แท็ก
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ธนาคารแห่งประเทศไทย
กรมการขนส่งทางบก
กระทรวงการคลัง
บล.บัวหลวง
เงินบาท
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.เตรียมผ่อนคลายมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
ในปลายสัปดาห์นี้หรือต้นสัปดาห์หน้า ธปท.จะผ่อนคลายมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่ให้กันสำรองสำหรับเงินทุนนำเข้า 30% โดย
เฉพาะในส่วนของการกู้ยืมเงินของภาคเอกชนมาขยายการลงทุน เพราะเห็นว่าขณะนี้ค่าเงินบาทมีทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาคแล้ว สำหรับ
ค่าเงินบาท ณ วันที่ 23 ม.ค.50 อยู่ที่ 35.93-35.95 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. จากเดิมที่อยู่ในระดับ 36.02 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. (โพสต์ทูเดย์)
2. เอ็นพีแอลของระบบ ธพ. ณ สิ้นเดือน ธ.ค.49 ลดลง 49.2% รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
ในเดือน ธ.ค.50 เป็นงวดที่ ธปท.ได้กำหนดนิยามการรายงานหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ใหม่ โดยไม่ต้องรายงานหนี้ที่ค้างชำระเกินกว่า
3 เดือนแต่มีหลักประกันมากกว่าหรือเพียงพอในการชำระหนี้เป็นหนี้เอ็นพีแอล และเป็นงวดแรกของการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ไอเอเอส 39 ที่ ธพ.
ต้องสำรองเงินเพิ่มในส่วนของเอ็นพีแอล ทำให้ ธพ.เร่งปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดเอ็นพีแอล โดยเอ็นพีแอลของระบบ ธพ. ณ สิ้นเดือน ธ.ค.49
มียอดคงค้าง 238,565.81 ล.บาทหรือ 4.15% ต่อสินเชื่อรวม ลดลงจากสิ้นเดือน ก.ย.49 ที่มีเอ็นพีแอล 484,905.31 ล.บาท หรือ 8.19%
ต่อสินเชื่อรวม หรือลดลง 49.2% ทั้งนี้ หาก ธพ.เร่งปรับโครงสร้างหนี้เช่นนี้ เป็นไปได้ว่าภายในสิ้นปี 50 หลังจากใช้มาตรฐานบัญชีไอเอเอส 39
เต็มรูปแบบแล้ว เอ็นพีแอลของระบบจะลดลงเหลือ 2% ตามเป้าหมาย (โลกวันนี้, ไทยรัฐ)
3. ภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ไทยยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่
23 ม.ค.50 ยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีปิดที่ 650.76 จุด ลดลง 4.36 จุด มูลค่าการซื้อขาย 10,417.86 ล.บาท ทั้งนี้
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ดัชนีปรับลดลงเนื่องจากมีแรงเทขายของนักลงทุนออกมาต่อเนื่อง โดย
เฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน โดยมาตรการกันสำรอง 30% ยังเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลในการลงทุนพอสมควร (ไทยโพสต์)
4. เอดีบีระบุมาตรการกันสำรอง 30% จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการส่งออก นายหลี่ ฉุน จิน รองประธาน
ธ.เพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ระบุว่านานาชาติไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของไทยในการใช้มาตรการควบคุมเงินทุน เพื่อพยายามจำกัด
การแข็งค่าของเงินบาท เนื่องจากการไหลเข้าของเงินทุนที่มากเกินไปจะผลักดันเงินบาทให้แข็งค่ามากและสร้างแรงกดดันต่อภาคการส่งออก
จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องดำเนินการเพื่อสกัดกั้นการไหลเข้าของเม็ดเงินเก็งกำไร นอกจากนี้เชื่อว่าเศรษฐกิจของเอเชียสามารถรับมือกับการ
อ่อนค่าของดอลลาร์ สรอ.ในระยะนี้ได้ ส่วน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รอง นรม.และ รมว.คลัง เปิดเผยถึงมาตรการกันสำรอง 30% โดย
ยืนยันว่ามาตรการดังกล่าวได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะเงินบาทอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออก ซึ่งเป็น
ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ (กรุงเทพธุรกิจ)
5. คาดว่าทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยปี 50 จะชะลอลง กรรมการผู้จัดการบริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด
(AREA) กล่าวถึงทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยปี 50 ว่า จะมีจำนวนหน่วยขายลดลงจากปี 49 ประมาณ 5% ส่วนมูลค่าจะลดลง 10% โดยมูลค่าและ
จำนวนหน่วยที่ประมาณการไว้คือ 168,197 ล.บาท และ 62,812 หน่วย และหากเกิดความวุ่นวายทางการเมืองจนเศรษฐกิจถดถอย แนวโน้ม
ตลาดที่อยู่อาศัยจะยิ่งแย่ลงอีก (โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ. ในเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้น รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 50 รายงานการวิจัย
ของภาคเอกชนชี้ว่า ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ (Leading Economic Index) ซึ่งใช้เป็นมาตรวัดภาวะเศรษฐกิจในเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้นเหนือความ
คาดหมายร้อยละ 0.3 บ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวต่อไปอีกในเดือนหน้า ซึ่งตลาดได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้นว่าดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ
จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขหลังปรับฤดูกาลในเดือน พ.ย.ทั้งนี้ นาย Ken Goldstein นักเศรษฐศาสตร์จาก
New York-based research group กล่าวว่าดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจดังกล่าวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในระดับปานกลางหรือเร่งตัวเล็กน้อย
ต่อไปอีก ประกอบกับการเติบโตของรายได้และราคาน้ำมันที่ต่ำลงจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในฤดูใบไม้ผลินี้ ขณะที่ดัชนีพ้องภาวะเศรษฐกิจ
(coincident index) ซึ่งใช้เป็นมาตรวัดภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ในเดือน ธ.ค. เท่ากับเดือน พ.ย. และ ต.ค. ส่วน
ดัชนีตามภาวะเศรษฐกิจ ( lagging index) ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดภาวะเศรษฐกิจที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6
และร้อยละ 0.1 ในเดือน พ.ย. และต.ค. ตามลำดับ (รอยเตอร์)
2. คาดว่าเศรษฐกิจ สรอ. ปีนี้จะยังขยายตัวได้ต่อไป แต่อาจมีการปรับลดดอกเบี้ย รายงานจากกรุงนิวยอร์ค ประเทศ สรอ.
เมื่อวันที่ 23 ม.ค.50 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 58 คน คาดว่า เศรษฐกิจ สรอ. ในปีนี้ยังคงมีความเสี่ยง
อยู่บ้างที่ภาวะเศรษฐกิจจะถดถอยลงได้ แม้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่งพอที่จะชดเชยกับการที่ตลาดที่อยู่อาศัยใน สรอ. ที่อยู่ในช่วง
ขาลงก็ตาม ทั้งนี้ คาดว่าความอ่อนแอในภาคอสังหาริมทรัพย์จะส่งผลกระทบอย่างแรงต่อเศรษฐกิจโดยรวมของ สรอ. ซึ่งจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่จะ
ทำให้ ธ.กลาง สรอ. ไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จะคาดว่ามีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงภายใน
สิ้นเดือน มิ.ย.50 โดยคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.5 และจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.0 ในปี 51 (รอยเตอร์)
3. คำสั่งซื้อใหม่ของภาคอุตสาหกรรมเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เทียบต่อเดือน แข็งแกร่งกว่าที่
คาดการณ์ไว้ รายงานจากบรัสเซลล์ เมื่อ 23 ม.ค.50 สำนักงานสถิติสหภาพยุโรป เปิดเผยว่า คำสั่งซื้อใหม่ภาคอุตสาหกรรมของเขตเศรษฐกิจ
ยุโรปในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เทียบต่อเดือน แข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ขณะที่เทียบต่อปี
เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 และหากไม่นับรวมคำสั่งซื้อสำหรับเรือ รถไฟ และเครื่องบิน ซึ่งมี
ความผันผวนแล้ว จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 เทียบต่อเดือน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 เมื่อเทียบต่อปี ทั้งนี้ คำสั่งซื้อสินค้าประเภท basic metals
และ fabricate metal ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อที่มีจำนวนสูงสุดในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.8 ขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าภาคการขนส่งลดลงร้อยละ
2.0 อนึ่ง คำสั่งซื้อใหม่ของภาคอุตสาหกรรมเป็นเครื่องบ่งชี้ผลผลิตอุตสาหกรรมในอนาคต นอกจากนี้ สำนักงานสถิติยังได้ทบทวนตัวเลขคำสั่งซื้อฯ
ในเดือน ต.ค.49 ลดลงอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.5 เทียบต่อเดือน เทียบกับที่รายงานเบื้องต้นก่อนหน้านี้ว่าลดลงร้อยละ 0.6 และเพิ่มขึ้นร้อยละ
12.8 เมื่อเทียบต่อปี เทียบกับที่รายงานว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 (รอยเตอร์)
4. คำสั่งซื้อโรงงานของอังกฤษในเดือน ม.ค.50 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ -9 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 23 ม.ค.50
The Confederation of British Industry (CBI) เปิดเผยว่า คำสั่งซื้อโรงงานของอังกฤษในเดือน ม.ค.50 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ -9
สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ -6 ขณะที่เดือน ธ.ค.49 อยู่ที่ระดับ -5 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อเดือน ก.ย.49 ที่อยู่
ในระดับสูงสุดในรอบ 21 เดือน ทั้งนี้ คำสั่งซื้อดังกล่าวชะลอลงต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ต.ค.49 ที่ลดลงต่ำสุดที่ระดับ -20 ขณะที่คำสั่งซื้อภาคการ
ส่งออกฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ -3 ในเดือน ม.ค.50 จากระดับ -5 ในเดือน ธ.ค.49 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีความกังวลด้านราคาที่คาดว่าจะ
เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยระดับราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ +19 จากระดับ +8 นอกจากนี้ ระดับราคาในประเทศในรอบ 3 เดือนล่าสุดเพิ่มขึ้น
ในอัตราที่รวดเร็วที่สุดตั้งแต่เดือน ก.ค. 38 โดยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ +15 เทียบกับที่อยู่ที่ระดับ +3 ในเดือน ต.ค.49 และผู้ประกอบการคาดว่า
ระดับราคาจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในรอบ 3 เดือนข้างหน้านี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 24 ม.ค. 50 23 ม.ค. 50 29 ธ.ค. 49
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 36.008 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.7949/36.1189 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.875 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 650.76/10.42 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,850/10,950 10,700/10,800 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 52.31 49.59 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.19*/22.54** 25.19*/22.54** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 19 ม.ค. 50 ** ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 13 ม.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.เตรียมผ่อนคลายมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
ในปลายสัปดาห์นี้หรือต้นสัปดาห์หน้า ธปท.จะผ่อนคลายมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่ให้กันสำรองสำหรับเงินทุนนำเข้า 30% โดย
เฉพาะในส่วนของการกู้ยืมเงินของภาคเอกชนมาขยายการลงทุน เพราะเห็นว่าขณะนี้ค่าเงินบาทมีทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาคแล้ว สำหรับ
ค่าเงินบาท ณ วันที่ 23 ม.ค.50 อยู่ที่ 35.93-35.95 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. จากเดิมที่อยู่ในระดับ 36.02 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. (โพสต์ทูเดย์)
2. เอ็นพีแอลของระบบ ธพ. ณ สิ้นเดือน ธ.ค.49 ลดลง 49.2% รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
ในเดือน ธ.ค.50 เป็นงวดที่ ธปท.ได้กำหนดนิยามการรายงานหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ใหม่ โดยไม่ต้องรายงานหนี้ที่ค้างชำระเกินกว่า
3 เดือนแต่มีหลักประกันมากกว่าหรือเพียงพอในการชำระหนี้เป็นหนี้เอ็นพีแอล และเป็นงวดแรกของการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ไอเอเอส 39 ที่ ธพ.
ต้องสำรองเงินเพิ่มในส่วนของเอ็นพีแอล ทำให้ ธพ.เร่งปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดเอ็นพีแอล โดยเอ็นพีแอลของระบบ ธพ. ณ สิ้นเดือน ธ.ค.49
มียอดคงค้าง 238,565.81 ล.บาทหรือ 4.15% ต่อสินเชื่อรวม ลดลงจากสิ้นเดือน ก.ย.49 ที่มีเอ็นพีแอล 484,905.31 ล.บาท หรือ 8.19%
ต่อสินเชื่อรวม หรือลดลง 49.2% ทั้งนี้ หาก ธพ.เร่งปรับโครงสร้างหนี้เช่นนี้ เป็นไปได้ว่าภายในสิ้นปี 50 หลังจากใช้มาตรฐานบัญชีไอเอเอส 39
เต็มรูปแบบแล้ว เอ็นพีแอลของระบบจะลดลงเหลือ 2% ตามเป้าหมาย (โลกวันนี้, ไทยรัฐ)
3. ภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ไทยยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่
23 ม.ค.50 ยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีปิดที่ 650.76 จุด ลดลง 4.36 จุด มูลค่าการซื้อขาย 10,417.86 ล.บาท ทั้งนี้
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ดัชนีปรับลดลงเนื่องจากมีแรงเทขายของนักลงทุนออกมาต่อเนื่อง โดย
เฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน โดยมาตรการกันสำรอง 30% ยังเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลในการลงทุนพอสมควร (ไทยโพสต์)
4. เอดีบีระบุมาตรการกันสำรอง 30% จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการส่งออก นายหลี่ ฉุน จิน รองประธาน
ธ.เพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ระบุว่านานาชาติไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของไทยในการใช้มาตรการควบคุมเงินทุน เพื่อพยายามจำกัด
การแข็งค่าของเงินบาท เนื่องจากการไหลเข้าของเงินทุนที่มากเกินไปจะผลักดันเงินบาทให้แข็งค่ามากและสร้างแรงกดดันต่อภาคการส่งออก
จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องดำเนินการเพื่อสกัดกั้นการไหลเข้าของเม็ดเงินเก็งกำไร นอกจากนี้เชื่อว่าเศรษฐกิจของเอเชียสามารถรับมือกับการ
อ่อนค่าของดอลลาร์ สรอ.ในระยะนี้ได้ ส่วน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รอง นรม.และ รมว.คลัง เปิดเผยถึงมาตรการกันสำรอง 30% โดย
ยืนยันว่ามาตรการดังกล่าวได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะเงินบาทอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออก ซึ่งเป็น
ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ (กรุงเทพธุรกิจ)
5. คาดว่าทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยปี 50 จะชะลอลง กรรมการผู้จัดการบริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด
(AREA) กล่าวถึงทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยปี 50 ว่า จะมีจำนวนหน่วยขายลดลงจากปี 49 ประมาณ 5% ส่วนมูลค่าจะลดลง 10% โดยมูลค่าและ
จำนวนหน่วยที่ประมาณการไว้คือ 168,197 ล.บาท และ 62,812 หน่วย และหากเกิดความวุ่นวายทางการเมืองจนเศรษฐกิจถดถอย แนวโน้ม
ตลาดที่อยู่อาศัยจะยิ่งแย่ลงอีก (โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ. ในเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้น รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 50 รายงานการวิจัย
ของภาคเอกชนชี้ว่า ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ (Leading Economic Index) ซึ่งใช้เป็นมาตรวัดภาวะเศรษฐกิจในเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้นเหนือความ
คาดหมายร้อยละ 0.3 บ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวต่อไปอีกในเดือนหน้า ซึ่งตลาดได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้นว่าดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ
จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขหลังปรับฤดูกาลในเดือน พ.ย.ทั้งนี้ นาย Ken Goldstein นักเศรษฐศาสตร์จาก
New York-based research group กล่าวว่าดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจดังกล่าวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในระดับปานกลางหรือเร่งตัวเล็กน้อย
ต่อไปอีก ประกอบกับการเติบโตของรายได้และราคาน้ำมันที่ต่ำลงจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในฤดูใบไม้ผลินี้ ขณะที่ดัชนีพ้องภาวะเศรษฐกิจ
(coincident index) ซึ่งใช้เป็นมาตรวัดภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ในเดือน ธ.ค. เท่ากับเดือน พ.ย. และ ต.ค. ส่วน
ดัชนีตามภาวะเศรษฐกิจ ( lagging index) ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดภาวะเศรษฐกิจที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6
และร้อยละ 0.1 ในเดือน พ.ย. และต.ค. ตามลำดับ (รอยเตอร์)
2. คาดว่าเศรษฐกิจ สรอ. ปีนี้จะยังขยายตัวได้ต่อไป แต่อาจมีการปรับลดดอกเบี้ย รายงานจากกรุงนิวยอร์ค ประเทศ สรอ.
เมื่อวันที่ 23 ม.ค.50 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 58 คน คาดว่า เศรษฐกิจ สรอ. ในปีนี้ยังคงมีความเสี่ยง
อยู่บ้างที่ภาวะเศรษฐกิจจะถดถอยลงได้ แม้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่งพอที่จะชดเชยกับการที่ตลาดที่อยู่อาศัยใน สรอ. ที่อยู่ในช่วง
ขาลงก็ตาม ทั้งนี้ คาดว่าความอ่อนแอในภาคอสังหาริมทรัพย์จะส่งผลกระทบอย่างแรงต่อเศรษฐกิจโดยรวมของ สรอ. ซึ่งจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่จะ
ทำให้ ธ.กลาง สรอ. ไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จะคาดว่ามีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงภายใน
สิ้นเดือน มิ.ย.50 โดยคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.5 และจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.0 ในปี 51 (รอยเตอร์)
3. คำสั่งซื้อใหม่ของภาคอุตสาหกรรมเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เทียบต่อเดือน แข็งแกร่งกว่าที่
คาดการณ์ไว้ รายงานจากบรัสเซลล์ เมื่อ 23 ม.ค.50 สำนักงานสถิติสหภาพยุโรป เปิดเผยว่า คำสั่งซื้อใหม่ภาคอุตสาหกรรมของเขตเศรษฐกิจ
ยุโรปในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เทียบต่อเดือน แข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ขณะที่เทียบต่อปี
เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 และหากไม่นับรวมคำสั่งซื้อสำหรับเรือ รถไฟ และเครื่องบิน ซึ่งมี
ความผันผวนแล้ว จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 เทียบต่อเดือน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 เมื่อเทียบต่อปี ทั้งนี้ คำสั่งซื้อสินค้าประเภท basic metals
และ fabricate metal ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อที่มีจำนวนสูงสุดในเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.8 ขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าภาคการขนส่งลดลงร้อยละ
2.0 อนึ่ง คำสั่งซื้อใหม่ของภาคอุตสาหกรรมเป็นเครื่องบ่งชี้ผลผลิตอุตสาหกรรมในอนาคต นอกจากนี้ สำนักงานสถิติยังได้ทบทวนตัวเลขคำสั่งซื้อฯ
ในเดือน ต.ค.49 ลดลงอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.5 เทียบต่อเดือน เทียบกับที่รายงานเบื้องต้นก่อนหน้านี้ว่าลดลงร้อยละ 0.6 และเพิ่มขึ้นร้อยละ
12.8 เมื่อเทียบต่อปี เทียบกับที่รายงานว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 (รอยเตอร์)
4. คำสั่งซื้อโรงงานของอังกฤษในเดือน ม.ค.50 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ -9 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 23 ม.ค.50
The Confederation of British Industry (CBI) เปิดเผยว่า คำสั่งซื้อโรงงานของอังกฤษในเดือน ม.ค.50 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ -9
สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ -6 ขณะที่เดือน ธ.ค.49 อยู่ที่ระดับ -5 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อเดือน ก.ย.49 ที่อยู่
ในระดับสูงสุดในรอบ 21 เดือน ทั้งนี้ คำสั่งซื้อดังกล่าวชะลอลงต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ต.ค.49 ที่ลดลงต่ำสุดที่ระดับ -20 ขณะที่คำสั่งซื้อภาคการ
ส่งออกฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ -3 ในเดือน ม.ค.50 จากระดับ -5 ในเดือน ธ.ค.49 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีความกังวลด้านราคาที่คาดว่าจะ
เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยระดับราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ +19 จากระดับ +8 นอกจากนี้ ระดับราคาในประเทศในรอบ 3 เดือนล่าสุดเพิ่มขึ้น
ในอัตราที่รวดเร็วที่สุดตั้งแต่เดือน ก.ค. 38 โดยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ +15 เทียบกับที่อยู่ที่ระดับ +3 ในเดือน ต.ค.49 และผู้ประกอบการคาดว่า
ระดับราคาจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในรอบ 3 เดือนข้างหน้านี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 24 ม.ค. 50 23 ม.ค. 50 29 ธ.ค. 49
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 36.008 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.7949/36.1189 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.875 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 650.76/10.42 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,850/10,950 10,700/10,800 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 52.31 49.59 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.19*/22.54** 25.19*/22.54** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 19 ม.ค. 50 ** ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 13 ม.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--