่ายว่านำมาซึ่งความแตกแยกและความขัดแย้งภายในสังคมและระหว่างประเทศ
(2) ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว มีผู้ที่แสวงโอกาสในการใช้ข้อกังวลเพื่อส่งเสริมแนวความคิดที่สุดขั้ว (extremism) ความท้าทายของ extremism ไม่ได้จำกัดเฉพาะการดำเนินการหรือเครือข่ายการก่อการร้าย แต่รวมถึงความลำเอียงบนพื้นฐานของความแตกต่างทางเชื้อชาติวัฒนธรรมและศาสนาด้วย
(3) การประชุมหารือครั้งนี้สามารถนำมาซึ่งการดำเนินการร่วมกันเพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทาย
ดังกล่าวโดยควรส่งเสริมความหลากหลายและเสริมสร้างความเข้าใจถึงคุณค่า (richness) ของศาสนาต่าง ๆ รวมทั้งการส่งเสริมสิ่งที่ศาสนาต่าง ๆ ของโลกให้ความสำคัญเหมือนกัน
(4) ความสำคัญของการร่วมมือเพื่อปฏิเสธและประณามความรุนแรงในทุกรูปแบบภายใต้ข้ออ้างทางศาสนาโดยส่งเสริมแนวทางสายกลางในทุกความเชื่อและศาสนา
(5) ความสำคัญของการจัดการกับต้นตอปัญหาซึ่งทำให้เกิด extremism ในแต่ละสังคม และ
(6) การที่ศาสนาต้องอยู่เหนือการเมือง และไม่ถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่ออำนาจทางการเมือง
(7) ความสำคัญของการร่วมมือในลักษณะหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาล ภาคประชาสังคมและสหประชาชาติ
นอกจากนางกลอเรีย อาโรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ประธานการประชุมนายกรัฐมนตรีไทยแล้ว ผู้นำรัฐบาลหรือผู้แทนระดับสูงจากประเทศที่ร่วมอุปถัมภ์การประชุมข้างต้น และเข้าร่วมการประชุมผู้นำในครั้งนี้ด้วย มีจำนวน 12 ประเทศ ได้แก่ ประธานาธิบดีปากีสถาน ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ประธานาธิบดีทาจิกิสถาน ประธานาธิบดีสโลเวเนีย ประธานาธิบดีเซเนกัล ประธานาธิบดีแกมเบีย นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคาซัคสถาน และผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีบังคลาเทศ เอกวาดอร์ อิหร่าน ลิเบีย และอียิปต์ นอกจากนี้ มีประเทศต่าง ๆ ที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย เช่น ออสเตรเลีย ไอซ์แลนด์ ญี่ปุ่น โปแลนด์ เซอร์เบียฯ สเปน สวีเดน ตุรกี สหรัฐฯ และเวียดนาม สำหรับแขกรับเชิญพิเศษที่สำคัญๆได้แก่ ผู้อำนวยการบริหาร UNESCO เลขาธิการOIC และผู้แทนสำนักวาติกัน
ในการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญา ซึ่งมีสาระสำคัญได้แก่ (1) ให้คำมั่นที่จะปฏิบัติตามผลการประชุม High Level Plenary Meeting (HLPM) (2) ยืนยันความเกี่ยวโยงซึ่งไม่อาจแยกออกจากกันได้ระหว่างการพัฒนา สันติภาพ ความมั่นคงและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และยอมรับว่าวัฒนธรรมแห่งสันติภาพจะสามารถบรรลุได้โดยวิธีการต่าง ๆ เช่น การหารือ การส่งเสริมการมีส่วนร่วม ความเสมอภาค ความยุติธรรมและความอดกลั้น การส่งเสริมความเข้าใจและการเคารพซึ่งกันและกัน การส่งเสริมความรู้และการเห็นคุณค่าของแก่นแท้ ในแต่ละอารยธรรม การส่งเสริมสิ่งที่เหมือนกันระหว่างอารยธรรมและศาสนาเพื่อเผชิญกับสิ่งท้าทายร่วมกัน (3) ยืนยันการสนับสนุน Declaration and Programme of Action on a Culture of Peace และ Global Agenda andProgramme of Action for Dialogue Among Civilizations และสนับสนุนการดำเนินงานของ UNESCO เพื่อการนี้ (4) เชิญชวนให้ประชาคมระหว่างประเทศเสริมสร้างความร่วมมือยิ่งขึ้นทั้งในระดับระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาคและภายในประเทศ เพื่ออนุวัติโครงการต่าง ๆ ของสหประชาชาติเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ และ (5) เห็นชอบที่จะประชุมกันในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อทบทวนความคืบหน้าในการส่งเสริมความร่วมมือ เป็นต้น
นอกจากนั้น สหประชาชาติได้ให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมวัฒนธรรมสันติภาพและความร่วมมือระหว่างอารยธรรม ศาสนาและวัฒนธรรมต่าง ๆ และได้ประกาศให้ปี 2544-2553 เป็นทศวรรษแห่งวัฒนธรรมแห่งสันติภาพและในปี 2547 ได้มีบางประเทศได้เสนอแนวความร่วมมือใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ได้แก่ Alliance of Civilizations โดยสเปนและ Interfaith Dialoque for Cooperation and Peace โดยฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ การประชุมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการหารือระหว่างศาสนาและความเชื่อต่าง ๆ มีการดำเนินการอย่างกว้างขวางในกรอบต่าง ๆ ทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศด้วย เช่น Enlightened Moderation, Interfaith Harmony, Inter-religious Dialogue, Christian and Islamic Understanding เป็นต้น
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
ผลการประชุมผู้นำอย่างไม่เป็นทางการว่าด้วยการสมานฉันท์ความเชื่อเพื่อสันติภาพ(Informal Meeting of the Leaders on Interfaith Dialogue and Cooperation for Peace)
เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2548 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุม Informal Meeting of the Leaders on Interfaith Dialogue and Cooperation for peace ซึ่งนางกลอเรีย อาโรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ณ ห้องประชุมคณะมนตรีด้านเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council หรือ ECOSOC) สำนักงานสหประชาชาติ ในระหว่างการประชุม UNGA ที่นครนิวยอร์ก
การประชุมดังกล่าวเป็นความคิดริเริ่มของรัฐบาลฟิลิปปินส์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในระดับสูงระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคมและระบบสหประชาชาติเพื่อสนับสนุนวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ (culture of peace) และการหารือระหว่างอารยธรรม (dialogue among civilizations) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสันติภาพที่ยั่งยืนในศตวรรษที่ 21 และได้เชิญชวนประเทศที่เคยร่วมอุปถัมภ์การประชุม Conference on Interfaith Cooperation for Peace ซึ่งฟิลิปปินส์จัดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2548 ให้ร่วมอุปถัมภ์การประชุม Informal Summit ในครั้งนี้ด้วย (ไทยเคยร่วมอุปถัมภ์การประชุมดังกล่าว)
ในการกล่าวถ้อยแถลงดังกล่าว นายกรัฐมนตรีของไทยได้เน้นประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
(1) ความสำคัญของการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนาซึ่งเป็นรากฐานสำคัญ
ของสันติภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ซึ่งในด้านหนึ่งนำมาซึ่งการขยายโอกาสสำหรับมนุษยชาติแต่ในอีกด้านหนึ่ง ถูกมองจากหลายฝ่ายว่านำมาซึ่งความแตกแยกและความขัดแย้งภายในสังคมและระหว่างประเทศ
(2) ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว มีผู้ที่แสวงโอกาสในการใช้ข้อกังวลเพื่อส่งเสริมแนวความคิดที่สุดขั้ว (extremism) ความท้าทายของ extremism ไม่ได้จำกัดเฉพาะการดำเนินการหรือเครือข่ายการก่อการร้าย แต่รวมถึงความลำเอียงบนพื้นฐานของความแตกต่างทางเชื้อชาติวัฒนธรรมและศาสนาด้วย
(3) การประชุมหารือครั้งนี้สามารถนำมาซึ่งการดำเนินการร่วมกันเพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทาย
ดังกล่าวโดยควรส่งเสริมความหลากหลายและเสริมสร้างความเข้าใจถึงคุณค่า (richness) ของศาสนาต่าง ๆ รวมทั้งการส่งเสริมสิ่งที่ศาสนาต่าง ๆ ของโลกให้ความสำคัญเหมือนกัน
(4) ความสำคัญของการร่วมมือเพื่อปฏิเสธและประณามความรุนแรงในทุกรูปแบบภายใต้ข้ออ้างทางศาสนาโดยส่งเสริมแนวทางสายกลางในทุกความเชื่อและศาสนา
(5) ความสำคัญของการจัดการกับต้นตอปัญหาซึ่งทำให้เกิด extremism ในแต่ละสังคม และ
(6) การที่ศาสนาต้องอยู่เหนือการเมือง และไม่ถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่ออำนาจทางการเมือง
(7) ความสำคัญของการร่วมมือในลักษณะหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาล ภาคประชาสังคมและสหประชาชาติ
นอกจากนางกลอเรีย อาโรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ประธานการประชุมนายกรัฐมนตรีไทยแล้ว ผู้นำรัฐบาลหรือผู้แทนระดับสูงจากประเทศที่ร่วมอุปถัมภ์การประชุมข้างต้น และเข้าร่วมการประชุมผู้นำในครั้งนี้ด้วย มีจำนวน 12 ประเทศ ได้แก่ ประธานาธิบดีปากีสถาน ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ประธานาธิบดีทาจิกิสถาน ประธานาธิบดีสโลเวเนีย ประธานาธิบดีเซเนกัล ประธานาธิบดีแกมเบีย นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคาซัคสถาน และผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีบังคลาเทศ เอกวาดอร์ อิหร่าน ลิเบีย และอียิปต์ นอกจากนี้ มีประเทศต่าง ๆ ที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย เช่น ออสเตรเลีย ไอซ์แลนด์ ญี่ปุ่น โปแลนด์ เซอร์เบียฯ สเปน สวีเดน ตุรกี สหรัฐฯ และเวียดนาม สำหรับแขกรับเชิญพิเศษที่สำคัญๆได้แก่ ผู้อำนวยการบริหาร UNESCO เลขาธิการOIC และผู้แทนสำนักวาติกัน
ในการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญา ซึ่งมีสาระสำคัญได้แก่ (1) ให้คำมั่นที่จะปฏิบัติตามผลการประชุม High Level Plenary Meeting (HLPM) (2) ยืนยันความเกี่ยวโยงซึ่งไม่อาจแยกออกจากกันได้ระหว่างการพัฒนา สันติภาพ ความมั่นคงและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และยอมรับว่าวัฒนธรรมแห่งสันติภาพจะสามารถบรรลุได้โดยวิธีการต่าง ๆ เช่น การหารือ การส่งเสริมการมีส่วนร่วม ความเสมอภาค ความยุติธรรมและความอดกลั้น การส่งเสริมความเข้าใจและการเคารพซึ่งกันและกัน การส่งเสริมความรู้และการเห็นคุณค่าของแก่นแท้ ในแต่ละอารยธรรม การส่งเสริมสิ่งที่เหมือนกันระหว่างอารยธรรมและศาสนาเพื่อเผชิญกับสิ่งท้าทายร่วมกัน (3) ยืนยันการสนับสนุน Declaration and Programme of Action on a Culture of Peace และ Global Agenda andProgramme of Action for Dialogue Among Civilizations และสนับสนุนการดำเนินงานของ UNESCO เพื่อการนี้ (4) เชิญชวนให้ประชาคมระหว่างประเทศเสริมสร้างความร่วมมือยิ่งขึ้นทั้งในระดับระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาคและภายในประเทศ เพื่ออนุวัติโครงการต่าง ๆ ของสหประชาชาติเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ และ (5) เห็นชอบที่จะประชุมกันในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อทบทวนความคืบหน้าในการส่งเสริมความร่วมมือ เป็นต้น
นอกจากนั้น สหประชาชาติได้ให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมวัฒนธรรมสันติภาพและความร่วมมือระหว่างอารยธรรม ศาสนาและวัฒนธรรมต่าง ๆ และได้ประกาศให้ปี 2544-2553 เป็นทศวรรษแห่งวัฒนธรรมแห่งสันติภาพและในปี 2547 ได้มีบางประเทศได้เสนอแนวความร่วมมือใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ได้แก่ Alliance of Civilizations โดยสเปนและ Interfaith Dialoque for Cooperation and Peace โดยฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ การประชุมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการหารือระหว่างศาสนาและความเชื่อต่าง ๆ มีการดำเนินการอย่างกว้างขวางในกรอบต่าง ๆ ทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศด้วย เช่น Enlightened Moderation, Interfaith Harmony, Inter-religious Dialogue, Christian and Islamic Understanding เป็นต้น
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-