ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ระบุการรักษาค่าเงินบาทเป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผย
ระหว่างร่วมประชุมครบรอบ 10 ปีวิกฤติสกุลเงินในเอเชีย ซึ่ง ธ.กลางญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 22 ม.ค.50 ว่า กุญแจสำคัญในการรักษาการ
เติบโตทางเศรษฐกิจของไทยให้ยั่งยืนคือ การรักษาค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเกินไปเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น โดยการไหลเข้าของเงินทุนที่เพิ่มขึ้น
ในระยะนี้ เป็นสาเหตุทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อภาวะการแข่งขันของไทย (ไทยโพสต์)
2. การส่งออกของไทยในปี 49 ขยายตัว 16.9% ปลัด ก.พาณิชย์ เปิดเผยถึงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยปี 49 ว่า
การส่งออกมีมูลค่า 129,744.1 ล.ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 16.9% จากปี 48 ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ 17% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า
126,830.5 ล.ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 7.3% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้า 2,913.6 ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือ 67,554.6 ล.บาท จากปีก่อนหน้าที่
ขาดดุลสูงถึง 7,236.7 ล.ดอลลาร์ สรอ. สำหรับเป้าหมายการขยายตัวของการส่งออกปี 50 กำหนดไว้ที่ 12.5% หรือมูลค่าประมาณ 1.45 แสน
ล.ดอลลาร์ สรอ. ส่วนการนำเข้ากำหนดเป้าหมายขยายตัว 11-13% หรือมูลค่าประมาณ 1.4 แสน ล.ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ ในการที่จะผลักดันให้
การส่งออกขยายตัวได้ในระดับดังกล่าวนั้น การส่งออกเฉลี่ยในแต่ละเดือนจะต้องมีมูลค่า 11,000-12,000 ล.ดอลลาร์สรอ. (ข่าวสด, มติชน,
ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
3. ธ.กสิกรไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภท 0.25-0.50% รายงานข่าวจาก ธ.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
แจ้งว่า ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภท 0.25-0.50% ตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค.50 เป็นต้นไป ทำให้ดอกเบี้ยเงินฝาก
ประจำ 6 และ 12 เดือนอยู่ที่ 3.75% และประจำ 24 เดือนอยู่ที่ 4.25% ส่วนเงินฝากประจำ 3 เดือนสำหรับบุคคลธรรมดายังคงอัตราเท่าเดิม
แต่ลดในส่วนของลูกค้านิติบุคคล กองทุน สถาบันการเงิน และนิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไรและหน่วยรายการ (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
4. หอการค้าญี่ปุ่นยืนยันไม่ย้ายฐานการลงทุนจากไทยภายใน 3-5 ปีนี้ นายเท็ตซึจิ บันโน ประธานหอการค้าญี่ปุ่น(กรุงเทพฯ)
หรือเจซีซี กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับตัวแทนจาก ก.คลัง ธปท. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และบีโอไอว่า เจซีซีจะตั้งคณะทำงานขึ้นศึกษาผลกระทบ
ของการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าวต่อบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุน โดยจะมีการส่งแบบสอบถามไปยังสมาชิกทั้งหมด 1,200 ราย
ว่าได้รับผลกระทบจากการแก้ไข พ.ร.บ.มากน้อยเพียงใด รวมทั้งข้อเสนอที่ต้องการให้ ก.พาณิชย์แก้ไข ภายในเดือน ก.พ.นี้ ทั้งนี้ มาตรการต่างๆ
โดยเฉพาะมาตรการกันสำรอง 30% เพื่อสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของ ธปท. อาจกระทบกับจิตวิทยาของนักลงทุนในเชิงลบบ้าง แต่ไม่ถึงกับจะ
มีการย้ายฐานการลงทุนหรือมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทุนระยะสั้นในช่วง 3-5 ปีนี้ (มติชน, โพสต์ทูเดย์, ข่าวสด)
5. กกร.มีมติคงบัญชีสินค้าและบริการควบคุมจำนวน 35 รายการเช่นเดิม รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ
กลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ว่า ที่ประชุมได้มีมติให้คงบัญชีสินค้าและบริการควบคุมจำนวน 35 รายการเช่นเดิม หลังจากพิจารณา
แล้วเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มรายการสินค้าควบคุม เพราะสถานการณ์ราคาสินค้าไม่มีการเคลื่อนไหวมากนัก สำหรับการคงรายการเดิมไว้
เนื่องจากเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ มีโอกาสได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน มีผู้ผลิตผู้ขายน้อยราย และอาจจะได้รับผลกระทบจากราคา
วัตถุดิบในตลาดโลก จึงยังต้องดูแลต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
6. มาสเตอร์การ์ดสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยในช่วง 6 เดือนแรกปี 50 อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ดร.ยุวะ เฮ็ดริค-หว่อง
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก มาสเตอร์การ์ด เวิลด์วายด์ เปิดเผยว่า มาสเตอร์การ์ดได้ทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทย
ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับน่าพอใจที่ 65.1 คะแนน โดยทำการสำรวจประเมินจาก 5 ปัจจัย ได้แก่
รายได้ปกติ ภาพรวมเศรษฐกิจ ดัชนีหุ้น คุณภาพชีวิต และการจ้างงาน อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทำให้อาจต้องทำการ
สำรวจเพื่อประเมินภาพรวมเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยปัจจัยสำคัญที่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยตรงในขณะนี้คือ มาตรการของ ธปท.ในการ
สกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่กำหนดให้เงินทุนจากต่างประเทศต้องสำรอง 30% รวมถึงเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้น สำหรับความเชื่อมั่นผู้บริโภค
ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียนั้น เวียดนามได้ 93.7 คะแนน ฮ่องกง 88.8 สิงคโปร์ 82.5 และจีน 81.2 คะแนน (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางของประเทศต่างๆในเอเซียเตือนภัยความเสี่ยงจากการขยายตัวของเงินทุนไหลเข้าสู่ภูมิภาค รายงานจากโตเกียว
เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 50 ผวก. ธ.กลางของประเทศต่างๆในเอเชียเตือนภัยความเสี่ยงของการขยายตัวของเงินทุนไหลเข้าในภูมิภาค ซึ่ง
ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ธ.กลางต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อค่าเงิน และนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ จึง
เป็นงานที่หนักมากสำหรับผู้ดำเนินนโยบายทางการเงินที่จะต้องรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทั้งนี้นาย
Toshihiko Fukui ผวก.ธ.กลางญี่ปุ่นกล่าวในการประชุม 10 ปีวิกฤติการณ์การเงินในภูมิภาคว่า การไหลเข้าของเงินทุนอย่างเสรี และการ
ดำเนินนโยบายการเงินเสรีมีส่วนกระตุ้นให้เกิดภาวะดังกล่าว ทั้งนี้หลังจากประสบภาวะวิกฤติการณ์เงินในภูมิภาคเอเชียในช่วงปี 40/41 และได้
ประสบความสำเร็จในการกอบกู้เศรษฐกิจทำให้ประเทศต่างๆมีนโยบายทางการเงินที่แข็งแกร่งทั้งอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดการเงินมีเสถียรภาพ
มากขึ้น แม้ว่าค่าเงินต้องเผชิญกับการแข็งค่ามากกว่าการอ่อนค่าก็ตาม การไหลของเงินทุนก้อนใหญ่ยังคงส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจระบบ
เปิด สำหรับประเทศไทยนั้น ประสบปัญหาเงินทุนไหลเข้าอย่างรวดเร็วเมื่อเดือนที่แล้วและนางธาริษา วัฒนเกส ผวก.ธ.กลางได้ดำเนินการควบคุม
เงินทุนไหลเข้าจำนวนมากดังกล่าวเพื่อยับยั้งการแข็งค่าของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานและส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก การ
ตัดสินใจดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นส่งผลให้ดัชนีลดลงไปเกือบร้อยละ 15 (รอยเตอร์)
2. เศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาสสุดท้ายปี 49 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ
22 ม.ค.50 ธ.กลางเยอรมนีรายงานเศรษฐกิจเยอรมนียังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายปี 49 จากการขยายตัวของการส่งออกและ
การใช้จ่ายลงทุนของภาคธุรกิจในอุปกรณ์และการก่อสร้างโดยได้รับผลดีจากสภาพอากาศที่ดีไม่เป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้างและการใช้จ่ายล่วงหน้า
ก่อนที่อัตราภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ในปี 50 สอดคล้องกับรายงานของ สนง.สถิติกลางของเยอรมนีก่อนหน้านี้ที่คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีจะขยายตัว
ประมาณร้อยละ 2.5 ในปี 49 สูงสุดในรอบ 6 ปี โดยคาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายปี 49 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 0.5 ทั้งนี้
สนง.สถิติกลางมีกำหนดจะรายงานประมาณการเบื้องต้นอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสำหรับไตรมาสสุดท้ายปี 49 ในวันที่ 13 ก.พ.50 นี้ (รอยเตอร์)
3. คาดว่ายอดเกินดุลการค้าของญี่ปุ่นสำหรับเดือน ธ.ค.49 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.7 เมื่อเทียบกับปี 48 รายงานจากโตเกียว
เมื่อ 23 ม.ค.50 ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์คาดว่ายอดเกินดุลการค้าของญี่ปุ่นในเดือน ธ.ค.49 จะมีจำนวน 1,205.5 พันล้านเยน
หรือประมาณ 9..93 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.7 เมื่อเทียบกับปี 48 โดยคาดว่ายอดส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 สูงกว่ายอด
นำเข้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 โดยเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ชะลอตัวลง แต่อย่างไรก็ดี คาดว่ายอดเกินดุลการค้าตลอดทั้งปี 49 จะมีจำนวน
ลดลงเหลือประมาณ 8.2 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีนับตั้งแต่ปี 44 อันเป็นผลจากยอดนำเข้าสูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นใน
ระหว่างปี 49 ในขณะที่คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานซึ่งไม่ราคาอาหารสดจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียงร้อยละ 0.2 ในเดือน พ.ย.49 จากร้อยละ
0.1 ในเดือน ต.ค.49 โดยนักวิเคราะห์บางคนคาดว่าราคาสินค้ามีแนวโน้มชะลอตัวลงหรือแม้กระทั่งลดลงเมื่อราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็น
เหตุผลที่ทำให้ ธ.กลางญี่ปุ่นตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.25 ต่อปีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จากที่ก่อนหน้านี้คาดว่าจะมีการขึ้น
อัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 0.50 ต่อปี โดย ธ.กลางญี่ปุ่นได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีจากร้อยละ 0 เป็นร้อยละ
0.25 ต่อปีเมื่อเดือน ก.ค.49 ที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางมาเลเซียจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 3.50 รายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์
ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 22 ม.ค.50 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 13 คน คาดว่า ธ.กลางมาเลเซีย
จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 3.50 เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันในการประชุมวันศุกร์ที่จะถึงนี้ โดยจะรอเวลาเพื่อประเมินว่าจะปรับ
ลดอัตราดอกเบี้ยลงหรือไม่เนื่องจากเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง โดยนักเศรษฐศาสตร์ 7 คน คาดว่า อัตราดอกเบี้ยจะคงอยู่ในระดับ
ร้อยละ 3.50 จนถึงสิ้นปีนี้ ขณะที่ 5 คน คาดว่าจะลดลงเหลือร้อยละ 3.25 และอีก 1 คน คาดว่าจะลดลงเหลือร้อยละ 3.0 ทั้งนี้
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้ออาจจะผ่านไปได้ด้วยดีจากการที่ราคาน้ำมันลดต่ำลงจากที่เคยขึ้นไปทำสถิติสูงสุดที่ระดับ
78.40 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล และปัจจุบันทางการมุ่งความสนใจไปที่การให้ระยะเวลาสินเชื่อในการขายสินค้าเพื่อรักษามูลค่าการส่งออก
ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยข้ามคืนของมาเลเซียอยู่ที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการนำมาใช้ในเดือน
เม.ย.47 แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำสุดของกลุ่มอาเซียน โดย ในช่วงเดือน พ.ย.48 — เม.ย.49 ธ.กลางมาเลเซียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วรวม
0.80 basis points ด้านอัตราเงินเฟ้อเทียบต่อปีในเดือน ธ.ค.49 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.1 และมีแนวโน้มอ่อนตัวจากการที่ราคาพลังงานเริ่ม
ปรับตัวลดลง ซึ่งเช่นเดียวกับประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียน มาเลเซียอาจจะสงวนท่าทีในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไว้ชั่วคราวเพื่อรอดูผลกระทบจากการ
ส่งออกสินค้าไป สรอ. ที่ชะลอตัวลง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 23 ม.ค. 50 22 ม.ค. 50 29 ธ.ค. 49
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 36.029 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.8140/36.1483 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.88 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 655.12/10.22 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,700/10,800 10,750/10,850 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 49.59 50.69 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.19*/22.54** 25.19*/22.54** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 19 ม.ค. 50 ** ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 13 ม.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ระบุการรักษาค่าเงินบาทเป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผย
ระหว่างร่วมประชุมครบรอบ 10 ปีวิกฤติสกุลเงินในเอเชีย ซึ่ง ธ.กลางญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 22 ม.ค.50 ว่า กุญแจสำคัญในการรักษาการ
เติบโตทางเศรษฐกิจของไทยให้ยั่งยืนคือ การรักษาค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเกินไปเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น โดยการไหลเข้าของเงินทุนที่เพิ่มขึ้น
ในระยะนี้ เป็นสาเหตุทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อภาวะการแข่งขันของไทย (ไทยโพสต์)
2. การส่งออกของไทยในปี 49 ขยายตัว 16.9% ปลัด ก.พาณิชย์ เปิดเผยถึงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยปี 49 ว่า
การส่งออกมีมูลค่า 129,744.1 ล.ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 16.9% จากปี 48 ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ 17% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า
126,830.5 ล.ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 7.3% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้า 2,913.6 ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือ 67,554.6 ล.บาท จากปีก่อนหน้าที่
ขาดดุลสูงถึง 7,236.7 ล.ดอลลาร์ สรอ. สำหรับเป้าหมายการขยายตัวของการส่งออกปี 50 กำหนดไว้ที่ 12.5% หรือมูลค่าประมาณ 1.45 แสน
ล.ดอลลาร์ สรอ. ส่วนการนำเข้ากำหนดเป้าหมายขยายตัว 11-13% หรือมูลค่าประมาณ 1.4 แสน ล.ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ ในการที่จะผลักดันให้
การส่งออกขยายตัวได้ในระดับดังกล่าวนั้น การส่งออกเฉลี่ยในแต่ละเดือนจะต้องมีมูลค่า 11,000-12,000 ล.ดอลลาร์สรอ. (ข่าวสด, มติชน,
ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
3. ธ.กสิกรไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภท 0.25-0.50% รายงานข่าวจาก ธ.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
แจ้งว่า ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภท 0.25-0.50% ตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค.50 เป็นต้นไป ทำให้ดอกเบี้ยเงินฝาก
ประจำ 6 และ 12 เดือนอยู่ที่ 3.75% และประจำ 24 เดือนอยู่ที่ 4.25% ส่วนเงินฝากประจำ 3 เดือนสำหรับบุคคลธรรมดายังคงอัตราเท่าเดิม
แต่ลดในส่วนของลูกค้านิติบุคคล กองทุน สถาบันการเงิน และนิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไรและหน่วยรายการ (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
4. หอการค้าญี่ปุ่นยืนยันไม่ย้ายฐานการลงทุนจากไทยภายใน 3-5 ปีนี้ นายเท็ตซึจิ บันโน ประธานหอการค้าญี่ปุ่น(กรุงเทพฯ)
หรือเจซีซี กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับตัวแทนจาก ก.คลัง ธปท. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และบีโอไอว่า เจซีซีจะตั้งคณะทำงานขึ้นศึกษาผลกระทบ
ของการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าวต่อบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุน โดยจะมีการส่งแบบสอบถามไปยังสมาชิกทั้งหมด 1,200 ราย
ว่าได้รับผลกระทบจากการแก้ไข พ.ร.บ.มากน้อยเพียงใด รวมทั้งข้อเสนอที่ต้องการให้ ก.พาณิชย์แก้ไข ภายในเดือน ก.พ.นี้ ทั้งนี้ มาตรการต่างๆ
โดยเฉพาะมาตรการกันสำรอง 30% เพื่อสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของ ธปท. อาจกระทบกับจิตวิทยาของนักลงทุนในเชิงลบบ้าง แต่ไม่ถึงกับจะ
มีการย้ายฐานการลงทุนหรือมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทุนระยะสั้นในช่วง 3-5 ปีนี้ (มติชน, โพสต์ทูเดย์, ข่าวสด)
5. กกร.มีมติคงบัญชีสินค้าและบริการควบคุมจำนวน 35 รายการเช่นเดิม รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ
กลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ว่า ที่ประชุมได้มีมติให้คงบัญชีสินค้าและบริการควบคุมจำนวน 35 รายการเช่นเดิม หลังจากพิจารณา
แล้วเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มรายการสินค้าควบคุม เพราะสถานการณ์ราคาสินค้าไม่มีการเคลื่อนไหวมากนัก สำหรับการคงรายการเดิมไว้
เนื่องจากเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ มีโอกาสได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน มีผู้ผลิตผู้ขายน้อยราย และอาจจะได้รับผลกระทบจากราคา
วัตถุดิบในตลาดโลก จึงยังต้องดูแลต่อไป (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
6. มาสเตอร์การ์ดสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยในช่วง 6 เดือนแรกปี 50 อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ดร.ยุวะ เฮ็ดริค-หว่อง
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก มาสเตอร์การ์ด เวิลด์วายด์ เปิดเผยว่า มาสเตอร์การ์ดได้ทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทย
ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับน่าพอใจที่ 65.1 คะแนน โดยทำการสำรวจประเมินจาก 5 ปัจจัย ได้แก่
รายได้ปกติ ภาพรวมเศรษฐกิจ ดัชนีหุ้น คุณภาพชีวิต และการจ้างงาน อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทำให้อาจต้องทำการ
สำรวจเพื่อประเมินภาพรวมเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยปัจจัยสำคัญที่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยตรงในขณะนี้คือ มาตรการของ ธปท.ในการ
สกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่กำหนดให้เงินทุนจากต่างประเทศต้องสำรอง 30% รวมถึงเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้น สำหรับความเชื่อมั่นผู้บริโภค
ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียนั้น เวียดนามได้ 93.7 คะแนน ฮ่องกง 88.8 สิงคโปร์ 82.5 และจีน 81.2 คะแนน (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางของประเทศต่างๆในเอเซียเตือนภัยความเสี่ยงจากการขยายตัวของเงินทุนไหลเข้าสู่ภูมิภาค รายงานจากโตเกียว
เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 50 ผวก. ธ.กลางของประเทศต่างๆในเอเชียเตือนภัยความเสี่ยงของการขยายตัวของเงินทุนไหลเข้าในภูมิภาค ซึ่ง
ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ธ.กลางต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อค่าเงิน และนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ จึง
เป็นงานที่หนักมากสำหรับผู้ดำเนินนโยบายทางการเงินที่จะต้องรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทั้งนี้นาย
Toshihiko Fukui ผวก.ธ.กลางญี่ปุ่นกล่าวในการประชุม 10 ปีวิกฤติการณ์การเงินในภูมิภาคว่า การไหลเข้าของเงินทุนอย่างเสรี และการ
ดำเนินนโยบายการเงินเสรีมีส่วนกระตุ้นให้เกิดภาวะดังกล่าว ทั้งนี้หลังจากประสบภาวะวิกฤติการณ์เงินในภูมิภาคเอเชียในช่วงปี 40/41 และได้
ประสบความสำเร็จในการกอบกู้เศรษฐกิจทำให้ประเทศต่างๆมีนโยบายทางการเงินที่แข็งแกร่งทั้งอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดการเงินมีเสถียรภาพ
มากขึ้น แม้ว่าค่าเงินต้องเผชิญกับการแข็งค่ามากกว่าการอ่อนค่าก็ตาม การไหลของเงินทุนก้อนใหญ่ยังคงส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจระบบ
เปิด สำหรับประเทศไทยนั้น ประสบปัญหาเงินทุนไหลเข้าอย่างรวดเร็วเมื่อเดือนที่แล้วและนางธาริษา วัฒนเกส ผวก.ธ.กลางได้ดำเนินการควบคุม
เงินทุนไหลเข้าจำนวนมากดังกล่าวเพื่อยับยั้งการแข็งค่าของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานและส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก การ
ตัดสินใจดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นส่งผลให้ดัชนีลดลงไปเกือบร้อยละ 15 (รอยเตอร์)
2. เศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาสสุดท้ายปี 49 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ
22 ม.ค.50 ธ.กลางเยอรมนีรายงานเศรษฐกิจเยอรมนียังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายปี 49 จากการขยายตัวของการส่งออกและ
การใช้จ่ายลงทุนของภาคธุรกิจในอุปกรณ์และการก่อสร้างโดยได้รับผลดีจากสภาพอากาศที่ดีไม่เป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้างและการใช้จ่ายล่วงหน้า
ก่อนที่อัตราภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ในปี 50 สอดคล้องกับรายงานของ สนง.สถิติกลางของเยอรมนีก่อนหน้านี้ที่คาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีจะขยายตัว
ประมาณร้อยละ 2.5 ในปี 49 สูงสุดในรอบ 6 ปี โดยคาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายปี 49 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 0.5 ทั้งนี้
สนง.สถิติกลางมีกำหนดจะรายงานประมาณการเบื้องต้นอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสำหรับไตรมาสสุดท้ายปี 49 ในวันที่ 13 ก.พ.50 นี้ (รอยเตอร์)
3. คาดว่ายอดเกินดุลการค้าของญี่ปุ่นสำหรับเดือน ธ.ค.49 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.7 เมื่อเทียบกับปี 48 รายงานจากโตเกียว
เมื่อ 23 ม.ค.50 ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์คาดว่ายอดเกินดุลการค้าของญี่ปุ่นในเดือน ธ.ค.49 จะมีจำนวน 1,205.5 พันล้านเยน
หรือประมาณ 9..93 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.7 เมื่อเทียบกับปี 48 โดยคาดว่ายอดส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 สูงกว่ายอด
นำเข้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 โดยเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ชะลอตัวลง แต่อย่างไรก็ดี คาดว่ายอดเกินดุลการค้าตลอดทั้งปี 49 จะมีจำนวน
ลดลงเหลือประมาณ 8.2 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีนับตั้งแต่ปี 44 อันเป็นผลจากยอดนำเข้าสูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นใน
ระหว่างปี 49 ในขณะที่คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานซึ่งไม่ราคาอาหารสดจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียงร้อยละ 0.2 ในเดือน พ.ย.49 จากร้อยละ
0.1 ในเดือน ต.ค.49 โดยนักวิเคราะห์บางคนคาดว่าราคาสินค้ามีแนวโน้มชะลอตัวลงหรือแม้กระทั่งลดลงเมื่อราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็น
เหตุผลที่ทำให้ ธ.กลางญี่ปุ่นตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.25 ต่อปีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จากที่ก่อนหน้านี้คาดว่าจะมีการขึ้น
อัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 0.50 ต่อปี โดย ธ.กลางญี่ปุ่นได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีจากร้อยละ 0 เป็นร้อยละ
0.25 ต่อปีเมื่อเดือน ก.ค.49 ที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางมาเลเซียจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 3.50 รายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์
ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 22 ม.ค.50 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 13 คน คาดว่า ธ.กลางมาเลเซีย
จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 3.50 เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันในการประชุมวันศุกร์ที่จะถึงนี้ โดยจะรอเวลาเพื่อประเมินว่าจะปรับ
ลดอัตราดอกเบี้ยลงหรือไม่เนื่องจากเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง โดยนักเศรษฐศาสตร์ 7 คน คาดว่า อัตราดอกเบี้ยจะคงอยู่ในระดับ
ร้อยละ 3.50 จนถึงสิ้นปีนี้ ขณะที่ 5 คน คาดว่าจะลดลงเหลือร้อยละ 3.25 และอีก 1 คน คาดว่าจะลดลงเหลือร้อยละ 3.0 ทั้งนี้
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้ออาจจะผ่านไปได้ด้วยดีจากการที่ราคาน้ำมันลดต่ำลงจากที่เคยขึ้นไปทำสถิติสูงสุดที่ระดับ
78.40 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล และปัจจุบันทางการมุ่งความสนใจไปที่การให้ระยะเวลาสินเชื่อในการขายสินค้าเพื่อรักษามูลค่าการส่งออก
ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยข้ามคืนของมาเลเซียอยู่ที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการนำมาใช้ในเดือน
เม.ย.47 แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำสุดของกลุ่มอาเซียน โดย ในช่วงเดือน พ.ย.48 — เม.ย.49 ธ.กลางมาเลเซียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วรวม
0.80 basis points ด้านอัตราเงินเฟ้อเทียบต่อปีในเดือน ธ.ค.49 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.1 และมีแนวโน้มอ่อนตัวจากการที่ราคาพลังงานเริ่ม
ปรับตัวลดลง ซึ่งเช่นเดียวกับประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียน มาเลเซียอาจจะสงวนท่าทีในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไว้ชั่วคราวเพื่อรอดูผลกระทบจากการ
ส่งออกสินค้าไป สรอ. ที่ชะลอตัวลง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 23 ม.ค. 50 22 ม.ค. 50 29 ธ.ค. 49
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 36.029 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.8140/36.1483 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.88 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 655.12/10.22 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,700/10,800 10,750/10,850 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 49.59 50.69 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.19*/22.54** 25.19*/22.54** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 19 ม.ค. 50 ** ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 13 ม.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--