ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ลดความถี่ในการออกพันธบัตรระยะยาวเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรอง ธปท. ประกาศ
ลดจำนวนรุ่นและความถี่ในการออกพันธบัตรระยะยาวลงจากเดิมเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองให้มากขึ้น โดยตั้งแต่
ไตรมาส 2 ปีนี้ ธปท. จะปรับลดความถี่ในการออกพันธบัตรอายุ 2 ปี จากเดิมที่เคยออกเดือนละครั้งเป็นไตรมาสละครั้ง เริ่มประมูลครั้งแรก
ในวันที่ 15 พ.ค.นี้ และตั้งแต่เดือน ก.ย.เป็นไปต้นไป ธปท. จะปรับลดการประมูลพันธบัตรอายุ 1 ปี จากเดือนละ 2 ครั้ง เหลือเพียง
เดือนละครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ ธปท. ได้เริ่มปรับลดความถี่ในการประมูลพันธบัตรอายุ 1 ปี ให้เหลือเดือนละ 2 ครั้ง และเดือนละครั้งสำหรับ
พันธบัตรอายุ 2 ปี และทยอยปรับลดรุ่นพันธบัตรที่ออกตั้งแต่ปี 49 ในประเภทพันธบัตรอายุ 1 ปี จากเดือนละ 4 รุ่น เหลือเดือนละ 2 รุ่น
และเหลือเพียงเดือนละ 1 รุ่น ในปัจจุบัน ทำให้จำนวนรุ่นของพันธบัตร 1 ปี ลดลงจาก 50 รุ่นต่อปี เหลือเพียง 12 รุ่นต่อปี ทั้งนี้ การปรับ
ลดรุ่นและความถี่ในการออกพันธบัตร ธปท. ทำให้วงเงินการออกพันธบัตรแต่ละรุ่นของ ธปท. เพิ่มมากขึ้น โดยแต่ละรุ่นจะมีวงเงินพันธบัตร
เพิ่มขึ้นเป็น 50,000 — 70,000 ล้านบาทต่อรุ่น อย่างไรก็ตาม การลดความถี่และรุ่นการออกพันธบัตรลงจะทำให้สภาพคล่องในตลาดรอง
ของพันธบัตรมีมากกว่าการมีพันธบัตรหลายรุ่นที่ออกประมูลในตลาดแรกบ่อยเกินไป แต่จะไม่ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรเปลี่ยนแปลงมากนัก
เพราะผลตอบแทนพันธบัตรจะขึ้นอยู่กับการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของตลาด จำนวน และความต้องการของพันธบัตร ในขณะที่การบริหาร
สภาพคล่องในตลาดการเงินของ ธปท. จะไม่ได้รับผลกระทบจากความถี่ของการบริหารสภาพคล่องหลายอย่าง ทั้งการออกพันธบัตร และ
การทำสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ดังนั้น เมื่อความถี่ในการออกพันธบัตรน้อยลง ธปท. ก็สามารถหันไปใช้เครื่องมือในการ
บริหารสภาพคล่อง เช่น การใช้พันธบัตรซื้อคืน เป็นต้น (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
2. สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐสามารถขยายระยะเวลาบังคับใช้ IAS39 ได้ เพราะมีรัฐบาลเป็นประกัน นายเกริก วณิกกุล
ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า แม้ ก.คลังจะอนุญาตให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐขยายระยะเวลาในการ
บังคับใช้มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 (IAS39) ออกไปอีก 2 ปี เป็นปี 52 จากเดิมที่ ธปท. กำหนดให้สถาบันการเงินต้อง
กันสำรองหนี้ด้อยคุณภาพให้ครบ 100% ภายในสิ้นปีนี้ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร เนื่องจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจเหล่านี้ต่างมีรัฐบาลเป็นประกัน
หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นรัฐบาลก็สามารถนำเงินภาษีของประชาชนมาช่วยดูแลได้ ขณะที่ ธ.พาณิชย์ส่วนใหญ่เจ้าของเป็นเอกชน เมื่อมีปัญหา
เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นและผู้ฝากเงินที่เป็นประชาชนทั่วไป ธปท. จึงจำเป็นต้องเข้าไปวางกฎเกณฑ์ในการกำกับดูแล ธ.พาณิชย์
เหล่านี้เพื่อไม่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินนั้น ๆ ซึ่งกฎเกณฑ์ของ ธปท. ไม่ได้ครอบคลุม
สถาบันการเงินเฉพาะกิจ แต่หากจะนำกฎที่ ธปท. กำหนดขึ้นไปประยุกต์ใช้ก็สามารถทำได้ถ้าคิดว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ธ.พาณิชย์ในระบบส่วนใหญ่มีความคืบหน้าในการกันสำรองหนี้ด้อยคุณภาพตามมาตรฐานบัญชีใหม่อย่างมาก โดยมีการ
กันสำรองสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันไปแล้วประมาณร้อยละ 80 และทำภายในครั้งเดียว จากที่ ธปท. กำหนดให้สามารถกันสำรองได้ถึง
3 ช่วงเวลา โดยเริ่มตั้งแต่ปลายปี 49, มิ.ย.50 และ ธ.ค.50 จึงเชื่อว่า ธ.พาณิชย์ทราบดีว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและทำให้
ระบบ ธ.พาณิชย์ไทยพัฒนาดีขึ้นในอนาคต (ผู้จัดการรายวัน)
3. ก.คลังให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจปล่อยสินเชื่อแก่ประชาชนระดับฐานรากและเอสเอ็มอีเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับ 4 ธนาคารเฉพาะกิจเพื่อกำหนดแนวทางปล่อยสินเชื่อแก่ประชาชน
ระดับฐานรากและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจในปีนี้ว่า ทั้ง 4 ธนาคาร คือ ธ.ออมสิน ธกส. ธอส. และ
ธ.พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมฯ (เอสเอ็มอี) จะร่วมกันปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติมรวมกันอีก 44,044 ล้านบาท ใน 11 โครงการ
เมื่อรวมกับเป้าหมายสินเชื่อเดิมในปี 50 จะมีสินเชื่อของทั้ง 4 นาคาร เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเป็น 466,044 ล้านบาท เชื่อว่าจะช่วย
พยุงเศรษฐกิจได้ส่วนหนึ่ง เพราะยังมีความต้องการสินเชื่อในระดับฐานรากและเอสเอ็มอีอยู่จำนวนมากแม้สถานการณ์การเมืองยังไม่ชัดเจน
ก็ตาม ซึ่งได้กำชับให้ทุกธนาคารปล่อยสินเชื่อแบบมีคุณภาพ เพื่อไม่ให้เกิดหนี้เสียและ ก.คลังจะติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มาตรการ
ครั้งนี้สัมฤทธิ์ผล ส่วนการลดภาษีธุรกิจเฉพาะ การจดจำนอง และการเพิ่มวงเงินค่าลดหย่อนดอกเบี้ยซื้อที่อยู่อาศัยยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
คาดว่าจะสรุปและประกาศได้ในระยะต่อไปและได้ตัดสินใจไม่ลดค่าธรรมเนียมการโอนเหลือร้อยละ 0.01 เพราะจะส่งผลกระทบต่อรายได้
ของท้องถิ่น (เดลินิวส์, โพสต์ทูเดย์)
4. ภาวะการลงทุนภาคอุตสาหกรรมยังปกติ ไม่มีสัญญาณลดหรือชะลอตัว นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัด ก.อุตสาหกรรม เปิดเผย
ภาวะการลงทุนภาคอุตสาหกรรมว่ายังอยู่ในภาวะปกติ ไม่มีสัญญาณลดหรือชะลอการลงทุน เห็นได้จากตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน
ของบีโอไอที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 75 ในไตรมาส 1 ทั้งการลงทุนในประเทศและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ในส่วนที่ได้รับ
อนุมัติเมื่อ 2 ปีก่อนก็เริ่มมีการลงทุนจริงแล้ว ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ของบีโอไอที่ให้เวลาในการเตรียมการลงทุนหลังจากได้รับอนุมัติส่งเสริม
การลงทุนประมาณ 36 เดือน ในขณะที่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสถานการณ์ในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคที่คาดว่าจะลดลงในช่วงไตรมาส 2
และอาจทำให้เศรษฐกิจในไตรมาส 2 ลดลงจากไตรมาส 1 ส่วนหนึ่งมาจากมีวันหยุดมากและไม่ใช่ช่วงที่มีกำลังซื้อจากต่างประเทศสูง
จึงมีการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศให้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 3 และ 4 เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว
จากที่มีกำลังซื้อจากต่างประเทศเข้ามามากเพราะเป็นช่วงเทศกาล ประกอบกับเป็นฤดูท่องเที่ยว จึงคาดว่าเศรษฐกิจทั้งปีนี้ยังคงขยายตัว
อย่างน้อยร้อยละ 4 ขณะที่จีดีพีภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัวร้อยละ 5 (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของ สรอ.ในเดือน มี.ค.50 ขยายตัวร้อยละ 3.1 สูงสุดในรอบปี รายงานจากวอชิงตันเมื่อ
2 พ.ค.50 ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ยอดคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของ สรอ.ในเดือน มี.ค.50 ขยายตัวร้อยละ 3.1 สูงสุดในรอบปี จากที่
ขยายตัวร้อยละ 1.4 ในเดือนก่อนหน้า เหนือความคาดหมายของบรรดานักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.1 สาเหตุหลักจาก
การคำสั่งซื้อเครื่องบินส่วนตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานที่ไม่รวมคำสั่งซื้อสินค้าด้านการขนส่งที่มีความผันผวน เพิ่มขึ้นเป็น
ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.49 ร้อยละ 1.9 หลังจากทรงตัวที่ระดับเดิมในเดือนก่อนหน้า สำหรับตัวเลขที่บ่งชี้การใช้จ่ายของภาคธุรกิจ
คือ คำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบินทหาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนและเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่
เดือน ก.ย.47 นอกจากนี้ The Institute for Supply Management เปิดเผย Index of national factory activity
ว่าเพิ่มขึ้นที่ระดับ 54.7 ในเดือน เม.ย.50 จากระดับ 50.9 ในเดือนก่อนหน้า เหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าดัชนี
จะทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน และเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค.49 และอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวของ
ภาคการผลิต สรอ. อย่างไรก็ตาม ขณะที่ภาคการผลิตของ สรอ.สะท้อนข่าวในแง่ดีต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่ข้อมูลจากภาคแรงงาน สรอ.
กลับแสดงทิศทางตรงข้าม โดยข้อมูลจาก ADP Employer Services รายงานว่า การจ้างงานในภาคเอกชนในเดือน เม.ย.50 เพิ่มขึ้น
เพียง 64,000 อัตรา จากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 98,000 อัตรา ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าการจ้างงานจะ
เพิ่มขึ้นถึง 100,000 อัตรา(รอยเตอร์)
2. อัตราการว่างงานใน Euro zone ในเดือน มี.ค.50 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.2 ต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บตัวเลขใน
ปี 36 รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 2 พ.ค.50 Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานอัตราการว่างงานใน 13 ประเทศ
ที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักลดลงหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วมาอยู่ที่ร้อยละ 7.2 จากร้อยละ 7.3 ในเดือน ก.พ.50 ต่ำสุดนับตั้งแต่
เริ่มมีการเก็บตัวเลขดังกล่าวในปี 36 โดยเป็นผลจากอัตราการว่างงานที่ลดลงในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาคนี้คือเยอรมนี
และฝรั่งเศส รวมถึงประเทศอื่น ๆ คือไอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์และสโลวีเนีย โดยอัตราการว่างงานของเยอรมนีซึ่งมีขนาด
ของเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดใน Euro zone ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.0 ในเดือน มี.ค.50 จากร้อยละ 7.1 ในเดือน ก.พ.50 ทั้งนี้จำนวน
คนว่างงานใน Euro zone ในเดือน มี.ค.50 มีจำนวน 10.8 ล้านคน ลดลงจาก 12.1 ล้านคนในเดือน มี.ค.49 ในขณะที่ ธ.กลางยุโรป
หรือ ECB กำลังกังวลว่าการขยายตัวของตลาดแรงงานซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะทำให้มีการเจรจาขอเพิ่มค่าแรงอย่าง
ที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนีในขณะนี้ซึ่งอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นหากประสิทธิภาพในการผลิตไม่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับค่าแรงที่สูงขึ้น
นักวิเคราะห์จึงคาดว่าหลังจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 4.0 ต่อปีในเดือน มิ.ย.50 ที่จะถึงนี้ซึ่งค่อนข้างแน่นอนแล้ว
ECB อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งภายในปีนี้เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อ (รอยเตอร์)
3. จำนวนผู้ว่างงานของเยอรมนีในเดือน เม.ย.50 ลดลงต่ำสุดในรอบ 6 ปีที่จำนวน 3.845 ล้านคน รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 2 พ.ค.50 The Federal Labour Office เปิดเผยว่า จำนวนผู้ว่างงานของเยอรมนีในเดือน เม.ย.50 ลดลง 9,000 คน อยู่
ที่จำนวน 3.845 ล้านคน นับเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และลดลงอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี (ตั้งแต่เดือน มิ.ย.44)
ส่งผลให้อัตราการว่างงานในเดือน เม.ย.50 อยู่ที่ร้อยละ 9.2 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจำนวนผู้ว่างงานจะลดลงถึง 40,000 คน
ทั้งนี้ หัวหน้านักวิเคราะห์ของ Bear Stearns กล่าวแสดงความเห็นว่า จำนวนผู้ว่างงานที่ลดลงในเยอรมนีนั้นเป็นข่าวดีสำหรับการเสริม
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้แข่งแกร่ง อันสนับสนุนให้ความต้องการของผู้บริโภคและการเติบโตทางเศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่ง
ทำให้จุดอ่อนในเรื่องการว่างงานและความต้องการของผู้บริโภคซึ่งมีอยู่ตลอดทศวรรษที่แล้วหมดไป ขณะที่หัวหน้า Federal Labour Office
(Frank-Juergen Weise) คาดการณ์ว่าจำนวนผู้ว่างงานของเยอรมนีในปีนี้จะอยู่ระหว่าง 3.8 — 3.9 ล้านคน ทั้งนี้ จำนวนผู้ว่างงาน
ของเยอรมนีในช่วงต้นปี 48 อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จำนวนสูงกว่า 5 ล้านคน แต่หลังจากนั้นก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาวะเศรษฐกิจเยอรมนีที่เมื่อปี 49 ขยายตัวถึงร้อยละ 2.7 นับว่าแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 6 ปี นอกจากนั้น ที่ปรึกษา
ทางเศรษฐกิจของรัฐบาล (Wolfgang Franz) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปีนี้จะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.5 (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 10 พ.ค. รายงานจากลอนดอน
เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 50 ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 61 คนโดยรอยเตอร์ระหว่างวันที่ 30 เม.ย. — 2 พ.ค. ทั้งหมดมีความเห็น
ตรงกันว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมนโยบายการเงินสัปดาห์หน้า เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงขยายตัวอย่าง
แข็งแกร่ง ขณะที่เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงและมีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นอีกในระยะยาว ทั้งนี้คาดว่ามีโอกาสถึงร้อยละ 80 ที่
ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 5.5 และมีโอกาสเพียงร้อยละ 10 ที่จะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.50
เป็นร้อยละ 5.75 และจะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่เดือน ส.ค. 49 ในขณะที่ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงมากถึงร้อยละ 3.1
และส่งผลให้ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นกว่า 2 ดอลลาร์ต่อปอนด์ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 45 อย่างไร
ก็ตามนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 14 คนให้ความเห็นว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.25 ในช่วงปลายปี (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 3/5/2550 2/5/2550 29/12/2549 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.769 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.5582/34.8966 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.15078 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 705.47/13. 15 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,050/11,150 11,050/11,150 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 61.87 62.57 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.59*/25.34** 29.19/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 3 พ.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. ลดความถี่ในการออกพันธบัตรระยะยาวเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรอง ธปท. ประกาศ
ลดจำนวนรุ่นและความถี่ในการออกพันธบัตรระยะยาวลงจากเดิมเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองให้มากขึ้น โดยตั้งแต่
ไตรมาส 2 ปีนี้ ธปท. จะปรับลดความถี่ในการออกพันธบัตรอายุ 2 ปี จากเดิมที่เคยออกเดือนละครั้งเป็นไตรมาสละครั้ง เริ่มประมูลครั้งแรก
ในวันที่ 15 พ.ค.นี้ และตั้งแต่เดือน ก.ย.เป็นไปต้นไป ธปท. จะปรับลดการประมูลพันธบัตรอายุ 1 ปี จากเดือนละ 2 ครั้ง เหลือเพียง
เดือนละครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ ธปท. ได้เริ่มปรับลดความถี่ในการประมูลพันธบัตรอายุ 1 ปี ให้เหลือเดือนละ 2 ครั้ง และเดือนละครั้งสำหรับ
พันธบัตรอายุ 2 ปี และทยอยปรับลดรุ่นพันธบัตรที่ออกตั้งแต่ปี 49 ในประเภทพันธบัตรอายุ 1 ปี จากเดือนละ 4 รุ่น เหลือเดือนละ 2 รุ่น
และเหลือเพียงเดือนละ 1 รุ่น ในปัจจุบัน ทำให้จำนวนรุ่นของพันธบัตร 1 ปี ลดลงจาก 50 รุ่นต่อปี เหลือเพียง 12 รุ่นต่อปี ทั้งนี้ การปรับ
ลดรุ่นและความถี่ในการออกพันธบัตร ธปท. ทำให้วงเงินการออกพันธบัตรแต่ละรุ่นของ ธปท. เพิ่มมากขึ้น โดยแต่ละรุ่นจะมีวงเงินพันธบัตร
เพิ่มขึ้นเป็น 50,000 — 70,000 ล้านบาทต่อรุ่น อย่างไรก็ตาม การลดความถี่และรุ่นการออกพันธบัตรลงจะทำให้สภาพคล่องในตลาดรอง
ของพันธบัตรมีมากกว่าการมีพันธบัตรหลายรุ่นที่ออกประมูลในตลาดแรกบ่อยเกินไป แต่จะไม่ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรเปลี่ยนแปลงมากนัก
เพราะผลตอบแทนพันธบัตรจะขึ้นอยู่กับการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของตลาด จำนวน และความต้องการของพันธบัตร ในขณะที่การบริหาร
สภาพคล่องในตลาดการเงินของ ธปท. จะไม่ได้รับผลกระทบจากความถี่ของการบริหารสภาพคล่องหลายอย่าง ทั้งการออกพันธบัตร และ
การทำสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ดังนั้น เมื่อความถี่ในการออกพันธบัตรน้อยลง ธปท. ก็สามารถหันไปใช้เครื่องมือในการ
บริหารสภาพคล่อง เช่น การใช้พันธบัตรซื้อคืน เป็นต้น (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
2. สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐสามารถขยายระยะเวลาบังคับใช้ IAS39 ได้ เพราะมีรัฐบาลเป็นประกัน นายเกริก วณิกกุล
ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า แม้ ก.คลังจะอนุญาตให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐขยายระยะเวลาในการ
บังคับใช้มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 (IAS39) ออกไปอีก 2 ปี เป็นปี 52 จากเดิมที่ ธปท. กำหนดให้สถาบันการเงินต้อง
กันสำรองหนี้ด้อยคุณภาพให้ครบ 100% ภายในสิ้นปีนี้ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร เนื่องจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจเหล่านี้ต่างมีรัฐบาลเป็นประกัน
หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นรัฐบาลก็สามารถนำเงินภาษีของประชาชนมาช่วยดูแลได้ ขณะที่ ธ.พาณิชย์ส่วนใหญ่เจ้าของเป็นเอกชน เมื่อมีปัญหา
เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นและผู้ฝากเงินที่เป็นประชาชนทั่วไป ธปท. จึงจำเป็นต้องเข้าไปวางกฎเกณฑ์ในการกำกับดูแล ธ.พาณิชย์
เหล่านี้เพื่อไม่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินนั้น ๆ ซึ่งกฎเกณฑ์ของ ธปท. ไม่ได้ครอบคลุม
สถาบันการเงินเฉพาะกิจ แต่หากจะนำกฎที่ ธปท. กำหนดขึ้นไปประยุกต์ใช้ก็สามารถทำได้ถ้าคิดว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ธ.พาณิชย์ในระบบส่วนใหญ่มีความคืบหน้าในการกันสำรองหนี้ด้อยคุณภาพตามมาตรฐานบัญชีใหม่อย่างมาก โดยมีการ
กันสำรองสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันไปแล้วประมาณร้อยละ 80 และทำภายในครั้งเดียว จากที่ ธปท. กำหนดให้สามารถกันสำรองได้ถึง
3 ช่วงเวลา โดยเริ่มตั้งแต่ปลายปี 49, มิ.ย.50 และ ธ.ค.50 จึงเชื่อว่า ธ.พาณิชย์ทราบดีว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและทำให้
ระบบ ธ.พาณิชย์ไทยพัฒนาดีขึ้นในอนาคต (ผู้จัดการรายวัน)
3. ก.คลังให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจปล่อยสินเชื่อแก่ประชาชนระดับฐานรากและเอสเอ็มอีเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับ 4 ธนาคารเฉพาะกิจเพื่อกำหนดแนวทางปล่อยสินเชื่อแก่ประชาชน
ระดับฐานรากและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจในปีนี้ว่า ทั้ง 4 ธนาคาร คือ ธ.ออมสิน ธกส. ธอส. และ
ธ.พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมฯ (เอสเอ็มอี) จะร่วมกันปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติมรวมกันอีก 44,044 ล้านบาท ใน 11 โครงการ
เมื่อรวมกับเป้าหมายสินเชื่อเดิมในปี 50 จะมีสินเชื่อของทั้ง 4 นาคาร เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเป็น 466,044 ล้านบาท เชื่อว่าจะช่วย
พยุงเศรษฐกิจได้ส่วนหนึ่ง เพราะยังมีความต้องการสินเชื่อในระดับฐานรากและเอสเอ็มอีอยู่จำนวนมากแม้สถานการณ์การเมืองยังไม่ชัดเจน
ก็ตาม ซึ่งได้กำชับให้ทุกธนาคารปล่อยสินเชื่อแบบมีคุณภาพ เพื่อไม่ให้เกิดหนี้เสียและ ก.คลังจะติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มาตรการ
ครั้งนี้สัมฤทธิ์ผล ส่วนการลดภาษีธุรกิจเฉพาะ การจดจำนอง และการเพิ่มวงเงินค่าลดหย่อนดอกเบี้ยซื้อที่อยู่อาศัยยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
คาดว่าจะสรุปและประกาศได้ในระยะต่อไปและได้ตัดสินใจไม่ลดค่าธรรมเนียมการโอนเหลือร้อยละ 0.01 เพราะจะส่งผลกระทบต่อรายได้
ของท้องถิ่น (เดลินิวส์, โพสต์ทูเดย์)
4. ภาวะการลงทุนภาคอุตสาหกรรมยังปกติ ไม่มีสัญญาณลดหรือชะลอตัว นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัด ก.อุตสาหกรรม เปิดเผย
ภาวะการลงทุนภาคอุตสาหกรรมว่ายังอยู่ในภาวะปกติ ไม่มีสัญญาณลดหรือชะลอการลงทุน เห็นได้จากตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน
ของบีโอไอที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 75 ในไตรมาส 1 ทั้งการลงทุนในประเทศและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ในส่วนที่ได้รับ
อนุมัติเมื่อ 2 ปีก่อนก็เริ่มมีการลงทุนจริงแล้ว ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ของบีโอไอที่ให้เวลาในการเตรียมการลงทุนหลังจากได้รับอนุมัติส่งเสริม
การลงทุนประมาณ 36 เดือน ในขณะที่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสถานการณ์ในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคที่คาดว่าจะลดลงในช่วงไตรมาส 2
และอาจทำให้เศรษฐกิจในไตรมาส 2 ลดลงจากไตรมาส 1 ส่วนหนึ่งมาจากมีวันหยุดมากและไม่ใช่ช่วงที่มีกำลังซื้อจากต่างประเทศสูง
จึงมีการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศให้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 3 และ 4 เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว
จากที่มีกำลังซื้อจากต่างประเทศเข้ามามากเพราะเป็นช่วงเทศกาล ประกอบกับเป็นฤดูท่องเที่ยว จึงคาดว่าเศรษฐกิจทั้งปีนี้ยังคงขยายตัว
อย่างน้อยร้อยละ 4 ขณะที่จีดีพีภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัวร้อยละ 5 (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของ สรอ.ในเดือน มี.ค.50 ขยายตัวร้อยละ 3.1 สูงสุดในรอบปี รายงานจากวอชิงตันเมื่อ
2 พ.ค.50 ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ยอดคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของ สรอ.ในเดือน มี.ค.50 ขยายตัวร้อยละ 3.1 สูงสุดในรอบปี จากที่
ขยายตัวร้อยละ 1.4 ในเดือนก่อนหน้า เหนือความคาดหมายของบรรดานักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.1 สาเหตุหลักจาก
การคำสั่งซื้อเครื่องบินส่วนตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานที่ไม่รวมคำสั่งซื้อสินค้าด้านการขนส่งที่มีความผันผวน เพิ่มขึ้นเป็น
ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.49 ร้อยละ 1.9 หลังจากทรงตัวที่ระดับเดิมในเดือนก่อนหน้า สำหรับตัวเลขที่บ่งชี้การใช้จ่ายของภาคธุรกิจ
คือ คำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบินทหาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนและเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่
เดือน ก.ย.47 นอกจากนี้ The Institute for Supply Management เปิดเผย Index of national factory activity
ว่าเพิ่มขึ้นที่ระดับ 54.7 ในเดือน เม.ย.50 จากระดับ 50.9 ในเดือนก่อนหน้า เหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าดัชนี
จะทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน และเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค.49 และอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวของ
ภาคการผลิต สรอ. อย่างไรก็ตาม ขณะที่ภาคการผลิตของ สรอ.สะท้อนข่าวในแง่ดีต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่ข้อมูลจากภาคแรงงาน สรอ.
กลับแสดงทิศทางตรงข้าม โดยข้อมูลจาก ADP Employer Services รายงานว่า การจ้างงานในภาคเอกชนในเดือน เม.ย.50 เพิ่มขึ้น
เพียง 64,000 อัตรา จากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 98,000 อัตรา ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าการจ้างงานจะ
เพิ่มขึ้นถึง 100,000 อัตรา(รอยเตอร์)
2. อัตราการว่างงานใน Euro zone ในเดือน มี.ค.50 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.2 ต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บตัวเลขใน
ปี 36 รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 2 พ.ค.50 Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานอัตราการว่างงานใน 13 ประเทศ
ที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักลดลงหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วมาอยู่ที่ร้อยละ 7.2 จากร้อยละ 7.3 ในเดือน ก.พ.50 ต่ำสุดนับตั้งแต่
เริ่มมีการเก็บตัวเลขดังกล่าวในปี 36 โดยเป็นผลจากอัตราการว่างงานที่ลดลงในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาคนี้คือเยอรมนี
และฝรั่งเศส รวมถึงประเทศอื่น ๆ คือไอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์และสโลวีเนีย โดยอัตราการว่างงานของเยอรมนีซึ่งมีขนาด
ของเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดใน Euro zone ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.0 ในเดือน มี.ค.50 จากร้อยละ 7.1 ในเดือน ก.พ.50 ทั้งนี้จำนวน
คนว่างงานใน Euro zone ในเดือน มี.ค.50 มีจำนวน 10.8 ล้านคน ลดลงจาก 12.1 ล้านคนในเดือน มี.ค.49 ในขณะที่ ธ.กลางยุโรป
หรือ ECB กำลังกังวลว่าการขยายตัวของตลาดแรงงานซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะทำให้มีการเจรจาขอเพิ่มค่าแรงอย่าง
ที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนีในขณะนี้ซึ่งอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นหากประสิทธิภาพในการผลิตไม่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับค่าแรงที่สูงขึ้น
นักวิเคราะห์จึงคาดว่าหลังจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 4.0 ต่อปีในเดือน มิ.ย.50 ที่จะถึงนี้ซึ่งค่อนข้างแน่นอนแล้ว
ECB อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งภายในปีนี้เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อ (รอยเตอร์)
3. จำนวนผู้ว่างงานของเยอรมนีในเดือน เม.ย.50 ลดลงต่ำสุดในรอบ 6 ปีที่จำนวน 3.845 ล้านคน รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 2 พ.ค.50 The Federal Labour Office เปิดเผยว่า จำนวนผู้ว่างงานของเยอรมนีในเดือน เม.ย.50 ลดลง 9,000 คน อยู่
ที่จำนวน 3.845 ล้านคน นับเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และลดลงอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี (ตั้งแต่เดือน มิ.ย.44)
ส่งผลให้อัตราการว่างงานในเดือน เม.ย.50 อยู่ที่ร้อยละ 9.2 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจำนวนผู้ว่างงานจะลดลงถึง 40,000 คน
ทั้งนี้ หัวหน้านักวิเคราะห์ของ Bear Stearns กล่าวแสดงความเห็นว่า จำนวนผู้ว่างงานที่ลดลงในเยอรมนีนั้นเป็นข่าวดีสำหรับการเสริม
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้แข่งแกร่ง อันสนับสนุนให้ความต้องการของผู้บริโภคและการเติบโตทางเศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่ง
ทำให้จุดอ่อนในเรื่องการว่างงานและความต้องการของผู้บริโภคซึ่งมีอยู่ตลอดทศวรรษที่แล้วหมดไป ขณะที่หัวหน้า Federal Labour Office
(Frank-Juergen Weise) คาดการณ์ว่าจำนวนผู้ว่างงานของเยอรมนีในปีนี้จะอยู่ระหว่าง 3.8 — 3.9 ล้านคน ทั้งนี้ จำนวนผู้ว่างงาน
ของเยอรมนีในช่วงต้นปี 48 อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จำนวนสูงกว่า 5 ล้านคน แต่หลังจากนั้นก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาวะเศรษฐกิจเยอรมนีที่เมื่อปี 49 ขยายตัวถึงร้อยละ 2.7 นับว่าแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 6 ปี นอกจากนั้น ที่ปรึกษา
ทางเศรษฐกิจของรัฐบาล (Wolfgang Franz) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในปีนี้จะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.5 (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 10 พ.ค. รายงานจากลอนดอน
เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 50 ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 61 คนโดยรอยเตอร์ระหว่างวันที่ 30 เม.ย. — 2 พ.ค. ทั้งหมดมีความเห็น
ตรงกันว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมนโยบายการเงินสัปดาห์หน้า เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงขยายตัวอย่าง
แข็งแกร่ง ขณะที่เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงและมีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นอีกในระยะยาว ทั้งนี้คาดว่ามีโอกาสถึงร้อยละ 80 ที่
ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 5.5 และมีโอกาสเพียงร้อยละ 10 ที่จะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.50
เป็นร้อยละ 5.75 และจะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่เดือน ส.ค. 49 ในขณะที่ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงมากถึงร้อยละ 3.1
และส่งผลให้ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นกว่า 2 ดอลลาร์ต่อปอนด์ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 45 อย่างไร
ก็ตามนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 14 คนให้ความเห็นว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.25 ในช่วงปลายปี (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 3/5/2550 2/5/2550 29/12/2549 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.769 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.5582/34.8966 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.15078 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 705.47/13. 15 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,050/11,150 11,050/11,150 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 61.87 62.57 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.59*/25.34** 29.19/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 3 พ.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--