1. การผลิตในประเทศ
การผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2550 มีปริมาณ 6,530 ตัน ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ
3.3 โดยประเภทยาที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นมาก คือ ยาครีม เนื่องจากในช่วงปลายปี 2549 ยาครีมมีปริมาณการจำหน่ายสูงมาก ทำให้ปริมาณสินค้าคงคลัง
ลดลง ผู้ผลิตจึงทำการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการบริหารสินค้าคงคลังให้มีปริมาณขั้นต่ำที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ และเมื่อเทียบ
กับไตรมาสก่อน ปริมาณการผลิตขยายตัว ร้อยละ 3.7 โดยประเภทยาที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ ยาผง เนื่องจากผู้ผลิตสามารถแก้ไขปัญหาเครื่อง
จักรและคุณภาพของสินค้าที่เกิดขึ้นในไตรมาสก่อน ทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นและกลับมาสั่งซื้อสินค้าในช่วงต้นปี
2. การจำหน่ายในประเทศ
ปริมาณการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2550 มีจำนวน 5,899.1 ตัน ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปี
ก่อน ร้อยละ 2.2 โดยประเภทสินค้าที่มีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยาน้ำ และยาแคปซูล สาเหตุส่วนหนึ่งเนื่องจากการแข่งขันด้านราคาในตลาดสูง
มาก ผู้ผลิตจึงจัดรายการส่งเสริมการขายมากขึ้นกว่าปีก่อน อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปริมาณการจำหน่ายหดตัวลง ร้อยละ 10.8 โดย
สินค้าที่มีการจำหน่ายลดลงมาก คือ ยาครีม เนื่องจากได้ผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปี ทำให้ความต้องการยาครีมลดลง นอกจากนี้ ยาน้ำ มี
ปริมาณการจำหน่ายลดลงมากเช่นกัน เนื่องจากมีการจัดรายการส่งเสริมการขายไปแล้วในช่วงปลายปี ประกอบกับผู้ผลิตที่รับจ้างผลิตถูกว่าจ้างให้ผลิตยา
น้ำประเภทยาพ่นคอ ซึ่งมีราคาสูง แต่ปริมาณน้อย ทำให้ปริมาณการจำหน่ายยาน้ำในภาพรวมลดลงไปด้วย
3. การนำเข้า-ส่งออก
ไม่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์นำเข้า-ส่งออกในไตรมาสนี้ได้ เนื่องจากกรมศุลกากร ได้นำพิกัดศุลกากรฮาร์โมไนซ์ฉบับปี 2007 มาใช้
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 ทำให้การจัดเก็บสถิตินำเข้า — ส่งออก ต้องจัดทำโปรแกรมใหม่ทั้งระบบ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ
4. นโยบายรัฐ
ไตรมาสแรกของปี 2550 กระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศใช้นโยบายมาตรการบังคับใช้สิทธิ โดยอาศัยบทบัญญัติ มาตรา 51 แห่งพระ
ราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.
2542
จำนวน 2 ฉบับ ดังนี้
1.) ประกาศกรมควบคุมโรค เรื่อง การใช้สิทธิตามสิทธิบัตรด้านยาและเวชภัณฑ์ กรณียาสูตรผสมระหว่างโลพินาเวียร์และ
ริโทนาเวียร์ (Lopinavir & Ritonavir) ภายใต้ชื่อการค้า Kalctra (ยาสูตรผสมดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นยาต้านไวรัสเอชไอวี ชนิด
หนึ่งที่มีประสิทธิผลสูงในการรักษาผู้ป่วยที่มีเชื้อดื้อยาที่ไม่สามารถรักษาด้วยสูตรยาพื้นฐานได้) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2550 ถึงวันที่
31 มกราคม 2555 ทั้งนี้ ให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ใช้สิทธิ ในการผลิต จำหน่าย หรือนำเข้า เพื่อจัดให้มียาชื่อสามัญดังกล่าวไว้บริการในระบบของ
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ พร้อมทั้งจ่ายค่าตอบแทนให้เจ้าของสิทธิบัตรร้อย
ละ 0.5 ของมูลค่าการจำหน่าย โดยกรมควบคุมโรคจะแจ้งให้ผู้ทรงสิทธิบัตร (บริษัท แอ๊บบอต แลบอราตอรีส (ประเทศไทย) จำกัด) และกรม
ทรัพย์สินทางปัญญาทราบ
2.) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การใช้สิทธิตามสิทธิบัตรด้านยาและเวชภัณฑ์ กรณียาโคลพิโดเกรล
(Clopidogrel) ภายใต้ชื่อการค้า Plavix (เป็นยาป้องกันความรุนแรงของโรคเส้นเลือด อุดตันในหัวใจ และสมอง) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่
วันที่ 25 มกราคม 2550 เป็นต้นไป จนกว่าจะหมดระยะเวลาของสิทธิบัตร หรือหมดความจำเป็นต้องใช้ยานี้ และให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ใช้สิทธิ
ในการผลิต จำหน่าย หรือนำเข้า เพื่อจัดให้มียาชื่อสามัญดังกล่าวไว้บริการในระบบของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และ
ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ พร้อมทั้งจ่ายค่าตอบแทนให้เจ้าของสิทธิบัตรร้อยละ 0.5 ของมูลค่าการจำหน่าย โดยกระทรวงสาธารณสุข
จะแจ้งให้ผู้ทรงสิทธิบัตร (บริษัท ซาโนฟี อเวนติส (ประเทศไทย) จำกัด) และกรมทรัพย์สินทางปัญญาทราบ
การประกาศใช้มาตรการดังกล่าว ทำให้ราคายาถูกลง ซึ่งจะช่วยรัฐประหยัดงบประมาณรายจ่าย และทำให้ประชาชนได้รับ
ยาจำเป็นที่มีคุณภาพดีอย่างทั่วถึง
5. สรุปและแนวโน้ม
ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2550 เพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะยาครีม
เนื่องจากในช่วงปลายปี 2549 มีปริมาณการจำหน่ายที่สูงมาก จากเหตุการณ์น้ำท่วมในเขตภาคกลาง ทำให้ปริมาณสินค้าคงคลังลดลง ผู้ผลิตจึงทำการ
ผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการบริหารสินค้าคงคลังให้มีปริมาณขั้นต่ำที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ สำหรับการจำหน่ายมีปริมาณเพิ่มขึ้น
ด้วยเช่นกัน เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาในตลาดสูงมาก ผู้ผลิตจึงจัดรายการส่งเสริมการขายมากขึ้นกว่าปีก่อน
สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์ เภสัชกรรมในประเทศ จะชะลอตัวลงจากไตรมาส
แรก แล้วปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 ตามรอบของอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามผู้ผลิตได้พยายามหาลูกค้ารายใหม่ และกลยุทธ์ใหม่ ๆ โดยเน้นด้าน
การรักษาและดูแลสุขภาพ เพื่อกระตุ้นตลาดในประเทศให้โตขึ้นด้ว
ตารางที่ 1 ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในประเทศแยกตามรายผลิตภัณฑ์
หน่วย : ตัน
ประเภท ไตรมาส
Jan-49 Apr-49 Jan-50
ยาเม็ด 1,386.40 1,403.90 1,444.40
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 2.9
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 4.2
ยาน้ำ 3,201.20 3,133.60 3,052.50
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -2.6
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน -4.6
ยาแคปซูล 131.4 162.6 148.3
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -8.8
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 12.9
ยาฉีด 119.4 118.1 134.2
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 13.6
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 12.4
ยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน 26 34.1 26.9
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -21.1
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 3.5
ยาครีม 416.5 632.9 629.5
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -0.5
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 51.1
ยาผง 1,042.80 810.1 1,094.20
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 35.1
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 4.9
รวม 6,323.70 6,295.30 6,530.00
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 3.7
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 3.3
ที่มา : ศูนย์สารสนเทศเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
หมายเหตุ : จำนวนโรงงานที่สำรวจรวมทั้งสิ้น 34 โรงงาน (ยาเม็ด 30 โรงงาน, ยาน้ำ 29 โรงงาน, ยาแคปซูล 26 โรงงาน,
ยาฉีด 9 โรงงาน, ยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน 4 โรงงาน, ยาครีม 17 โรงงาน และยาผง 17 โรงงาน)
: ไตรมาส 1/2550 เป็นตัวเลขเบื้องต้น
ตารางที่ 2 ปริมาณการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในประเทศแยกตามรายผลิตภัณฑ์
หน่วย : ตัน
ประเภท ไตรมาส
Jan-49 Apr-49 Jan-50
ยาเม็ด 1,363.60 1,367.50 1,334.30
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -2.4
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน -2.1
ยาน้ำ 3,494.20 4,062.60 3,621.10
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -10.9
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 3.6
ยาแคปซูล 162.7 194.4 199.9
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 2.8
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 22.9
ยาฉีด 93.9 86.6 93.6
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 8.1
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน -0.8
ยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน 25.3 34.4 25.1
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -26.9
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน -0.6
ยาครีม 480.6 735.4 470.5
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -36
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน -2.1
ยาผง 154.6 136 154.6
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 13.7
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 0
รวม 5,774.90 6,616.90 5,899.10
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -10.8
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 2.2
ที่มา : ศูนย์สารสนเทศเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
หมายเหตุ : จำนวนโรงงานที่สำรวจรวมทั้งสิ้น 34 โรงงาน (ยาเม็ด 30 โรงงาน, ยาน้ำ 29 โรงงาน, ยาแคปซูล 26 โรงงาน,
ยาฉีด 9 โรงงาน, ยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน 4 โรงงาน, ยาครีม 17 โรงงาน และยาผง 17 โรงงาน)
: ปริมาณการจำหน่ายยาผงในประเทศน้อยกว่าปริมาณการผลิตมาก เนื่องจากมีผู้ประกอบการที่ทำการสำรวจ
ผลิตเพื่อการส่งออกมากกว่าการจำหน่ายในประเทศ
: ไตรมาส 1/2550 เป็นตัวเลขเบื้องต้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
การผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2550 มีปริมาณ 6,530 ตัน ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ
3.3 โดยประเภทยาที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นมาก คือ ยาครีม เนื่องจากในช่วงปลายปี 2549 ยาครีมมีปริมาณการจำหน่ายสูงมาก ทำให้ปริมาณสินค้าคงคลัง
ลดลง ผู้ผลิตจึงทำการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการบริหารสินค้าคงคลังให้มีปริมาณขั้นต่ำที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ และเมื่อเทียบ
กับไตรมาสก่อน ปริมาณการผลิตขยายตัว ร้อยละ 3.7 โดยประเภทยาที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ ยาผง เนื่องจากผู้ผลิตสามารถแก้ไขปัญหาเครื่อง
จักรและคุณภาพของสินค้าที่เกิดขึ้นในไตรมาสก่อน ทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นและกลับมาสั่งซื้อสินค้าในช่วงต้นปี
2. การจำหน่ายในประเทศ
ปริมาณการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2550 มีจำนวน 5,899.1 ตัน ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปี
ก่อน ร้อยละ 2.2 โดยประเภทสินค้าที่มีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยาน้ำ และยาแคปซูล สาเหตุส่วนหนึ่งเนื่องจากการแข่งขันด้านราคาในตลาดสูง
มาก ผู้ผลิตจึงจัดรายการส่งเสริมการขายมากขึ้นกว่าปีก่อน อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปริมาณการจำหน่ายหดตัวลง ร้อยละ 10.8 โดย
สินค้าที่มีการจำหน่ายลดลงมาก คือ ยาครีม เนื่องจากได้ผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปี ทำให้ความต้องการยาครีมลดลง นอกจากนี้ ยาน้ำ มี
ปริมาณการจำหน่ายลดลงมากเช่นกัน เนื่องจากมีการจัดรายการส่งเสริมการขายไปแล้วในช่วงปลายปี ประกอบกับผู้ผลิตที่รับจ้างผลิตถูกว่าจ้างให้ผลิตยา
น้ำประเภทยาพ่นคอ ซึ่งมีราคาสูง แต่ปริมาณน้อย ทำให้ปริมาณการจำหน่ายยาน้ำในภาพรวมลดลงไปด้วย
3. การนำเข้า-ส่งออก
ไม่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์นำเข้า-ส่งออกในไตรมาสนี้ได้ เนื่องจากกรมศุลกากร ได้นำพิกัดศุลกากรฮาร์โมไนซ์ฉบับปี 2007 มาใช้
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 ทำให้การจัดเก็บสถิตินำเข้า — ส่งออก ต้องจัดทำโปรแกรมใหม่ทั้งระบบ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ
4. นโยบายรัฐ
ไตรมาสแรกของปี 2550 กระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศใช้นโยบายมาตรการบังคับใช้สิทธิ โดยอาศัยบทบัญญัติ มาตรา 51 แห่งพระ
ราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.
2542
จำนวน 2 ฉบับ ดังนี้
1.) ประกาศกรมควบคุมโรค เรื่อง การใช้สิทธิตามสิทธิบัตรด้านยาและเวชภัณฑ์ กรณียาสูตรผสมระหว่างโลพินาเวียร์และ
ริโทนาเวียร์ (Lopinavir & Ritonavir) ภายใต้ชื่อการค้า Kalctra (ยาสูตรผสมดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นยาต้านไวรัสเอชไอวี ชนิด
หนึ่งที่มีประสิทธิผลสูงในการรักษาผู้ป่วยที่มีเชื้อดื้อยาที่ไม่สามารถรักษาด้วยสูตรยาพื้นฐานได้) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2550 ถึงวันที่
31 มกราคม 2555 ทั้งนี้ ให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ใช้สิทธิ ในการผลิต จำหน่าย หรือนำเข้า เพื่อจัดให้มียาชื่อสามัญดังกล่าวไว้บริการในระบบของ
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ พร้อมทั้งจ่ายค่าตอบแทนให้เจ้าของสิทธิบัตรร้อย
ละ 0.5 ของมูลค่าการจำหน่าย โดยกรมควบคุมโรคจะแจ้งให้ผู้ทรงสิทธิบัตร (บริษัท แอ๊บบอต แลบอราตอรีส (ประเทศไทย) จำกัด) และกรม
ทรัพย์สินทางปัญญาทราบ
2.) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การใช้สิทธิตามสิทธิบัตรด้านยาและเวชภัณฑ์ กรณียาโคลพิโดเกรล
(Clopidogrel) ภายใต้ชื่อการค้า Plavix (เป็นยาป้องกันความรุนแรงของโรคเส้นเลือด อุดตันในหัวใจ และสมอง) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่
วันที่ 25 มกราคม 2550 เป็นต้นไป จนกว่าจะหมดระยะเวลาของสิทธิบัตร หรือหมดความจำเป็นต้องใช้ยานี้ และให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ใช้สิทธิ
ในการผลิต จำหน่าย หรือนำเข้า เพื่อจัดให้มียาชื่อสามัญดังกล่าวไว้บริการในระบบของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และ
ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ พร้อมทั้งจ่ายค่าตอบแทนให้เจ้าของสิทธิบัตรร้อยละ 0.5 ของมูลค่าการจำหน่าย โดยกระทรวงสาธารณสุข
จะแจ้งให้ผู้ทรงสิทธิบัตร (บริษัท ซาโนฟี อเวนติส (ประเทศไทย) จำกัด) และกรมทรัพย์สินทางปัญญาทราบ
การประกาศใช้มาตรการดังกล่าว ทำให้ราคายาถูกลง ซึ่งจะช่วยรัฐประหยัดงบประมาณรายจ่าย และทำให้ประชาชนได้รับ
ยาจำเป็นที่มีคุณภาพดีอย่างทั่วถึง
5. สรุปและแนวโน้ม
ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสแรกของปี 2550 เพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะยาครีม
เนื่องจากในช่วงปลายปี 2549 มีปริมาณการจำหน่ายที่สูงมาก จากเหตุการณ์น้ำท่วมในเขตภาคกลาง ทำให้ปริมาณสินค้าคงคลังลดลง ผู้ผลิตจึงทำการ
ผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการบริหารสินค้าคงคลังให้มีปริมาณขั้นต่ำที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ สำหรับการจำหน่ายมีปริมาณเพิ่มขึ้น
ด้วยเช่นกัน เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาในตลาดสูงมาก ผู้ผลิตจึงจัดรายการส่งเสริมการขายมากขึ้นกว่าปีก่อน
สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์ เภสัชกรรมในประเทศ จะชะลอตัวลงจากไตรมาส
แรก แล้วปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 ตามรอบของอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามผู้ผลิตได้พยายามหาลูกค้ารายใหม่ และกลยุทธ์ใหม่ ๆ โดยเน้นด้าน
การรักษาและดูแลสุขภาพ เพื่อกระตุ้นตลาดในประเทศให้โตขึ้นด้ว
ตารางที่ 1 ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในประเทศแยกตามรายผลิตภัณฑ์
หน่วย : ตัน
ประเภท ไตรมาส
Jan-49 Apr-49 Jan-50
ยาเม็ด 1,386.40 1,403.90 1,444.40
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 2.9
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 4.2
ยาน้ำ 3,201.20 3,133.60 3,052.50
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -2.6
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน -4.6
ยาแคปซูล 131.4 162.6 148.3
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -8.8
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 12.9
ยาฉีด 119.4 118.1 134.2
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 13.6
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 12.4
ยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน 26 34.1 26.9
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -21.1
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 3.5
ยาครีม 416.5 632.9 629.5
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -0.5
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 51.1
ยาผง 1,042.80 810.1 1,094.20
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 35.1
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 4.9
รวม 6,323.70 6,295.30 6,530.00
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 3.7
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 3.3
ที่มา : ศูนย์สารสนเทศเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
หมายเหตุ : จำนวนโรงงานที่สำรวจรวมทั้งสิ้น 34 โรงงาน (ยาเม็ด 30 โรงงาน, ยาน้ำ 29 โรงงาน, ยาแคปซูล 26 โรงงาน,
ยาฉีด 9 โรงงาน, ยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน 4 โรงงาน, ยาครีม 17 โรงงาน และยาผง 17 โรงงาน)
: ไตรมาส 1/2550 เป็นตัวเลขเบื้องต้น
ตารางที่ 2 ปริมาณการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในประเทศแยกตามรายผลิตภัณฑ์
หน่วย : ตัน
ประเภท ไตรมาส
Jan-49 Apr-49 Jan-50
ยาเม็ด 1,363.60 1,367.50 1,334.30
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -2.4
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน -2.1
ยาน้ำ 3,494.20 4,062.60 3,621.10
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -10.9
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 3.6
ยาแคปซูล 162.7 194.4 199.9
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 2.8
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 22.9
ยาฉีด 93.9 86.6 93.6
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 8.1
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน -0.8
ยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน 25.3 34.4 25.1
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -26.9
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน -0.6
ยาครีม 480.6 735.4 470.5
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -36
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน -2.1
ยาผง 154.6 136 154.6
% D เทียบกับไตรมาสก่อน 13.7
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 0
รวม 5,774.90 6,616.90 5,899.10
% D เทียบกับไตรมาสก่อน -10.8
% D เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 2.2
ที่มา : ศูนย์สารสนเทศเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
หมายเหตุ : จำนวนโรงงานที่สำรวจรวมทั้งสิ้น 34 โรงงาน (ยาเม็ด 30 โรงงาน, ยาน้ำ 29 โรงงาน, ยาแคปซูล 26 โรงงาน,
ยาฉีด 9 โรงงาน, ยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน 4 โรงงาน, ยาครีม 17 โรงงาน และยาผง 17 โรงงาน)
: ปริมาณการจำหน่ายยาผงในประเทศน้อยกว่าปริมาณการผลิตมาก เนื่องจากมีผู้ประกอบการที่ทำการสำรวจ
ผลิตเพื่อการส่งออกมากกว่าการจำหน่ายในประเทศ
: ไตรมาส 1/2550 เป็นตัวเลขเบื้องต้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-